วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผิดไปแล้ว ... ขอจงอภัย (คนไม่รู้ยอมไม่ผิด แต่รู้ว่าผิดยังทำจะให้อภัยได้อย่างไรกัน)

“แม้ว” ตอบโจทย์หนุนปรองดอง เยียวยาเหยื่อความรุนแรง ฟุ้งเข้าใจปรัชญากฎหมายอย่างดี ต้องใช้หรืองดเว้นใช้กฎหมายบางกรณีเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เผยไม่อาฆาตแค้นใคร พร้อมเจรจาคนที่คิดว่าเป็นศัตรูกับตน ยืนยันตั้งแต่ถูกปฏิวัติยังไม่เคยพบหรือพูดคุยกับ “สนธิ”




พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์รายการ “ตอบโจทย์” ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ระบุว่า เรื่องเส้นทางการปรองดองตอนนี้ที่ทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศไปว่าไม่ให้เป็นเรื่องของการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อยากให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการที่เป็นกลาง คือ คอป.(คณะกรรมการหาข้อเท็จจริงเพื่อการปรองดอง) ได้ทำงานต่อ โดยพรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนเพื่อให้ได้ความจริงกระจ่างขึ้น ให้มีแนวทางปรองดองได้ โดยต้องดูกระบวนการใช้กฎหมาย ต้องใช้หลักนิติธรรมสากล ซึ่งอยู่ในกฎบัตรสหประชาชาติ เราต้องทำตาม แต่หลังจากการปฏิวัติสิ่งนี้ก็หายไป ต้องมาช่วยกันคิดทำให้กลับมาสู่มาตรฐานเดียว ต้องดูว่าเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเป็นอย่างไร กติกาจะต้องเป็นกลาง กรรมการก็ต้องเป็นกลาง คณะกรรมการต้องแสวงหาข้อเท็จจริง

จากเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ การที่มีผู้โชคร้าย ตาย บาดเจ็บ ติดคุก ก็ต้องเยียวยา ไม่ต้องชี้ว่าใครผิดใครถูกต้องได้รับการเยียวยา ซึ่งรัฐบาลก็ต้องคุยกับคณะกรรมการอีกครั้งหนึ่งหลังจากได้เป็นรัฐบาลแล้ว ซึ่งเราเคารพความเป็นกลางของคณะกรรมการ

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ถ้าคนเรียนปรัชญาของกฎหมาย จิตวิทยาของกฎหมาย จะเข้าใจว่ากฎหมายมีไว้ใช้รักษาความสงบเรียบร้อย อย่างบางคดีถ้าหยุดคดีได้เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความความสงบเรียบร้อย ยึดหลักเป็นกลาง เป็นธรรม อย่างเช่นนโยบาย 66/23 ได้หยุดใช้กฎหมายหมด เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะต้องไม่เข้าไปก้าวก่าย ให้มีการทำหน้าที่อย่างเป็นกลางเป็นธรรม

“ใจต้องเป็นธรรม อย่ามองอีกฝ่ายเป็นศัตรูตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องให้อภัย ไม่แก้แค้น ไปแก้ไข เพราะไม่มีประโยชน์ ไม่กี่วันก็ตายจากกัน ทำเพื่อลูกหลานในอนาคตคตดีกว่า วันนี้เด็กไม่สามารถมองว่าดีคืออะไร ชั่วคืออะไร อะไรผิด อะไรถูก เพราะละเลงกันจนเละ การเมืองละเลงกันมากเกินไป ฝ่ายการเมืองต้องถอย ต้องหยุดด่าทอสักระยะ ทุกฝ่ายต้องหยุด ให้กรรมการทำงานไป แล้วแก้ปัญหาไปด้วยกัน หลังจากนั้นค่อยแข่งกันใหม่”

“ผมเป็นคนไม่อาฆาตแค้นคนมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนพุทธ คนเมืองเหนือ ไม่อาฆาตแค้นใคร จบก็จบ ไม่มีการตามล้างตามผลาญ ถ้ามีความแค้น มีความเครียด อายุจะสั้น ปล่อยวางดีกว่า ต้องรู้จักปล่อยวาง ท่านพุทธทาสภิกขุบอกว่า จิตวุ่นปัญญาหาย จิตว่างปัญญามี หมายความว่า ถ้าจิตวุ่นมีความโกรธ ความหลงก็จะคิดอะไรไม่ออก เพราะสติปัญญาโง่”

“วันนี้ใครที่คิดว่าเป็นศัตรูกับผม บินมา(ที่ดูไบ)เลย เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าว ผมให้อภัยทุกคน แต่จะทำงานด้วยได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อาจไม่ทำงานร่วมกัน เพราะเรารู้นิสัยแล้วว่าถ้าทำงานร่วมกันไม่ได้ก็ไม่ทำ แต่การจะไปแค้น อาฆาต ตามเช็กบิลไม่มี ถ้าพบเจอกันก็ทักทายกัน คนไหนที่ไม่เชื่อมาเลย สมมติว่า สนธิทั้งสองคน (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และนายสนธิ ลิ้มทองกุล) อยากจะแวะมากินกาแฟกับผม ผมยินดีต้อนรับ”

ส่วนข่าวที่มีการพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า “ยังไม่เคยเจอกับสนธิ ตั้งแต่ตอนที่ผมเป็นนายกฯ ก่อนถูกปฏิวัติ เขาประท้วงในตอนนั้น ยังไม่ได้เจอกันเลย ไม่ได้คุยกัน ถ้าวันนี้มาเจอกันก็ยินดีต้อนรับ”

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า วันนี้คนถูกกระทำต้องเสนอก่อน ไม่อย่างนั้นปรองดองไม่ได้ ตนต้องเสนอปรองดองก่อน ไม่ติดยึด ไม่ถือสาว่าจะมาอาฆาตแค้นกัน

“รอให้ผมกลับบ้าน ผมพร้อมไปนั่งคุยด้วยทุกคน ใครที่ไม่พอใจผม บอกผมหน่อยว่าไม่พอใจเรื่องอะไร ผมจะได้รู้ บางคนผมไปเหยียบเท้าเขา เขาถือสาผมไม่รู้ เพราะผมถูกเหยียบเท้าผมไม่ถือ ใครจะรู้อายุจะเหลืออีกยาวเท่าไร อยู่ในเวลาที่เหลือให้มีความสุขดีกว่า อย่าอยู่ให้ทุกข์เลย”

เรื่องความขัดแย้งกัน พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า บางทีคนไทยถือสากันมากไป แข่งดีแข่งเด่น ไม่คำนึงถึงกติกา ต้องเคารพกติกา อย่างที่นายเนลสัน แมนเดลา ใช้กีฬาเข้ามาพัฒนา ตนก็เห็นด้วย อย่างของไทยเราก็ตั้งเป้าบอลไทยไปบอลโลก ฟิตตั้งแต่เด็กๆ เพราะกีฬาสอนให้รู้กติกา มีกรรมการเป็นกลาง รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เคารพกติกา บ้านเมืองก็ไม่วุ่นวาย ตนได้พบนายเนลสันรู้สึกชื่นชมแนวทางปรองดอง การให้อภัย ท่านให้อภัยทุกคน เป็นคนที่ใจกว้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี

ต่อข้อถามที่ว่า นายเนลสันติดคุกก่อนจะออกจากคุกมาเป็นรัฐบุรุษ ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณไม่กลับมาติดคุกก่อนเพื่ออกมาเป็นรัฐบุรุษ พ.ต.ท.ทักษิณหัวเราะ ก่อนจะตอบว่าทำไมเป็นรัฐบุรุษต้องติดคุก สิ่งไหนที่ไม่เป็นธรรม ตนเรียนเรื่องกระบวนการยุติธรรมด้านอาญา เรียนรู้หลักนิติธรรม กระบวนการกฎหมายที่เป็นธรรม ตนรู้ว่าอะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม ตนเรียนทฤษฎีความยุติธรรม ปรัชญาความเป็นธรรม เมื่อมีความไม่เป็นธรรม ตนต้องต่อสู้ให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมไทย ไม่ใช่แค่ไทย แต่ต้องร่วมกันสู้ทั้งโลก

“เรื่องคดีที่ดินรัชดาฯ ไม่เป็นธรรมตั้งแต่ต้น ใช้ปฏิปักษ์ทางการเมืองมาสอบสวนก็จบละ ใช้คนในคณะปฏิวัติมา ผมยืนอยู่กับสิ่งที่เป็นความยุติธรรม อะไรที่ไม่ยุติธรรมผมรับไม่ได้ ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม วันนี้ผมโดน ผมถูกลงโทษอยู่แล้ว ลี้ภัยอยู่ 5 ปี ได้รับการลงโทษอยู่แล้ว”

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า การเมืองมีการกล่าวหากันไปมามันไม่จบ ขอให้เริ่มต้นใหม่ ขอให้ปรองดอง เลิกวุ่นวายได้ไหม นักการเมืองเลิกวุ่นวาย คืนสันติสุข ให้บ้านเมือง นักการเมืองต้องหันมาปรองดอง เป็นกลาง ให้ถูกต้องดีกว่า สำหรับคนที่เกลียดตน คนที่แค้น คนที่เป็นศัตรู อยากบอกว่าตนไม่เป็นภัยกับใครแน่นอน ไม่มีใครสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนล้วนมีข้อตำหนิ ไม่มีใครถูกหมด ไม่มีใครผิดหมด

“ผมก็ขออภัยกับสิ่งที่ทำผิดพลาดไม่ถูกใจ แต่ผมไม่มีพื้นฐานของความชั่ว เพียงแต่บางครั้งไม่มีโอกาส ไม่มีเวลา ผมบ้างาน ลืม ไม่ได้ดูแล บางอย่าง ผมขออภัยถ้าไม่ถูกใจ คนที่ลงโทษผม ผมถือว่าจบแล้วก็จบกัน อยากให้ได้ข้อยุติ”

สำหรับความผิดพลาดที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า คนเรามีผิดพลาดได้ ถ้าทำงานมากๆ มีความเครียด มีการเร่งเร้า เช่น นักการเมืองต้องมีเวลาสื่อสารกับประชาชนผ่านสื่อมวลชน ตนเองมีเวลากินข้าวกับสื่อมวลชนน้อยมาก ต้องเดินทางไปต่างประเทศมาก ต้องรับแขกต่างชาติมาก พบปะสื่อมวลชนน้อยเกินไป จุดอ่อนของคนไทยคือเมื่ออยู่ห่างกัน จะเกิดความสงสัยในทางลบมากขึ้น ตนดูแลลูกน้องไม่ทั่วถึง ลูกน้องรายงานแต่เรื่องดีๆ บางทีมีเรื่องไม่ดีกว่าจะรู้ก็เกิดขึ้นแล้ว

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า จุดอ่อนของเขาคือ เริ่มใช้อำนาจมากไป ตามหลักรัฐศาสตร์ มีมือที่เป็นกำปั้นเหล็ก และมือกำมะหยี่ คือ กฎหมายจะต้องใช้เท่าที่จำเป็นเพื่อความสงบเรียบร้อย ซึ่งจะโยงไปถึงเรื่องภาคใต้ ตนอยากบอกชาวมุสลิมภาคใต้ว่าตนทำเรื่องราวต่างๆ อย่างเข้าใจ แต่ที่เกิดขึ้นเพราะเห็นความรุนแรง มีการใช้อาวุธ ตนจึงใช้ความรุนแรงตอบ “ตอนนี้ผมอยากจะขอให้ลืมทุกอย่าง ผมถูกกระทำ ผมยังลืม วันนี้ขอให้ลืมทุกอย่าง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น