วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปราสาทพระวิหาร - เขมรลวงโลก รูปใหม่ -1

เขมรลวงโลกอีกแล้ว โฆษกพิน็อกคีโอป้องปากแถ "ไม่มีทหารที่ปราสาทพระวิหาร"


กระบั้งปลาเจ่า?-- ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 โฆษกเขมรอาจจะบอกชาวโลกว่านี่คือกระบอกเหล็กธรรมดาๆ ที่ข้างในอัดแน่นด้วยปลาเจ่า เพื่อเป็นเสบียงสำหรับ "ตำรวจ" บนปราสาทพระวิหาร แต่ผู้ถ่ายภาพนี้บรรยายว่า นี่คือ "กระสุน" ที่ทหารกัมพูชาแบกขนย้ายจากรถปิ๊กอัพที่บรรทุกขึ้นไป โฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกคำแถลงโกหกชาวโลกหน้าเฉยในวันเดียวกันว่า "ไม่เคยมีทหารและจะไม่มีทหาร" ที่ปราสาทมรดกโลก ไม่มีอาวุธหนัก มีตำรวจไม่กี่คนที่มีเพียงอาวุธปืนเล็กไว้รักษาความปลอดภัย.--REUTERS/Damir Sagolj.

ASTVผู้จัดการออนไลน์-- ถึงแม้จะมีภาพถ่ายการเรียงกระสุนปืนกลหนัก และ การลำเลียงอาวุธหนัก และภาพที่แสดงให้เห็นทหารเขมรจำนวนมากที่ปราสาทพระวิหาร เผยแพร่ไปทั่วโลกในช่วงวันสองวันมานี้ แต่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศก็ยังคงออกแถลงบิดเบือนข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งแสดงให้เห็นเจตนาปรักปรำฝ่ายไทยว่า ยิงปืนใหญ่เพื่อสร้างความเสียหายให้ปราสาทเก่าแก่แห่งนั้น

นอกจากนั้นภาพชุดใหม่ที่สำนักข่าวรอยเตอร์ถ่ายที่ปราสาทพระวิหารในวันอังคารนี้ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีส่วนใดของปราสาทที่พังทลายไปแล้ว ตามที่กัมพูชาฟ้องไปยังคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ

"ไม่เคยมีทหาร และจะไม่มีทหารกัมพูชาที่ปราสาทพระวิหาร ที่นั่นเป็นที่สำหรับกราบไหว้บูชาและเพื่อการท่องเที่ยวตลอดมา" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาระบุในคำแถลงอย่างเป็นทางการ ที่ออกในวันอังคาร 8 ก.พ.นี้

คำแถลงล่าสุดของโฆษกกัมพูชาออกมาเพื่อตอบโต้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกไทยที่ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ระบุว่า ทหารกัมพูชาได้ใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานอาวุธหนัก เพื่อยิงเข้าใส่ทหารไทยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำกว่าในดินแดนของไทย โฆษกกัมพูชากล่าวหาว่า โฆษกทหารของไทยระบุดังกล่าว ก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การโจมตีปราสาทพระวิหารของฝ่ายไทย

"ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็มีเพียงตำรวจเพียงไม่กี่คนและมีเพียงอาวุธปืนเล็กประจำอยู่ที่นั่น เพื่อรักษาความปลอดภัยปราสาท" คำแถลงกล่าวอ้าง

อย่างไรก็ตาม
ภาพของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่ถ่ายในเช้าวันเสาร์ 5 ก.พ. แสดงให้เห็นทหารกัมพูชาอย่างน้อย 2 คนกำลังจัดเรียงกระสุนปืนกลหนักอยู่ในอาณาบริเวณ โดยมีส่วนหนึ่งของปราสาทโบราณให้เห็นเป็นภูมิหลัง อีกภาพหนึ่งเป็นทหารเขมรกลุ่มใหญ่หลบพักอยู่ในปราสาทหลังหนึ่งในบริเวณปราสาทมรดกโลก

ภาพรอยเตอร์ที่เผยแพร่ในวันอังคาร 8 ก.พ.นี้ ยังแสดงให้เห็นทหารอีก 2 คนกำลังแบกลำเลียงลูกกระสุนปืนใหญ่หรือไม่ก็จรวดที่บรรจุในกล่องเหล็กบนปราสาทพระวิหารเช่นกัน อีกหลายภาพยังเปิดเผยให้เห็นทหารเขมรอีกจำนวนมากหลบภัยอยู่ในปราสาท อีกส่วนหนึ่งใช้ที่นั่นเป็นที่หลบพักอย่างถาวร

นัยตั้งแต่เกิดปะทะกันรอบใหม่วันศุกร์ที่ 4 ก.พ.เป็นต้นมา กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้ทำหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคง 2 ครั้ง และ ยังส่งในนามนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ทั้งหมดกล่าวหาว่าไทยยิงปืนใหญ่ถล่มปราสาทพระวิหาร ซึ่งทำให้ปราสาทพังทลายไปส่วนหนึ่งแล้ว

อย่างไรก็ตามภาพของรอยเตอร์ที่ถ่ายออกมาจากปราสาทพระวิหารในวันอังคารนี้ ไม่มีภาพใดที่แสดงให้เห็นปราสาทพัง ตามที่ฝ่ายกัมพูชาได้โพนทะนาไปทั่วโลก มีเพียงรอยกะเทาะของหินที่เกิดจากการตกกระทบที่เข้าใจว่าจะเป็นสะเก็ดกระสุนปืน กับซากหักพังที่มีอยู่แต่เดิมเท่านั้น.

"คำแถ"ลวงโลกอย่างมึน


2

ไปดู"ตำรวจ"ที่โฆษกเขมรพูดถึง



สบายอารมณ์เพลินชมมรดกโลก-- ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 ทหารกัมพูชาฆ่าเวลา "ณ ที่ตั้ง" ที่ปราสาทพระวิหารสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 11 ที่ชายแดนกัมพูชาไทย ทหารกัมพูชายังคงเตรียมพร้อมสูงสุดในวันอังคารนี้ หลังการปะทะในบริเวณปาราสาทฮินดูอายุ 900 ปี บนยอดเขาแห่งนี้.-- REUTERS/Damir Sagolj.
3



เฝ้าพระศิวะ-- ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 บ้างก็นั่งเล่นบ้างก็หลับ ทหารกำพูชาฆ่าเวลา "ณ ที่ตั้ง" ที่ปราสาทพระวิหารสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 11 ที่ชายแดนกัมพูชาไทย ทหารกัมพูชายังคงเตรียมพร้อมสูงสุดในวันอังคารนี้ หลังการปะทะในบริเวณปาราสาทฮินดูอายุ 900 ปี บนยอดเขาแห่งนี้.-- REUTERS/Damir Sagolj.
4



ภาพวันที่ 8 ก.พ.2554 ทหารกัมพูชาขัดรองเท้าที่ "ณ ที่ตั้ง" ของพวกเขาบนปราสาทพระวิหาร ถึงกระนั้นโฆษกกัมพูชาก็ยังออกแถลงลวงโลกว่า "ไม่เคยมีและจะไม่มีทหาร" อยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นความพยายามสร้างความชอบธรรม ให้แก่การกล่าวหาฝ่ายไทยต่อยูเอ็นที่ว่าไทยยิงถล่มปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทำให้ปราสาทบางส่วนพังลง.-- REUTERS/Damir Sagolj.
5



เฝ้าพระศิวะบนเขาพระสุเมรุ-- ทหารกัมพูชานอนหลับภายในปราสาทพระวิหาร มีเครื่องยิงระเบิดอาร์พีจีวางอยู่ใกล้ๆ โฆษกกัมพูชาออกแถลงลวงโลกในวันนี้ว่า "ไม่เคยมีและจะไม่มีทหาร" อยู่ที่นั่น ในความพยายามสร้างความชอบธรรม ให้แก่การกล่าวหาฝ่ายไทยต่อยูเอ็นที่ว่าไทยยิงถล่มปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทำให้ปราสาทบางส่วนพังลง.-- REUTERS/Damir Sagolj.

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ภาพเก่า “เขาพระวิหาร” - 2

วันศุกร์ ที่ 13 มิถุนายน 2551
Posted by ศุภศรุต , ผู้อ่าน : 10595 , 15:40:57 น.
หมวด : ศิลปะ/วัฒนธรรม

พิมพ์หน้านี้
โหวต 0 คน

เมื่อเจ้านโรดมสีหนุเสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อจาก " พระเจ้าศรีสวัสดิ์มุนีวงศ์ " เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2484

.

พระองค์คงจะได้เก็บ ความทรงจำ ที่ปวดร้าวของพระอัยกา ต่อการสูญเสียแผ่นดินกัมพูชาอันไพศาล อันได้แก่ จังหวัดเสียมเรียบ จังหวัดอุดรมีชัย จังหวัดสตึงแตร็ง - รัตนคีรี จังหวัดโพธิสัตว์ (สวาย) จังหวัดกัมปงธม รวมทั้งจังหวัดพระวิหาร อันเป็นที่ตั้งของ ปราสาทเขาพระวิหาร ให้แก่ประเทศไทยในปี พ.ศ.2483 ในสภาพการณ์ของสงครามมหาเอเชียบูรพาและการบีบบังคับของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งพระองค์ได้บันทึกเรื่องราวนี้ไว้ว่า

.

......จากการสูญเสียดินแดนเขมรอันศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนั้น คุณตาของฉัน คือ สมเด็จศรีสวัสดิ์มุนีวงศ์ทรงตรอมตรมพระราชหฤทัยและเสด็จสวรรคตด้วยความเศร้าโศก .......

.

.

ประวัติศาสตร์กัมพูชาบันทึกไว้ว่า พระเจ้าศรีสวัสดิ์มุนีวงศ์ กษัตริย์ในอารักขาของฝรั่งเศส เสด็จสวรรคตในปีเดียวกันกับที่ทรงสละราชสมบัติ ณ เมืองท่ากำปอด

.

.....แต่เพราะด้วยชัยชนะของฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ฉันได้มีโอกาสทางประวัติศาสตร์ในการกอบกู้ดินแดนคืนให้แก่มาตุภูมิของฉันอีกครั้ง นั่นคือดินแดนของชาวกัมพูชาที่เคยสูญเสียให้แก่ประเทศไทยและได้ยอมรับที่จะคืนให้แก่พวกเรา.. ....พวกเรา กัมพูชา ชาติเขมรและประชาชนชาวกัมพูชาทุกคน

.
ความฝังใจในการสูญเสียแผ่นดินให้กับประเทศไทยของสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ ยังคงเป็นแรงผลักดันให้พระองค์ตั้งตัวของพระองค์เป็นปรปักษ์กับรัฐบาลไทยมาตลอดเวลา และด้วยบุคลิกภาพและรูปร่างหน้าตาที่เป็นแรงดึงดูด ประกอบกับความเป็น "
ผู้นำ" ในการฟื้นฟู ลัทธิชาตินิยม ของกัมพูชายุคใหม่ พระองค์ทรงวางเกมการเมืองอย่างชาญฉลาด ยอมเป็นลูกแมวน้อยที่ไม่เชื่องนักของฝรั่งเศส แต่ก็หันไปคบกับคอมมิวนิสต์จีนและเวียดนาม รวมทั้งยอมรับการช่วยเหลือและเปิดพื้นที่ให้อเมริกาเข้ามาในภูมิภาคเป็นครั้งเป็นคราว

.

ซึ่งความสำเร็จจากการวางตัวแบบ หลายหัวหลายด้าน นี้ นำมาซึ่งความสำเร็จในการประกาศเอกราชของประเทศกัมพูชาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2497

.

แต่เมื่อการเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่มีข้อจำกัดมากมาย พระองค์จึงเปลี่ยนสถานะ กระโดดลงมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว โดยทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2498 และถวายราชบัลลังก์กษัตริย์ที่ไร้อำนาจนั้นให้แก่พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สุรามฤต พระราชบิดาของพระองค์เอง

.

และ นายกรัฐมนตรีสีหนุ ได้ยื่นฟ้องศาลโลก เพื่อขอทวงคืนอธิปไตยบนปราสาทเขาพระวิหาร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวกัมพูชาในทันที !!!

.

เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2505 ศาลโลกได้พิจารณาตามหลักฐานที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างถึงแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามสนธิสัญญาพุทธศักราช 2447 ที่มี พลเอกหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานฝ่ายไทย และ พันโทแบร์นารด์ เป็นประธานฝ่ายฝรั่งเศส ซึ่งได้มีการส่งแผนที่ดังกล่าวให้รัฐบาลสยามจำนวน 50 ฉบับโดย "พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ" เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรง "ตอบรับ" ในปี พ.ศ. 2451 พร้อมทั้งทรงขอแผนที่ดังกล่าวเพิ่มเติมอีก 15 ชุดเพื่อไปแจกจ่ายให้กับข้าราชการในท้องถิ่น

.

ข้อวินิจฉัยของศาลโลก ก็คือ ให้ถือว่า ราชอาณาจักรไทยยอมรับแผนที่ดังกล่าว เพราะเหตุนิ่งเฉยและมิได้ประท้วงแผนที่นั้นในอดีต จึงมีมติ 9 ต่อ 3 ให้พื้นที่150 ไร่ รูปห้าเหลี่ยมคางหมู ตกเป็นของประเทศกัมพูชา ( ดูจากแผนที่นะครับ)

.

.

แผนที่ซ้อนทับ แรงเงาสีแดงคืนพื้นที่ซ้อนทับ

.

คำตัดสินดังกล่าว นำมาสู่ความยินดีอย่างที่สุดของเจ้านโรดมสีหนุและชาวกัมพูชา พระองค์ทรงถือเป็นชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ ในยุคสังคมประชาชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

.

และดูเหมือนว่า ชัยชนะในปี พ.ศ. 2505 ดูจะยิ่งใหญ่และถูกนำมาสร้างเป็นสัญลักษณ์ แห่งความภาคภูมิใจให้กับชาวกัมพูชา มาตลอด 50 กว่าปี

.

สัญลักษณ์ เขาพระวิหาร จึงไม่ใช่เป็นเพียง "ศาสนบรรพตที่มีภูมิทัศน์โดดเด่นที่สุดในเอเชียอาคเนย์" อีกต่อไป มันได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งชาตินิยม ที่ฝังใจชาวกัมพูชา ไม่ว่าในยุคสมัยใด

.

.

.

ภาพ ภาพแกะสลักพระนารายณ์ พระนางลักษมีและนางภูมิเทวี ที่ผามออีแดง

.

.

ภาพ สถูปคู่

.

ชัยชนะของเขาพระวิหารในครั้งนั้น คือชัยชนะเหนือประเทศเพื่อนบ้านที่ยิ่งใหญ่อย่าง "ประเทศไทย" ที่ชาวกัมพูชาถือว่า คอยเหยียบย่ำ รุกรานและแสวงหาประโยชน์จากแผ่นดินกัมพูชามาโดยตลอด

.

ในมุมกลับกัน ชาวไทยจำนวนมากต่างก็ร่ำไห้เสียใจ ต่อการสูญเสียอธิปไตยของเขาพระวิหารให้กับประเทศกัมพูชา ที่ดูจะยิ่งใหญ่กว่าการร่ำร้องแผ่นดินอื่น ๆ ที่ถูกแย่งชิงไปโดยจักรวรรดินิยมอังกฤษและฝรั่งเศส

.

เพราะมันหมายถึง ความพ่ายแพ้ ของ ชาตินิยม ในไทย ต่อประเทศเล็ก ๆ อย่างกัมพูชาในเวทีโลกปัจจุบันหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

.

ส่วน เส้นกั้นพรมแดนไทย - กัมพูชา หลังจากปี พ.ศ. 2505 ก็ยังไม่มีการปักปันอย่างชัดเจนแต่อย่างใด เพราะในประเทศกัมพูชาเองก็เกิดสงครามกลางเมืองมาตลอด

.

และเมื่อมีเสถียรภาพหลังปี พ.ศ. 2537 ปัญหาการปักปันเส้นกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชัดเจนแต่อย่างใด

.

เส้นกั้นพรมแดนทั้งตลอดแนวชายแดนก็ยังคงเป็นปัญหาไม่รู้จบมาจนถึงปัจจุบัน ฝ่ายกัมพูชายังคงถือแผนที่ของฝรั่งเศส ที่อ้างว่ายึดตามแนวสันปันน้ำ (แต่ความเป็นจริงก็ขีดเส้นเองในแผนที่)ในขณะที่ฝ่ายไทย ยึดแผนที่ของสหรัฐอเมริกาที่ปรับปรุงใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

.

.

ภาพ ประตูทางขึ้นใหม่ที่ร่นลงมาจากด้านบน รุกล้ำโดยเปิดเผย ?

.

ชายแดนไทย- กัมพูชาในปัจจุบัน จึงมีลักษณะ ทั้ง No Man's Land และทั้งแบบการจัดหมู่บ้านอาสาเข้าไปตั้งที่บริเวณเส้นเขตแดนเสมือน มีการแข่งขันกันทางกายภาพเพื่อครอบครองแผ่นดิน มากกว่าจะมีหลักเขตที่ชัดเจน

.

วิกฤตการณ์เขาพระวิหาร ก็เช่นกันครับ เมื่อปัญหาของ เส้นแบ่งเขตแดนที่มองไม่เห็น ยังไม่ได้รับการเจรจาปักปัน พื้นที่ใดใครเข้าครอบครอง ก็จะถือว่าเป็นดินแดนของตน

.

เขาพระวิหารจึงเกิดการซ้อนทับแผนที่และเกิดการตั้งถิ่นฐานเข้ามาครอบครองพื้นที่เชิงเขา เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว เพราะในก่อนหน้านั้นประมาณปี 2534 ผมได้มีโอกาสขึ้นไปเที่ยวชมปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งในเวลานั้น ประตูเหล็กของฝ่ายไทยในครั้งเสียเขาพระวิหารในปี 2505 ก็ยังคงอยู่ ซึ่งในรายละเอียดในคำตัดสินของศาลโลกยังคงให้ประเทศไทยเป็นเจ้าของ บันได ทางขึ้นจนถึงชั้น บันไดนาคราช

.

.

.

ภาพ บันไดทางขึ้น ซึ่งแต่เดิมจะมี "ประตูเหล็ก" และ "แนวลวดหนาม"กั้นแบ่งเขตบนชั้นที่ 162 (ตรงป้อมขาวจะเห็นประตูรั้วลวดหนาม) ซึ่งตามคำสั่งศาลโลกและมติคณะรัฐมนตรีในยุคนั้น "บันได" ทางขึ้นชั้นล่างจะเป็นของไทย !!!

(ภาพขาวดำ จากหนังสือ"เขาพระวิหาร: ระเบิดเวลาจากยุคอาณานิคม" (หน้า 52) ของ ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม)

.

.

.

ภาพ ชั้นนาค(ราวบันได) จุดเริ่มต้นเขตของกัมพูชาตามคำสั่งศาลโลก

.

แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เองครับ เกิดการรุกเข้ามาตั้งบ้านเรือน ฐานที่มั่นทางทหาร ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และลานร้านค้า ขยายตัวออกจากฐานบันไดลงมาเชิงเขา

.

ประมาณ ปี พ.ศ. 2544 มีการย้ายประตูเหล็กมายังร่องน้ำเล็ก ๆ เชิงทางขึ้นเขาพระวิหาร ตามตำแหน่งการแบ่งเขตแดนในแผนที่ของประเทศฝรั่งเศสที่ยึดเรื่องของ ร่องน้ำลึก เป็นสำคัญ ร่องน้ำเล็ก ๆ ที่ไหลออกจากสระตราวลงไปที่หน้าผาตะวันออก จึงกลายมาเป็นพรมแดนใหม่ในทันที

.

ตรงนี้จึงถือได้ว่า มีการรุกล้ำอธิปไตยและเข้ามายึดครองอย่างถาวร โดยไม่มีการผลักดันทางทหารจากฝ่ายไทยเลย !!!

.

.

.

แต่ก็เพราะบริเวณฝั่งประเทศไทยเองก็ไม่มีชุมชนตั้งอยู่ เป็นเขตป่าเขาพนมดงรัก ซึ่งในปีพ.ศ. 2541 ได้มีการประกาศเป็น "เขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร" ประชิดกับตัวปราสาท จึงไม่มีหมู่บ้านของคนไทยไปอยู่อาศัยในพื้นที่อุทยาน นอกจากฐานที่มั่นของตชด.และทหารพราน ซึ่งในเวลานั้น ก็ไม่ได้รับคำสั่งให้เข้าผลักดันการรุกล้ำดินแดน ด้วยเพราะเหตุผลสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตขึ้น

.

เฮ้อ....(ถอนหายใจ)

.

.

.

ภาพ บารายชั้นล่าง

.

เดิมฝ่ายกัมพูชาสามารถขึ้นเขาพระวิหารได้เพียงทางเดียว คือ ช่องบันไดหัก ที่อยู่ห่างจากผนังปราสาทประมาณ 100 เมตร แต่เมื่อไร้การทักท้วงจากฝั่งไทย พลมด กัมพูชา ก็หลั่งไหลขึ้นมาตั้งถิ่นฐานจนสามารถตั้ง หมู่บ้าน เพื่อทำธุรกิจบริการท่องเที่ยวบนเขาพระวิหารขึ้นในเขตทับซ้อนได้มาเป็นนานหลายปี

.

ฝ่ายทหารกัมพูชาแต่ละฝ่าย จนถึงยุคปัจจุบันก็ติดตาม พลมดเข้ามาตั้งค่ายพักในพื้นที่ทับซ้อนและควบคุมแนวชายแดนได้อย่างถาวร !!!

.

.

ภาพ สุขาชั่วคราวบนลานชั้นที่สอง

.

การอ้างสิทธิในดินแดน "ทับซ้อน" ของประเทศกัมพูชา ตามเอกสารแนบท้ายการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม จึงกลายมาเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาวิกฤตการณ์เขาพระวิหาร ในปี พ.ศ. 2551

.

เพราะเอกสารได้ใช้แนวเขตแดน ตามแผนที่ฝรั่งเศสและใช้การอ้างอิงจากการตั้งถิ่นฐานของชาวกัมพูชาเชิงเขาพระวิหารที่มีอยู่จริง ให้กับ UNESCO

.

อีกทั้งยังปฏิเสธความร่วมมือในการขอมรดกโลกร่วมกัน ระหว่างเขาพระวิหารของกัมพูชาและโบราณสถาน วัฒนธรรม ในภูมิภาคเดียวกับเขาพระวิหาร ในลักษณะเป็น พหุภูมิภาค (Multiregional) อันได้แก่ "สระตราว" บารายโบราณขนาดมหึมาของเขาพระวิหาร, มออีแดง แหล่งพำนักของเหล่าช่างและครัวเรือน กัลปนา ครัวเรือนที่อุทิศถวายแก่เทพเจ้า, สถูปคู่ สถูปหินที่เชื่อว่าเป็นที่เก็บอัฐิของ "วรกมรเตงอัญ ตปัสวีนทรบัณฑิต" และ ภควัตบาท กมรเตงอัญ ตะ คุรุศรีทิวากรบัณฑิต ผู้ดูแลครัวเรือนของหมู่บ้านศัมภูกรมและภวกรม, ถ้ำและน้ำตกขุนศรี ถ้ำที่หลวงศรี นักบวชนุ่มขาวห่มขาว ผู้เฝ้าปราสาทเขาพระวิหาร รับเงินเดือนจากรัฐบาลไทย ในช่วงรัชกาลที่ 5 – 6 ,น้ำตกตานีหรือน้ำตกห้วยตา น้ำตกขนาดเล็กใกล้กับมออีแดง ,“ถ้ำฤๅษี เพิงถ้ำขนาดใหญ่ใกล้กับสระตราว และ แหล่งตัดหินสร้างปราสาท บริเวณสระตราว ขึ้นทะเบียนเป็นมรดโลกทางวัฒนธรรมร่วมกัน

.

.

ภาพ ประตูหลอกสลักลายตามอย่างประตูไม้ ที่หายไปหมดแล้ว ศิลปะแบบบาปวนและเกลียง ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 16

.

การแก้ปัญหาพื้นที่ซ้อนทับ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข ทั้งในแผนที่ซึ่งก็มีข่าวว่าทางประเทศกัมพูชารับข้อเสนอที่จะแก้ไขแผนที่แนบท้ายแล้ว

.

อีกทั้งทาง กายภาพ ที่ปรากฏการรุกล้ำ ครอบครองดินแดนเชิงเขาพระวิหารอย่างเปิดเผยของชาวกัมพูชา จนนำไปสู่การปลุกสำนึกชาตินิยมในจังหวัดศรีสะเกษ ที่มีเป้าหมายจะทวงคืนดินแดนเล็ก ๆ เพียง 8 ตารางกิโลเมตรนั้นคืนจากการครอบครองของกัมพูชา

.

.

.

ภาพ ปราสาทประธานเขาพระวิหาร ส่วนเรือนปราสาทพังลงมา เหลือแต่มณฑป

.

ซึ่งดินแดนซ้อนทับเล็ก ๆ นี้ อาจกลายมาเป็นวิกฤตร้อน ปะทุระอุขึ้นเป็น"ข้อพิพาท" จนลามไปกระทบชิ่ง ประวัติศาสตร์แห่งความอัปยศของชาวไทย ที่ต้องพ่ายแพ้และสูญเสียเขาพระวิหารในอดีต ซึ่งมันจะไม่มีผลดีกับประเทศใดเลย มันจะสร้างแต่รอยร้าวและความสูญเสีย

.

ทางออกของปัญหา ประเทศไทยต้องยอมรับว่า มีการปล่อยปะละเลยเพื่อผลทางการท่องเที่ยวและแนวอุทยานแห่งชาติ ได้ทำให้เกิดการรุกล้ำแนวเขตแดน ซ้อนทับ ครั้งใหญ่ที่เขาพระวิหาร เป็นความผิดพลาดของเราเองในส่วนหนึ่ง !!!

.

.

ภาพ ระเบียงคด ที่ตั้งของฐานทัพต่อต้านเวียนามของเขมรเสรีในอดีต

.

ในขณะที่ประเทศกัมพูชา ควรจะเข้าใจและยึดมั่นในคำตัดสินของศาลโลก ให้ดินแดนบริเวณบันไดและพื้นที่ห่างจากกำแพง 100 เมตร กลับคืนมาเป็นของไทย และควรดำเนินการถอนผู้คนออกจากเขตซ้อนทับ ให้เขตซ้อนทับนั้นเป็นเขต“No Man's Land” เสียก่อน

.

อย่าฉีกคำตัดสินของศาลโลกเอง เพราะยังมีคนไทย คลั่งชาติ จำนวนมาก ที่อยากจะใช้ประเด็นนี้ นำไปสู่การฟ้องร้องศาลโลกอีกครั้ง เพื่อทวงปราสาทเขาพระวิหาร คืนจากกัมพูชา

.

.

.

.

ภาพ "พลมด" และร้านค้าของที่ระลึก บนส่วนยอดสุดของปราสาท

.

หากปรัชญา มรดกโลกทางวัฒนธรรม คือสมบัติของชาวโลกทุกคน ชาวกัมพูชาก็ควรจะประสานความร่วมมือให้เกิดการขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันบนพื้นฐานของ สันติภาพ และ ความเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ในสายเลือดของชาวไทยและกัมพูชากว่า 2,000 ปี

.

มากกว่าจะไปนำประวัติศาสตร์ที่เจ็บแค้น แต่ไม่มี คุณค่า ในโลกปัจจุบัน มาตั้ง ธงแห่งอคติ ใส่ชาวไทย

.

โปรดอย่านำความเจ็บปวดของเจ้าสีหนุ และลัทธิ ชาตินิยม เห่ย ๆ กลับมาเลย

.

มรดโลก ที่เริ่มต้นด้วยสันติภาพ จะเป็นมรดกที่มีคุณค่าและยืนยาว!!!

.

อย่างไรซะ เขาพระวิหาร ก็ยังเป็น "ศาสนบรรพต" สัญลักษณ์แห่งชัยชนะของชาวกัมพูชาเสมอ

.

.....แต่ บันไดทางขึ้นน่ะ ของไทยชัวร์ ๆ นะครับ เอาคืนมาเสียเถิด ผมมีภาพฟ้องศาลโลกนะ !!!

.

หุหุ.....

.

.
.

.

.

.

.

.

.

.

.

แถมท้ายเที่ยวชม "ประติมานวิทยา" ที่ปราสาทหินเขาพระวิหารกันซักหน่อยละกัน จะได้ไม่เสียเที่ยวเอนทรี่เขาพระวิหารนี้

.

ปราสาทหินเขาพระวิหาร สร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยบูชาพระศิวะ ในลัทธิ"ไศวะนิกาย" ที่กษัตริย์เขมรในสมัยโบราณจะผ่านพิธีกรรมเพื่อจุดมุ่งหมายนำดวงวิญญาณเมืองสวรรคตขึ้นไปรวมกับสกลกษัตริย์หรือเทพเจ้า เกิดเป็นลัทธิ"เทวราชา"

.

ตามจารึกกล่าวถึงเขาพระวิหารครั้งแรก ในสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ผู้สถาปนา "ยโศธรปุระ" ในปลายพุทธศตวรรษที่ 14 พระองค์สุถาปนามหาปราสาท "ศรียโศธรคีรี" หรือ "พนมบาเค็ง - พนมกังดาล" ขึ้นเป็นศูนย์กลางจักรวาลแห่งใหม่ รวมทั้งสถาปนาปราสาทบนยอดเขาหลายแห่งเช่นที่พนมบก พนมกรอม และปราสาทเขาพระวิหาร

.

แต่หลักฐานของอาคารในยุค"พนมบาแค็ง" ในต้นพุทธศตวรรษที่ 15 นั้น กลับไม่ปรากฏอยู่บนปราสาทเขาพระวิหารเลย ? จึงเชื่อว่า อาจมีการรื้ออาคารอิฐรุ่นเก่าออก หรือ ปราสาทพระวิหารที่ปรากฏชื่อในจารึกนั้นอาจจะเป็น"ปราสาทโดนตวน" ปราสาทหลังเดี่ยวขนาดย่อม ที่อยู่ในเขตประเทศไทยในปัจจุบันก็เป็นได้........ที่ปราสาทโดนตวนนี้มีร่องรอยการต่อเติมและปรับปรุงมุขยื่นด้านหน้าเป็นศิลปะแบบเกะแกร์ - เกลียง ซึ่งเป็นศิลปะเดียวกันกับปราสาทเขาพระวิหาร

.

ปราสาทหินเขาพระวิหารถูกสร้างขึ้นบนเชิงผาขนาดใหญ่ลูกใหม่ ที่มีภูมิทัศน์ที่โดดเด่น ห่างจากปราสาทโดนตวนมาทางทิศตะวันตก 3 ช่วงหน้าผา สร้างขึ้นในช่วงสมัยของ "พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1" เป็นการสร้างเพียงยุคสมัยเดียวครับ .....สร้างขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 16 ในศิลปะผสมผสานทั้งแบบ บาแค็ง เกาะแกร์ บันทายสรี เกลียงและบาปวน

.

.

.


ภาพเก่า ... กรณีเขาพระวิหาร - 1

ภาพตำนานเมืองศรีสะเกษ
...ประวัติเมืองศรีสะเกษที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร พบได้ในพงศาวดารไทยช่วงท้ายกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุง เป็นเรื่องการก่อตั้งเมืองศรีสะเกษในยุคแรก (ศรีนครลำดวน) คราวนี้ผมเพิ่งไปอ่านตำราประวัติศาสตร์ของลาวเล่มหนึ่ง กล่าวถึงชื่อเมืองศรีสะเกษเอาไว้ด้วย โดยชื่อปรากฏอยู่ในบันทึกการบริหารจัดการแผ่นดินของเจ้าสร้อยสีสมุทพุทธางกูรในขณะที่ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์พระองค์แรก (พ.ศ.2256-2281) ได้ทรงตั้งเจ้าเมืองไปปกครองดูแลหัวเมืองในดินแดนปกครองของจำปาศักดิ์ ซึ่งปรากฏว่ามีชื่อเมืองศรีนครเขต (อยู่ที่เดียวกันกับศรีสะเกษในปัจจุบัน)


ภาพข้างบนเป็นการเสด็จมาปราสาทพระวิหารของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งในขออ้างในคำให้การสมัยคดีความปี 2505 นำภาพมาให้ดูบรรยากาศสมัยโน้นค่ะ ต้องเดินทางข้ามป่าข้ามเขารอนแรมมาด้วยช้าง หนทางน่าจะลำบากมาก นี่ขนาดเป็นฝั่งไทยที่ทางลาดลงมานะค่ะ ลองนึกภาพดูว่าถ้าเป็นทางฝั่งเขมรมันจะขึ้นมากันยังไงเนี่ยสมัยนั้น

ภาพนี้เป็นการเดินขบวนประท้วงเขมรในกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหารเมื่อพ.ศ.2504 ก่อนจะมีการตัดสินของศาลโลกค่ะ เป็นการประท้วงที่อ.ขุนหาญ ซึ่งการเดินขบวนประท้วงแบบนี้มีทุกพื้นที่ในศรีสะเกษค่ะ

เป็นภาพธงประเทศไทยค่ะ

ภาพนี้ถ่ายประมาณปี 2500 ค่ะ

เพราะรูปนี้คือตำนานค่ะ รูปนี้เป็นอุบัติเหตุรถทัศนาจรของโรงเรียนหนึ่งนำคณะครูนักเรียนไปเขาพระวิหาร ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ มีครูผู้หญิงท่านหนึ่งกระโดดออกจากตัวรถขณะที่รถกำลังเอียงจึงถูกรถทับเสียชีวิต ส่วนคนอื่นๆในรถไม่มีใครเป็นอะไรเลย ครูท่านนั้นชื่อว่า "แดง" สถานที่แห่งนั้นจึงตั้งชื่อว่า "ผามออีแดง" ค่ะ

ริมน้ำมูลปี2509 จะเห็นตัวแม่น้ำที่กว้างและลึก ต่างจากในปัจจุบันมากค่ะ





ขอบคุณแหล่งที่มาค่ะ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=291962

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไทย-เขมร ยิงกันที่เขาพระวิหาร สงครามลวงโลก แค่กลบกระแส แต่ดินแดน 4.6 ตร.กม. ถูกยึดไปแล้ว

ข่าวลวงโลก - รอชาวบ้านหนีหมดก่อน จึงยิงถล่มหมู่บ้าน โรงเรียน ให้รู้ว่า สงครามทำชาวบ้านเดือดร้อน เขมรตาย 64 แค่ข่าวลือ ที่มีข่าวแค่ในประเทศไทย แต่ทำให้คนไทยเชื่อได้ เพราะคนไทยชอบดูละคร ชอบดูตลก
สื่อเขมรเคยกล่าวอ้างทหารไทยเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหารไปแล้ว 88 นาย พล.ท.วีร์วลิต กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง โดยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2552 มีทหารบาดเจ็บประมาณ 9 คน เสียชีวิต 2 คน ยืนยันว่าไม่มีการสูญเสียมากมายอย่างที่เป็นข่าว.

เหตุเกิด 15.15น วันศุกร์ ระหัสทหาร 666 เลยสร้างเรื่องโกหก ยิงถล่มกัน รมต.กษิต สีหน้าเรียบเฉย ทั้งประชุมอยู่ในเขมร เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 6 โมงเช้า ยิงกันซ้ำอีก สายๆ บอกทหารเขมร ตายไป 64 นาย ปิดชายแดนเข้าไปเจรจา 2-3 ชม. เปิดใหม่ ชาวบ้านค้าขายกันต่อไม่มีความโกรธแค้นชิงชัง

ความมั่นคง

ข่าวโดยNation Channel วันที่5 กุมภาพันธ์ 2554
จำนวนผู้ชม 7589

ปะทะรอบ 2 ทหารเขมรตาย 64

โฆษกกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ระบุเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาอีกระลอกเช้านี้ บริเวณชายแดนจ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บอีก 4 ขณะที่ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 64 นาย และรถยานเกราะเสียหาย 12 คัน


ต้องไล่เขมรลงเขาพระวิหารไป เสร็จแล้วล้อมรั้ว ถ้าจะมาอยู่ให้อยู่ในคอกที่กำหนดให้ ... ทำแบบนี้ให้เสร็จก่อน ทหารไม่ต้องส่งไปตาย ประกาศออกทีวี ทิ้งระเบิดปูพรม ... แล้วค่อยขึ้นไปเคลียร์พื้นที่



(ภาพด้านบนเป็นภาพร่องรอยความเสียหายของตัวปราสาทพระวิหาร)


(ภาพด้านล่าง เป็นภาพจากสำนักข่าวต่างประเทศ และภาพวิดิโอบันทึกจากสนามรบ บันทึกจากฝั่งทหารกัมพูชา)








(ภาพถ่ายจากวิดีโอหน้าจอโทรทัศน์กัมพูชา เป็นเหตุการณ์วันที่ 4 ก.พ.2554 ทหารกัมพูชาถือเครื่องยิงลูกระเบิดอาร์พีจี ขณะยืนหลบอยู่ด้านหลังบังเกอร์ ระหว่างปะทะกับทหารไทยที่ชายแดนใกล้ปราสาทพระวิหาร.-- REUTERS/CTN.)


นายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ เผยข้อเท็จจริง ระบุไทยเป็นฝ่ายรุกล้ำดินแดนกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2011 ระหว่างเวลา 15.00 น. ถึง 17.00 น. โดยทหารไทยกว่า 300 นายได้เข้ามายังดินแดนกัมพูชาและโจมตีกัมพูชาจาก 3 จุด และเช้าวันที่ 5 ก.พ. 2011 เวลา 06.30 น. โดยไทยยิงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 ม.ม. ที่ภูมะเขือ เป็นเวลา 20 นาที
“การโจมตีเป็นผลให้เกิดความเสียหายรุนแรงอย่างมากต่อปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นมรดกโลก เช่นเดียวกับการเสียชีวิตและบาดเจ็บของทหารกัมพูชาและประชาชนกว่าสิบราย”
ไทยได้ละเมิดศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกัมพูชาและประเทศไทยเป็นภาคี และละเมิดข้อตกลงสันติภาพปารีสปี 1991 ในเรื่องความเป็นเอกราช บูรณภาพแห่งดินแดน การไม่อาจล่วงล้ำ ความเป็นกลาง ความเป็นเอกภาพของชาติของกัมพูชา
ขอบคุณเนื้อหาจาก ประชาไท และสำนักข่าว DAP