วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คำถวายฎีกา การสูญเสียแผ่นดินเข้าพระวิหารและมณฑลบูรพา พร้อมทั้งการกอบกู้ 


คำถวายฎีกา
แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชแห่งบรมราชจักรีวงศ์ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ประมุขแห่งราชอาณาจักรไทย และจอมทัพไทย

โดย..สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ พรรคองค์การนำใหม่ประชาชนปฏิวัติสันติ(พรรคตามธรรมชาติ) สภาบันปฏิวัติสันติพุทธอหิงสาธรรมประเสริฐ ทรัพย์สุนทร คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ แนวทาง ร.๕ ร.๖ ร.๗ นโยบาย ๖๖/๒๓
เลขที่ ๒๒๑ หมู่ ๔ บ้านโศกขามป้อม ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โทร. ๐๘๙-๘๘๖-๐๘๖๘
----------------------------------------------------------------------------------------------- 






ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
เรื่อง การสูญเสียแผ่นดินเข้าพระวิหารและมณฑลบูรพา พร้อมทั้งการกอบกู้

ข้าพเจ้าทั้งหลาย ในฐานะปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของประเทศ และผู้เป็นพสกนิกรที่จงรักษ์ภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยแห่งทศพิธราชธรรมตลอดมาและตลอดไป และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบรมเดชานุภาพ พระบารมีปกเกล้าฯ อันยิ่งใหญ่แผ่ไพศาล เป็นล้นพ้น ขอพระบรมราชานุญาตทูลเกล้าถวายฎีกาเพื่อทรงพระกรุณาทราบ ว่าด้วยปัญหาการสูญเสียแผ่นดินเขาพระวิหารและมณฑลบูรพาพร้อมทั้งการกอบกู้ อันเป็นไปตามพระราชปณิธานที่เป็นพระบรมราชโองการอันยิ่งใหญ่ว่า.. “ในรัชกาลของข้าพเจ้าจะไม่ให้เสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” ที่เป็นไปตามพระปฐมบรมราชโองการอันลือลั่นไปทั่วโลกว่า.. “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในฐานะประมุขแห่งรัฐ(Head of State) และจอมทัพไทย(Generalissimo) ซึ่งองค์รัฎฐาธิปัตย์(The Sovereign)เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการหรือมีพระราชดำริตามพระราชวินิจฉัย ควรมิควรประการใดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามพระราชอำนาจอันชอบธรรมศักดิ์สิทธ์(Righteousness) และหน้าที่พระราชภารกิจอย่างอันสูงสุดในแผ่นดินนี้ เพื่อพิทักษ์รักษาความมั่นคงแห่งชาติราชอาณาจักรไทย และความปลอดภัยของปวงชนชาวไทยอันเป็นกฎหมายสูงสุด(Supreme Law)ที่ไม่มีกฎหมายใดแม้แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลัก(Principle Law)ก็ไม่อาจจะขัดหรือแย้งได้อย่างสิ้นเชิงถ้าขัดหรือแย้งย่อมเป็นโมฆะตามหลักนิติธรรม(Rule of Law) ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เคยยื่นคำถวายฏีกาในเรื่องนี้ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ในนามของ.. “คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา” และขอพระบรมราชานุญาตถวายคำฎีกาอีกครั้งหนึ่งเพิ่มเติมให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ดังความที่จะกราบบังคมทูล ต่อไปนี้...

๑. ขอพระบรมราชานุญาต อ้างถึงหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ได้พาดหัวข่าวว่า.. “เขมรงัดอีกไม้ ขอยืมแผนที่จากยูเอ็น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ ยืนยันเขตแดนสางพิพาทกับไทย-เวียดนาม” โดยมีเนื้อข่าวโดยสรุปว่า.. “โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา กอย เกือง แถลงก่อนหน้านั้นว่า กัมพูชายังไม่ลืมคำตัดสินของศาลโลก และจะต้องดำเนินการตามคำสั่งของศาลยุติระหว่างประเทศ แต่ที่ต้องหยุดชะงักลงไปก็เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของไทยที่ไม่ปกติ นายเกือง การที่ศาลโลกสั่งให้ไทยต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ที่กลายเป็น “เขตปลอดทหาร” นั้น เป็นการยืนยันให้เห็นว่า พื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหารทั้งหมดเป็นของกัมพูชา” ตามลิงก์ดังต่อไปนี้... http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9580000080688

ได้เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า รัฐบาลของระบอบเผด็จการรัฐสภา ได้ทำให้เสียแผ่นดินรอบๆ ปราสาทพระวิหาร และแผ่นดินทั้งบนบกและในทะเลอ่าวไทยจำนวนมาก ตามคำตีความคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. ๒๕๐๕ ของศาลโลก เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ โดยรัฐบาลของระบอบเผด็จการรัฐสภาดังกล่าวไม่ได้แสดงความรับผิดชอบ แก้ไขจากแพ้แก้ให้เป็นชนะ หรือไม่ได้สงวนสิทธิ์ในการต่อสู้ใหม่ของไทยไว้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ยังยอมรับความพ่ายแพ้ ยอมยกแผ่นดินไทยให้แก่ต่างชาติโดยดุษฎี ขัดอย่างร้ายแรงต่อพระบรมราชโองการอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ว่า.. “ในรัชกาลของข้าพเจ้าจะไม่ให้เสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” และต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยเฉพาะมาตรา ๑ “ประเทศเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้” อีกทั้งขัดต่อเจตจำนงแห่งชาติของประชาชนไทยและกองทัพไทยที่รักชาติรักแผ่นดินเหนือชีวิตอย่างสิ้นเชิง(Self-Determination of thai people & Royal Thai Army) อีกทั้งขัดต่อพระบรมราชโองการของบูรพมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ และขัดต่อเจตจำนงของบรรพบุรุษไทยที่ก่อตั้งชาติก่อตั้งแผ่นดิน และเสียสละชีวิตเลือดเนื้อพิทักษ์ปกป้องและกอบกู้แผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลานเหลนไทยตลอดมาและตลอดไป

๒. ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ แห่งบรมราชจักรีวงศ์นั้น ได้เกิดเสมือนว่าจะสูญเสียแผ่นดินครั้งหนึ่ง ในกรณีคดีปราสาทพระวิหาร ที่ประเทศกัมพูชาได้ยืนฟ้องต่อศาลโลกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ ว่าปราสาทพระวิหารและแผ่นดินเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ฝ่ายได้โดยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้แต่งตั้งให้ ม.ร.ว.เสณีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าคณะทนายฝ่ายได้เพื่อไปทำการต่อสู้ให้ชนะในศาลโลก แต่คณะทนายฝ่ายได้ชุดดังกล่าว ไม่ได้ฟ้องศาลโลกว่าสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗ ที่เป็นสัญญารุกรานของลัทธิล่าอาณานิคม ที่ฝ่ายกัมพูชานำขึ้นฟ้องต่อศาลโลกนั้นเป็นโมฆะ ไม่ชอบธรรม และถูกยกเลิกไปแล้วโดอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑ เพราะข้อตกลงวอชิงตัน(Washington Accord) ค.ศ. ๑๙๔๖ เป็นโมฆะเพราะไม่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาของไทยไม่มีผลผูกพันธ์ประเทศไทยแต่อย่างใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังถูกบีบบังคับอย่างช่อฉลจากฝรั่งเศสอีกด้วย และขัดต่อสนธิสัญญา Entente cordiale ค.ศ. ๑๙๐๔ และขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติและขัดต่อธรรมนูญของศาลโลกเอง เพราะสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗ เกิดจากการใช้กำลังบังคับของฝรั่งเศสต่อประเทศสยาม(ไทย) ที่ใช้เรือรบ ๒ – ๓ บุกเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นการรุกรานอธิปไตยของไทย เมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ และบีบบังคับให้ฝ่ายไทยจ่ายค่าปรับ ๓ ล้านฟรังซ์ให้แก่ฝรั่งเศส และเข้ายึดจันทรบุรีเพื่อบีบบังคับให้ไทยยอมเอาดินแดนลาวฝั่งขวามาแลกคืน และยึดตราดเพื่อบีบบังคับให้ไทยยอมเอาดินแดนเขมรในมาแลกคืน (เอาดินแดนของไทยแลกดินแดนของไทย) โดยบังคับให้ไทยทำ.. “สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗” ซึ่งขัดต่อหลักธรรมเนียมประเพณีกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่(The Customary Rule of International Law & Modern International Law) ที่เป็นข้อห้ามสูงสุด(Juscogen) คือ ห้ามใช้กำลังแพร่เข้าไปยึดเอาแผ่นดินประเทศอื่น แม้จะมีกติกาสัญญากันไว้ก็เป็นโมฆะไม่มีผลบังคับแต่อย่างใดทั้งสิ้น

เมื่อคณะทนายฝ่ายไทยไม่ยกอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑ และฟ้องให้สนธิสัญญารุกราน(Aggressive Treaty) คือ สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗ ให้เป็นโมฆะใช้ไม่ได้ในศาลโลกแล้ว จึงสาเหตุที่ทำให้ฝ่ายไทยพ่ายแพ้แก่ฝ่ายกัมพูชา ศาลโลกจึงตัดสินพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารเป็นอธิปไตยของกัมพูชา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ แต่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับจึงได้.. “สงวนสิทธิ์ที่จะต่อสู้พิทักษ์ปกป้องเขาพระวิหารไว้ต่อไป ยังไม่ยอมแพ้หรือยังไม่ยอมยกแผ่นดินให้แก่กัมพูชาแต่อย่างใดทั้งสิ้น” โดย พ.อ.ถนัด คอมันต์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของไทย ดังนั้น จึงยังไม่อาจจะสรุปไปได้อย่างเด็ดขาดเบ็ดเสร็จสิ้นเชิงว่า.. “ไทยเสียแผ่นดินเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา” ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า.. “ไทยยังไม่เสียแผ่นดินเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา” ฉะนั้น ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๙ ก็ยังไม่เสียแผ่นดินไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ไทยก็ไม่เคยยกเลิกการสงวนสิทธิ์ดังกล่าวเลยตั้งแต่บัดนี้มาจนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐบาลไม่ได้ยกเอาสิทธิ์ที่ไทยสงวนไว้นั้นขึ้นมาต่อสู้เอาเขาพระวิหารคืน แต่กลับยอมรับว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา และยอมรับสนธิสัญญารุกราน คือ “สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗” ว่าเป็นสัญญาที่ถูกต้องชอบธรรมเช่นเดียวกับรัฐบาลก่อนๆ ไม่ฟ้องยกเลิกสนธิสัญญารุกรานฉบับนี้ แม้ว่าจะมีขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติตามแนวทางประชาธิปไตยของ ร.๕ ร.๖ ร.๗ และนโยบาย ๖๖/๒๓ ในนาม.. “คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทยในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา” ได้ยื่นหนังหลายฉบับถึงรัฐบาล และถึงกระทรวงการต่างประเทศและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น ให้ฟ้องโมฆะสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗ และใช้อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑ ขึ้นสู่ในศาลโลกจึงจะมีชัยชนะรักษาแผ่นดินเขาพระวิหารและปราสาทพระวิหารไว้ได้ อีกทั้งยังสามารถกอบกู้.. “ดินแดนมณฑลบูรพา ๔ จังหวัด คือ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดนครจำปาศักดิ์ จังหวัดลานช้าง รวมเนื้อที่ทั้งหมด ๖๙,๐๒๙ ตารางกิโลเมตร” คืนมาเป็นของราชอาณาจักรไทยเช่นเดิมได้อีกด้วย แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ไม่ยอมดำเนินการให้ถูกต้องดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้ไทยแพ้กัมพูชา และเสียแผ่นรอบปราสาทพระวิหารและเสียปราสาทพระวิหารให้แก่กัมพูชา และยังเสียแผ่นดินบริเวณตะเข็บขายแดนไทย-กัมพูชาประมาณ ๑,๘๐๐,๐๐๐ ไร่ และพื้นที่ในอ่าวไทยประมาณ ๑๗,๐๐๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร อีกทั้งยังทำให้เสียการกอบกู้ดินแดนมณฑลบูรพา ๔ จังหวัด จำนวน ๖๙,๐๒๙ ตารางกิโลเมตร ไปอีกอย่างน่าเสียดายยิ่ง

๓. แต่ไทยยังไม่เสียแผ่นดินที่กล่าวข้างต้นให้แก่กัมพูชาเป็นการถาวร ยังสามารถกอบกู้กลับคืนได้อย่างสันติและถูกกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ และธรรมนูญศาลโลกทุกประการ คือ...
- ดินแดนตัวปราสาทพระวิหาร
- แผ่นดินโดยรอบปราสาทพระวิหาร และ พื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร
- แผ่นดินตลอดตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา ๑,๘๐๐,๐๐๐ ไร่
- พื้นที่ในทะเลอ่าวไทย ๑๗,๐๐๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ที่มีก๊าซธรรมชาติมหาศาล
- ดินแดนมณฑลบูรพา ๔ จังหวัด ๖๙,๐๒๙ ตารางกิโลเมตร
เพราะฝ่ายไทยโดยรัฐบาลเฉพาะกาลประชาธิปไตย และรัฐสภาประชาชนประชาธิปไตย ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง จะสามารถต่อสู้กอบกู้แผ่นดินเอาชนะต่อต่างชาติอย่างสันติวิธีในแผ่นดินที่ไทยเสมือนจะสูญเสียไปดังกล่าวข้างต้นทั้ง ๕ ส่วน และยังจะได้เงินค่าปรับ ๓ ล้านฟรังซ์คูณด้วยอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยกว่าร้อยปี ได้เกียรติ์ได้ศักดิศรีของไทย ได้เอกราชไทยสมบูรณ์ ได้สันติภาพถาวรไทย-กัมพูชา ภูมิภาคและโลก

รัฐบาล(Administrative) ของระบอบเผด็จการรัฐสภานั้น ย่อมไม่อาจจะสามารถต่อสู้กอบกู้พิทักษ์ปกป้องรักษาแผ่นดินไทยได้ เพราะระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือ อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย นั้นมีความอ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้กอบกู้พิทักษ์ปกป้องรักษาแผ่นดินไทยได้เลย เพราะเป็นระบอบที่เสื่อมโทรมผุกร่อนชราภาพ เพราะเป็นอำนาจที่อ่อนแอเสื่อมโทรมสุดขีด อีกทั้งยังเป็นเหตุให้.. “อธิปไตยของชาติอ่อนแอตามไปด้วย” อธิปไตยของไทยจึงไม่เข้มแข็ง ไม่อาจจะต่อสู้ปกป้องเอาชนะต่อการแผ่อิทธิพลแทรกแซงรุกรานของต่างชาติได้เลยแม้แต่น้อย จึงกล่าวโดยสรุปดังนี้
- อธิปไตยของชาติอ่อนแอ..เพราะเป็น..อธิปไตยของชาติที่อยู่บนพื้นฐานของอธิปไตยของส่วนน้อย หรือ อยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐสภา
- อธิปไตยของประชาชนอ่อนแอ..เพราะเป็น..อธิปไตยของคนส่วนน้อย หรือระบอบเผด็จการรัฐสภา

แต่เราสามารถจะทำให้อธิปไตยของชาติเข้มแข็งได้ สามารถต่อสู้เอาชนะการแทรกแซงรุกร่านแผ่อิทธิพลครอบงำของต่างชาติได้ และสามารถกอบกู้แผ่นดินไทยกลับคืน ทำให้เอกราชสมบูรณ์ได้ โดย...
... “ทำให้อธิปไตยของชาติเข้มแข็ง..โดย..เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย..มาเป็น..อำนาจอธิปไตยของปวงชน..หรือ..เปลี่ยนระบอบเผด็จการรัฐสภา..มาเป็น..ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง” โดยการจัดตั้ง.. “การปกครองเฉพาะกาล”(Provisional Government) เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงสมบูรณ์ แล้วรัฐบาลและสภาเฉพาะกาลสร้างประชาธิปไตยดังกล่าวนี้ใช้อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑ (ละทิ้งสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗) เข้าทำการต่อสู้กอบกู้พิทักษ์รักษาแผ่นดินเขาพระวิหารและมณฑลบูรพาให้บรรลุความสำเร็จต่อไปอย่างสันติและถูกกฎหมายระหว่างประเทศต่อไป

๔. การปกครองเฉพาะกาล(Provisional Government) ซึ่งเป็นการปกครองชนิดพิเศษตามอุดมการณ์ลัทธิประชาธิปไตย(Democracy) ไม่ใช่รัฐบาลและรัฐสภาตามอุดมการณ์ลัทธิรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิเผด็จการที่ทำกันล้มเหลวมาโดยตลอด ที่จะเข้ามาทำภารกิจในระยะเปลี่ยนผ่าน คือ “สร้างประชาธิปไตย” โดยจัดตั้งสภาและรัฐบาลชนิดพิเศษที่มีความเข้มแข็งเป็นพิเศษ ดังต่อไปนี้ คือ...

- มีสภาประชาธิปไตยแห่งชาติ หรือ สภาประชาชนสร้างประชาธิปไตยแห่งชาติ สภาประชาชนปฏิวัติสันติแห่งชาติ (สภาปฏิวัติแห่งชาติ) ที่ประกอบด้วยผู้แทนของปวงชนชาวไทยอย่างทั่วถึงและกว้างขวางที่สุดทั้งประเทศรวมประมาณ ๓ – ๕ พันคน คือ มีผู้แทนเขตอำเภอละ ๑ คน และผู้แทนอาชีพอำเภอละ ๑ คน เป็นต้น นี่คือ รูปธรรมที่ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน(Sovereignty of the people)ด้านผู้แทน(Representative) อันเป็นบุคคล(Person) เช่น เป็นไปตามแบบอย่างของ.. “สภากรรมการองคมนตรีของ ร.๗” ตามทฤษฎีอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย(Democratic Dual Power) เพื่อทำหน้าที่โอนอำนาจไปสู่ประชาชนอย่างสันติ

- มีรัฐบาลเฉพาะกาลสร้างประชาธิปไตย ที่มีนโยบายสร้างประชาธิปไตย(Democratic Policy)เป็นเครื่องมือ ซึ่งเป็นไปตามพระบรมราโชบายการปกครองแบบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๗ หรือนโยบาย ๖๖/๒๓ นี่คือ รูปธรรมที่ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน(Sovereignty of the people) ด้านนโยบาย(Policy) อันเป็นหลักการ(Principle)

- มีกองทัพแห่งชาติ ที่เป็นกองทัพประชาธิปไตย ที่ประกอบด้วยทหารประชาธิปไตยจำนวนมาก ให้ความสนับสนุนสภาประชาชนฯ และรัฐบาลเฉพาะกาลฯ ให้สร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ และสนับสนุนให้รัฐบาลเฉพาะกาลฯ แลสภาประชาชนฯ ยึดถืออนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑ เข้าต่อสู้เอาชนะการรุกรานยึดครองแผนดินไทย อันเป็นการยึดถือและปฏิบัตินโยบาย ๖๖/๒๓ ขั้นตอนที่ ๒ นั่นเอง

๕. มาตรการและวิธีการต่างๆในการกอบกู้พิทักษ์ปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยเข้าพระวิหารที่เสียไปดังกล่าวข้างต้นทั้ง ๔ ส่วน และมณฑลบูรพา ๔ จังหวัด อีก ๑ ส่วน อันเป็นการแก้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาที่มีปัญหามานับร้อยๆ ปีที่ประเทศนักล่าอาณานิคมฝรั่งเศสสร้างปัญหาไว้ให้ตกไปได้ โดยรัฐบาลเฉพาะกาลฯและสภาประชาชนฯ อันเป็นการปกครองเฉพาะกาลดังกล่าวข้างต้นนี้ มีดังต่อไปนี้

๕.๑) ยื่นหนังสือเชิญทุกประเทศทั่วโลกให้ร่วมกัน.. “สร้างสันติภาพถาวรระดับภูมิภาคและโลก”(Lasting Regional and World Peace) ในการแก้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ด้วยการขจัดเงื่อนไขที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ และการทำลายความมั่นคงระหว่างประเทศ คือ กติกาสัญญาที่เกิดจากลัทธิล่าอาณานิคมและจักรพรรดินิยม เช่น สนธิสัญญารุกรานสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗ และข้อตกลงวอชิงตัน ค.ศ. ๑๙๔๖ อันเป็นไปตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์อันเป็นกฎบัตรของสหประชาชาติและธรรมนูญของศาลโลก และใช้กติกาสัญญาสันติภาพที่เป็นเงื่อนไขให้เกิดสันติภาพระหว่างประเทศและความมั่งคงระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑

โดยให้มีการประชุม... “สภาสูงสุดอาเซียนตามสนธิสัญญาความร่วมมือเข้าใจแห่งมิตรภาพ หรือ สนธิสัญญานาโต้แห่งอาเชียน”... ซึ่งนามโดยรัฐบาลพลตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งยังไม่เคยได้เปิดการประชุมสภาสูงสุดอาเซียนเลย(Supreme ASEAN Council)

๕.๒) ฟ้องศาลโลกให้สนธิสัญญารุกราน คือ “สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗” ให้เป็นโมฆะ และฟ้องเรียกคืนเงินค่าปรับ ๓ ล้านฟรังซ์ที่ฝรั่งเศสปรับสยามในกรณี ร.ศ. ๑๑๒ พร้อมอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยกว่า ๑๐๐ ปี อันเป็นการขจัดเงื่อนไขที่ทำให้เกิดสงครามและความไม่มั่นคงระหว่างประเทศที่เกิดจากลัทธิล่าอาณานิคมและลัทธิจักรพรรดินิยมที่เลวร้าย เช่นเดียวกับคดีประเทศเกาหลีฟ้องญี่ปุ่นในกรณี สนธิสัญญาผนวกดินแดน(Annexation Treaty) ค.ศ. ๑๙๑๑ เป็นโมฆะ และให้ญี่ปุ่นจ่ายค่าเสียหายชดเชยแก่เกาหลี ซึ่งผลลัพธ์ คือฝ่ายเกาหลีเป็นฝ่ายชนะ ญี่ปุ่นยอมทยอยจ่ายค่าเสียหายชดเชยให้แก่เกาหลีอยู่ในขณะนี้

การฟ้องฝรั่งเศสให้สนธิสัญญารุกรานฉบับนี้ ย่อมมีชัยชนะแน่นอน เพราะฝรั่งเศสเป็นฝ่ายรุกรานประเทศไทยอย่างชัดเจน ในกรณี ร.ศ. ๑๑๒ เป็นปัญหาหรือเป็นนิติสัมพันธ์คู่สัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสไม่เกี่ยวกับประเทศอื่นทั้งสิ้น เช่น กัมพูชา และลาว เพราะขณะนั้น กัมพูชาและลาวเป็นประเทศราชของสยามตามกฎเกณฑ์ของยุคประวัติศาสตร์สมัยกลาง(Medieval Order) สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสฉบับนี้เป็นสนธิสัญญารุกรานของลัทธิล่าอาณานิคม(Colonialism) และลัทธิจักรพรรดินิยม(Imperialism) ที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมอย่างยิ่งไม่ว่าทางการเมือง ทางกฎหมาย ทางการทหาร และทั้ง ๒ ลัทธินี้ได้ยกเลิกให้หมดสิ้นไปจากโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่สนธิสัญญารุกรานของลัทธิล่าอาณานิคมและจักรพรรดินิยมยังยึดกุมเอกราชของไทยให้ไม่สมบูรณ์อยู่จนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งศาลโลกแห่งสหประชาชาติที่ต่อต้านและยกเลิกลัทธิทั้ง ๒ นี้ให้หมดสิ้นไปจากโลกอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิงเพราะเป็นเหตุแห่งสงครามโลก หรือทำลายสันติภาพโลกและทำลายความมั่นคงระหว่างประเทศทีสหประชาชาติและสหประชาชาติได้รับผิดชอบสูงสุด จะต้องพิพากษาให้เป็นโมฆะอย่างแน่นอน ถ้าศาลโลกไม่พิพากษาให้เป็นโมฆะหรือให้ยกเลิกไปก็เท่ากับศาลโลกเป็นผู้สืบทอดมรดกของลัทธิล่าอาณานิคมและจักรพรรดินิยม ร่วมรุกรานยึดครองดินแดนของไทยกับฝรั่งเศสและกัมพูชาอย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้อย่างสิ้นเชิง กลายเป็น.. “ศาลล่าอาณานิคมโลก” หรือเป็น.. “ศาลอยุติธรรมระหว่างประเทศ” ขัดต่อธรรมนูญของศาลโลกเองและขัดต่อเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติ ทำให้ประเทศไทยมีสิทธิอันชอบธรรม(Righteousness)ที่จะปฏิเสธคำพิพากษาของศาลโลกที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวนี้ และโดยแท้จริงแล้วก็เป็นโมฆะถูกยกเลิกไปแล้วโดยอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑

แม้ว่า “ข้อตกลงวอชิงตัน”(Washington Accord) ค.ศ. ๑๙๔๖ จะให้ยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวให้กลับมาใช้สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสก็ตาม ก็ไม่เป็นผลเพราะข้อตกลงวอชิงตันเป็นโมฆะเพราะไม่มีสัตยาบันจากรัฐสภาไทย อีกทั้งเป็นการบีบบังคับไทยให้ทำข้อตกลงอย่างช่อฉลไม่สุจริตแต่อย่างใดทั้งสิ้น อีกทั้งขัดต่อสนธิสัญญา Entente Cordiale ค.ศ. ๑๙๐๔ ระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษที่บัญญัติไว้ว่า.. “คู่สัญญาจะไม่ผนวกเอาดินแดนของสยามไม่ว่าที่ดินใดๆ”

๕.๓) ฟ้องศาลโลกให้คำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. ๒๕๐๕ และคำตีความของคดีนี้ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นโมฆะ ตามข้อมูลใหม่และหลักฐานใหม่ดังกล่าวในข้อ ๕.๑ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของประเทศไทยที่จะใช้สิทธิ์ฟ้องได้อย่างสมบูรณ์ ในคดีเขาพระวิหารที่ศาลโลกได้พิพากษาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ และการตีความคำพิพากษาคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ให้ไทยเสียแผ่นดินหรืออธิปไตยบริเวณรอบๆปราสาทพระวิหาร ที่ทำให้เสียดินแดนไทยอีกมากมายทั้งบนบกและในทะเลอ่าวไทยที่มีก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลให้แก่กัมพูชา ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐไทยได้สงวนไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย พ.อ.ถนัด คอมันต์ ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ แม้ไทยจะไม่ได้ใช้สิทธิ์นี้ในรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้ถอนสิทธิ์นี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น สิทธิ์ที่สงวนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ นี้ยังคงอยู่ตลอดมาและตลอดไป และไทยสามารถจะใช้สิทธิ์นี้ได้ทุกเมื่อ

๕.๔) เมื่อฟ้องยกเลิกหรือให้เป็นโมฆะ.. “สนธิสัญญารุกรานสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ – ๑๙๐๗” นี้แล้ว ก็ทำให้มีกติกาสัญญาระหว่างประเทศระหว่างไทย-กัมพูชาที่ถูกต้องในปัญหาเขตแดนเพียงฉบับเดียว คือ.. “อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑”(Tokyo Peace Convention) ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องยึดถือปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ว่า.. “กติกาสัญญาต้องยึดถือ”(Pacta Sunt servanda หรือ Pacta Observanda) โดยเฉพาะไทยกับกัมพูชา ดังนั้น รัฐบาลเฉพาะกาลฯ และรัฐสภาประชาชนฯ ใช้อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. ๑๙๔๑ เข้าแก้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาที่มีมายาวนานก็จะได้รับการแก้ไขให้ตกไป โดยถือเอาแม่น้ำโขงและเส้นเขตแดนที่ชัดเจนที่เพิ่งภายไปประมาณเพียง ๖๐ – ๗๐ ปี ของดินแดนมณฑลบูรพา ๔ จังหวัด ซึ่งส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ(Head of State) ซึ่งนอกจากจะไม่เสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียวแล้ว ยังกอบกู้แผ่นดินมณฑลบูรพา ๔ จังหวัด ที่มีพื้นที่ทั้งหมด ๖๙,๐๒๙ ตารางกิโลเมตร กลับมาสู่อ้อมอกของแผ่นดินแม่ที่เป็น.. “ราชอาณาจักรไทย” ในรัชกาลที่ ๙ ซึ่งเป็น.. “มหาราชแห่งพระมหากษัตริย์และมหาประชาชน” ที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งอย่างแท้จริง (The great king of kings and the great king of Great people)

๕.๕) ข้าพเจ้าผู้เป็นปวงชนชาวไทยทั้งหลาย ทั้งในฐานะประชาชน และองค์การอำนาจรัฐคู่แบบประชาธิปไตย จะร่วมกันผลักดันให้เกิด.. “รัฐบาลเฉพาะกาลฯ และสภาประชาชนสร้างประชาธิปไตยแห่งชาติกอบกู้เอกราชไทยให้สมบูรณ์”..อย่างสันติวิธีตามหลักพุทธอหิงสาธรรม และจะสนับสนุนรัฐบาลเฉพาะกาลฯและสภาประชาชนฯ อย่างเต็มกำลังความสามารถ ให้สร้างประชาธิปไตยและกอบกู้พิทักษ์ปกป้องแผ่นดินไทยให้สำเร็จโดยเร็ว ให้จงได้ เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกอบกู้พระเกียรติอันสูงส่งของสถานบันพระมหากษัตริย์ไทย และเกียรติศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของชาติและประชาชนไทย ดังเช่นที่ได้ทำการผลักดันสนับสนุนและส่งเสริมอย่างสันติและต่อเนื่องโดยปราศจากเงื่อนไขเพื่อให้.. “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ..และ..รัฐบาลที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”.. ให้ได้ดำเนินการให้บรรลุความสำเร็จตามมาตรการดังกล่าวข้างต้นนี้ ตามเยี่ยงอย่างของประชาชนไทยที่รักชาติรั

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชำแหละปตท.ทุ่มหมื่นล.ปลูกปาล์มอินโดฯ

ชำแหละปตท.ทุ่มหมื่นล.ปลูกปาล์มอินโดฯ บริษัทร่วมทุนไล่กวาดฮุบที่ดินชาวบ้านอื้อ รุกพื้นที่ป่า-ก่อมลพิษ-ปลาหายจากแม่น้ำ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ศูนย์ข่าว TCIJ 24 กรกฏาคม 2555

ปตท.ทุ่มเกือบ 1,000 ล้านบาท จดทะเบียนปตท.กรีนในสิงคโปร์ ก่อนใช้เงินอีกเกือบ 500 ล้านบาท กวาดหุ้น PT.MAR ไป 95 เปอร์เซนต์ ตั้งเป้าปลูกปาล์มให้ได้ 1 ล้านไร่ ขณะที่การขยายพื้นที่ทำลายระบบนิเวศของป่าทุกรูปแบบ ทั้งป่าดิบเขา ป่าลุ่มต่ำ ป่าพรุ และพื้นที่ชุ่มน้ำ ชาวพื้นเมืองถูกนายทุนรุกไล่ฮุบที่ดินไปเป็นของบริษัท และเจ้าของต้องมาเป็นลูกจ้าง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ทั้งดินที่เสื่อมคุณภาพเพราะปุ๋ยและสารเคมี ที่ยังถูกชะล้างลงไปในแม่น้ำสายเดียวที่ชาวบ้านใช้หล่อเลี้ยงชีวิต ทำให้ทุกวันนี้อาชีพประมงหายไป เพราะไม่เหลือปลาตามธรรมชาติอีกแล้ว

หลังจากผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าว TCIJ เดินทางไปยังประเทศอินโดนีเซีย เพื่อตรวจสอบพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันขนาดใหญ่ ที่เมืองปอนติอานัก จังหวัดกาลิมันตันตะวันตก พบว่ามีพื้นที่ปลูกปาล์มจำนวนมหาศาล โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอินโดนีเซีย เพื่อขายให้กับบริษัทน้ำมันหลายแห่งทั่วโลก และมีแผนขยายพื้นที่ออกไปอีกหลายล้านไร่ ก่อให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่าฝนเขตร้อนที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งเป็นการทำลายระบบยนิเวศน์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก และก่อมลพิษด้านต่าง ๆ จำนวนมากด้วย


‘คาปูอัส’ สายน้ำบนความเปลี่ยนแปลง


ความคืบหน้าเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการเดินทางล่องไปตามแม่น้ำคาปูอัส ซึ่งเป็นเส้นเลือดสายสำคัญของกาลิมันตันตะวันตก ล่องไหลจากหัวใจของบอร์เนียว สู่ท้องทะเลผ่านการเดินทาง 1,143 กิโลเมตร เมื่อแผ่นดินสองฝั่งแปรเปลี่ยนเป็นสวนปาล์ม สุขภาพของแม่น้ำสุ่มเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บที่ยากรักษา

ปัจจุบันบริเวณตอนต้นและตอนกลางของแม่น้ำ ได้รับผลกระทบจากสวนปาล์มค่อนข้างชัดเจน อันเป็นผลจากการสูญเสียพื้นที่ป่าให้กับสวนปาล์ม กล่าวถึงปริมาณน้ำ ยังไม่มีข้อมูลความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ชัดเจนในขณะนี้ แต่หากสันนิษฐานจากการลดลงของพื้นที่ป่า และความต้องการน้ำปริมาณมากของสวนปาล์ม ประเด็นนี้คงต้องติดตามดูต่อไปในอนาคต

แต่ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือ ตะกอนดินที่น้ำฝนพัดพาลงสู่แม่น้ำ เนื่องจากไม่มีผืนป่าคอยรักษาหน้าดิน ทำให้แม่น้ำคาปูอัสขุ่นข้นกว่าในอดีต ทว่า สิ่งที่น้ำฝนพาลงแม่น้ำมิใช่ดินเพียงอย่างเดียว แต่ปุ๋ยและสารเคมีที่ใช้ในการปลูกปาล์ม ในปริมาณที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ ยังถูกชะล้างลงไปกับดินลงสู่แม่น้ำด้วย ส่งผลร้ายแรงต่อระบบนิเวศและสัตว์ที่อาศัยอยู่ร่วมกับแม่น้ำ เกิดการสะสมสารเคมีในห่วงโซ่อาหาร ยังไม่นับรวมของเสียจากการผลิตน้ำมันปาล์ม ที่ทุกๆ 1 ตัน จะปล่อยของเสีย 2.5 ตัน




















การปนเปื้อนปุ๋ยและยาฆ่าแมลงส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในแม่น้ำ เช่น ปลาอะโรวานาแดง ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ จากการถูกจับไปขาย เนื่องจากมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 340 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 17,000 บาท ปลา Toman ที่มีราคาถึงกิโลกรัมละ 17 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 850 บาท ในตลาดมาเลเซีย นอกจากนี้ พืชน้ำที่เติบโตในทะเลสาบเซนทารัม ยังเป็นที่อยู่อาศัยของผึ้ง และน้ำผึ้งก็เป็นแหล่งรายได้หนึ่งของชุมชนในท้องถิ่นด้วย


เปิดพื้นที่ปลูกปาล์มกระทบต่อระบบนิเวศทุกรูปแบบ


แม่น้ำคาปูอัสคือแม่น้ำสายหลักของพื้นที่ลุ่มน้ำคาปูอัส ไหลไปออกทะเลชวาทางด้านทิศตะวันตกของเกาะบอร์เนียว พื้นที่ลุ่มน้ำคาปูอัสแบ่งเป็น 3 ระบบ คือ แม่น้ำคาปูอัสตอนบน ประกอบด้วยระบบนิเวศ 3 ระบบ ได้แก่ ป่าดิบเขา (Montane Forest), ป่าพรุ (Peat Swamp Forest) และ ป่าลุ่มต่ำ (Lowland Forest) ซึ่งมีความสำคัญต่อการควบคุมพื้นที่ลุ่มน้ำจากน้ำท่วม การพังทลายของหน้าดิน และรักษาระดับน้ำให้คงที่ การเปิดพื้นที่ส่วนนี้เป็นสวนปาล์มไม่ส่งผลดีต่อลุ่มน้ำคาปูอัส

ระบบที่ 2 คือแม่น้ำคาปูอัสตอนกลาง เป็นพื้นที่ป่าที่ขึ้นบนหินทรายและโคลน หากเกิดการทำลายป่าบริเวณนี้จะก่อให้เกิดการชะล้างของหน้าดินจำนวนมากลงสู่แม่น้ำ และส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อผู้คนและระบบนิเวศของแม่น้ำตอนล่าง

ระบบสุดท้ายคือ แม่น้ำคาปูอัสตอนล่าง ครอบคลุมพื้นที่ป่าลุ่มต่ำ และพื้นที่ชุ่มน้ำ จนถึงบริเวณชายฝั่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น การพัฒนาใดๆ ในพื้นที่ส่วนนี้ จึงจำเป็นต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบและรอบด้าน ปัจจุบันสวนปาล์มส่วนใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของแม่น้ำคาปูอัสตอนกลาง

Sumantri จาก WALHI หรือ Friends of Earth Indonesia เปิดเผยว่า ปัจจุบันปริมาณน้ำในแม่น้ำคาปูอัสลดลงทั้งตอนเหนือและตอนล่าง ในหน้าแล้งระดับน้ำจะลดลงจนเห็นได้ชัด นอกจากเป็นผลจากการทำลายป่าแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทปาล์มจะขุดคลองจากแม่น้ำหรือลูกแม่น้ำ เข้าสู่พื้นที่ของตัวเอง ประกอบกับดินที่ผ่านการใช้งานกรำปุ๋ยกรำสารเคมีทำให้ดินแข็ง ผืนดินจึงไม่สามารถกักเก็บน้ำเอาไว้ได้

จากการสำรวจพื้นที่สัมปทานปลูกปาล์มของกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ในอำเภอ Kapuas Hulu ซึ่งอยู่ทางต้นแม่น้ำคาปูอัส พบว่า พื้นที่ปลูกปาล์มเกือบทั้งหมด มีแม่น้ำทั้งสายเล็กและใหญ่ไหลผ่านพื้นที่ Sumantri ยังบอกด้วยว่า นับจากปี 2000 สวนปาล์มเริ่มขยายพื้นที่มาทางปลายน้ำมากขึ้น






















ทำไมต้องเป็นบริษัท PT.MAR


กฎหมายอินโดนีเซียจำกัดพื้นที่ปลูกปาล์มไว้บริษัทละ 20,000 เฮกตาร์ หรือ 125,000 ไร่ หลายบริษัทจึงตั้งบริษัทลูก เพื่อขอสัมปทานเพิ่มขึ้น เช่น Sinar Mar Group ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซีย แน่นอนว่า หากเปรียบ Sinar Mar Group กับ PT Mitra Aneka ReZeki หรือ PT.MAR แล้ว PT.MAR เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ในธุรกิจปาล์มน้ำมัน แต่ในวงจรปัญหา PT.MAR ก็มีที่ทางของตนบนสังเวียนความขัดแย้งกับชาวบ้านในพื้นที่


ปตท.ทุ่มเกือบพันล้าน จดทะเบียนปตท.กรีนในสิงคโปร์


ระหว่างปี 2007-2008 ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทั่วโลกต่างเสาะแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทนที่มีราคาถูกกว่า นั่นคือโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมพลังงานของไทย ภายใต้การนำของ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ขณะนั้น ไม่ยอมพลาดโอกาส กันยายน 2007 ปตท. ก่อตั้งบริษัท ปตท.กรีน เอ็นเนอร์ยี่ หรือ PTT.GE ขึ้น โดยจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ เพื่อเป็นตัวแทนลงทุนในต่างประเทศในโครงการพัฒนาธุรกิจปาล์มและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชีย เพื่อรองรับความต้องการของตลาดโลก โดยมีทุนจดทะเบียน ณ ขณะนั้น 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 942.5 ล้านบาท


ซื้อกิจการ PT.MAR อีกเกือบ 500 ล้านบาท


ปีเดียวกัน ปตท.กรีน ประเดิมธุรกิจใหม่ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ PT.MAR ด้วยเงิน 14.725 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 490 ล้านบาท ครอบครองหุ้น 95 เปอร์เซ็นต์

ภาสกร ศรีศาสตรา ผู้จัดการฝ่ายบริหารกลยุทธ์และงบประมาณ บริษัท ปตท.กรีน จำกัด เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของปตท.คือ การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานแก่ประเทศไทย การหาพลังงานทดแทนน้ำมันจึงมีความสำคัญในอนาคต ปาล์มคือพืชพลังงานที่มีความเหมาะสม




















                     “ปตท.มองว่าธุรกิจนี้จะเป็นธุรกิจที่สำคัญในอนาคต ถ้าไม่เข้าไปเริ่มวันนี้ เดี๋ยวจะสายเกินไป เพราะมันจำเป็นต้องใช้เวลาปลูก และเมื่อได้น้ำมันปาล์มดิบ ก็ยังต้องมีกระบวนการอื่นๆ อีก ถ้าเราไม่มีประสบการณ์มาก่อน จะไม่ทัน เราจึงไปเริ่มเพื่อให้มีประสบการณ์และเตรียมความพร้อมไว้ก่อน”

การเลือกอินโดนีเซีย และ PT.MAR ภาสกรให้เหตุผลว่า ช่วงปีสองปีหลัง อินโดนีเซียก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก ในฐานะผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน เนื่องจากมีศักยภาพการผลิต มีพื้นที่ปลูกจำนวนมาก มีสภาพภูมิอากาศเหมาะสม รัฐบาลอินโดนีเซียก็ให้การสนับสนุน จึงคาดว่าน่าจะมีต้นทุนการปลูกไม่สูงนัก


                      “ที่เลือก PT.MAR ของอินโดฯ ผมมองว่า หนึ่ง-ตอนนั้นเราต้องการหุ้นส่วนที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ ผมคิดว่าตอนที่ปตท.เข้าไปคุย เห็นว่า PT.MAR ค่อนข้างมีศักยภาพในพื้นที่ที่สามารถเป็นพี่เลี้ยงให้เราได้ในช่วงเริ่มต้น ถ้าเรามีประสบการณ์เมื่อไหร่ ก็จะสามารถดำเนินการได้เอง ผมมองว่า PT.MAR เป็นผู้มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญ และมีศักยภาพด้านพื้นที่”


วางแผนปลูกปาล์มให้ครบ 1 ล้านไร่


ภาสกรให้ข้อมูลว่า เฉพาะที่กาลิมันตัน ปัจจุบัน ปตท.กรีน มีพื้นที่ที่มีศักยภาพ และคาดว่าจะได้ใบอนุญาตครองสิทธิ์ครบประมาณ 160,000 เฮกตาร์ หรือ 1 ล้านไร่ ในจำนวนนี้เป็นพื้นที่ที่ปลูกปาล์มแล้ว 22,000 เฮกตาร์ หรือ 137,500 ไร่ อยู่ในปอนติอานัก 14,000 เฮกตาร์ หรือ 87,500 ไร่ ภายใต้การดูแลของ PT.MAR

อย่างไรก็ตาม จากฐานข้อมูลของ Walhi Friend of Earth Indonesia ระบุว่า พื้นที่ปลูกปาล์มของ PT.MAR ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำคาปูอัส ในเขตอำเภอ Kubu Raya ซึ่งอยู่ทางใต้ติดกับปอนติอานัก กินพื้นที่ 18,199 เฮกตาร์ หรือ 113,743.75 ไร่ ทอดตัวไปตามลำน้ำเป็นระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร มีหมู่บ้านอยู่ในพื้นที่นี้ 6 หมู่บ้าน

เมื่อเดินทางพร้อมเอ็นจีโอจาก Link-AR Borneo Circle of Advocacy and Research ล่องตามลำน้ำคาปูอัสไปยังหมู่บ้าน Pinang Dalam Denni ชี้ให้ดูทางฝั่งขวาของแม่น้ำพร้อมกับบอกว่า แนวต้นไม้ตามธรรมชาติ ที่ขึ้นตามริมฝั่งช่วยหลบเร้นแนวต้นปาล์มสุดลูกหูลูกตาของ PT.MAR เอาไว้เบืองหลัง























‘ดิน-น้ำ’ การต่อรองบนอำนาจที่ไม่เท่าเทียม


ภาสกรอธิบายว่า ก่อนเข้าซื้อที่ดินต้องตรวจดูศักยภาพของพื้นที่ เก็บตัวอย่างดินไปตรวจสอบ ว่าเหมาะกับปาล์มหรือไม่ เป็นดินชนิดใด ประกอบกับการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ตรวจดูความลาดชันของพื้นที่ การคัดเลือกพื้นที่จึงเป็นเรื่องสำคัญ พื้นที่ใดลงทุนต่ำ บริษัทจะปลูกในพื้นที่นั้นก่อน หลังจากพิจารณาศักยภาพพื้นที่ จึงตรวจดูผลผลิตต่อพื้นที่ว่าได้มาตรฐานหรือไม่ หากดูแลตามมาตรฐาน ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไข ทางบริษัทจึงจะเข้าซื้อ


“เมื่อซื้อแล้ว เราก็จะดูรายละเอียด ทำระบบน้ำ ต้องดูรายละเอียดการเตรียมพื้นที่ก่อนปลูก พื้นที่ที่ใช้เพาะต้นกล้าควรอยู่ใกล้น้ำ เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญ ปาล์มต้องการน้ำที่เพียงพอ ที่อินโดฯ มีสภาพภูมิประเทศที่เหมาะ มีปริมาณน้ำฝนเพียงพอ” คือการวางแผนอันยุ่งยากของธุรกิจสวนปาล์มที่ภาสกรอธิบายให้ฟัง

ดูเหมือนว่าทรัพยากรสำคัญที่ PT.MAR และชาวบ้าน 6 หมู่บ้านต้องใช้ร่วมกันคือดินกับน้ำ แต่การใช้ทรัพยากรร่วมกัน บนฐานอำนาจการต่อรองที่แตกต่างกันอย่างมหาศาล ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


ชาวบ้านถูกนายทุนรุกไล่ฮุบที่ดิน


จากการลงพื้นที่หมู่บ้าน Pinang Dalam และ Kampung Baru ความขัดแย้งที่คุกรุ่นระหว่างชาวบ้านกับ PT.MAR คือ ประเด็นการแย่งยึดที่ดินเป็นหลัก Denni บอกว่า การครอบครองที่ดินของอินโดนีเซียยังไม่มีระบบที่ชัดเจน ใครที่ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินเกิน 5 ปี ถือว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินผืนนั้นโดยปริยาย แต่ไม่มีการออกเอกสารสิทธิ์ เพื่อยืนยันสิทธิของชาวบ้านในที่ดิน จึงมีช่องว่างอันกว้างใหญ่ ที่ทำให้ที่ดินหลุดจากมือชาวบ้าน โดยเฉพาะที่ Kampung Baru พื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน กลายเป็นของ PT.MAR โดยที่ชาวบ้านไม่ได้ยินยอมยกให้ ความขัดแย้งนี้จึงยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2009 ถึงปัจจุบัน

Syarif Bujang Asegat อดีตผู้ใหญ่บ้าน วัย 62 ยกตัวอย่างว่า “คนของ PT.MAR ที่เป็นชาวอินโดนีเซียจะส่งข่าวไปบริษัทในเมืองไทยว่า ชาวบ้านยกที่ดิน 1,000 เฮกตาร์ หรือ 6,250 ไร่ ให้แก่บริษัท และขอให้โอนเงินมาเพื่อซื้อที่ดิน ทั้งที่ชาวบ้านไม่ได้ยินยอม ซึ่งกรณีนี้ผมไม่สามารถหาหลักฐานยืนยันได้ว่า ปตท.กรีน รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ ขณะที่ผลกระทบต่อสายน้ำ ยังเป็นสิ่งที่ห่างไกลความสนใจของชาวบ้าน แต่ใช่ว่าไม่มีและใช่ว่าชาวบ้านจะไม่สังเกตเห็น”

นอกจากนี้ปริมาณน้ำในแม่น้ำคาปูอัสลดลง จากการขุดคลองเข้าสวนปาล์มของบริษัท และการหายไปของพื้นที่ป่า ผืนดินที่เคยมีชีวิตกลายสภาพเป็นดินแข็ง ๆ ไร้ศักยภาพในการกักเก็บน้ำ น้ำฝนไหลผ่านสวนปาล์มอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีป่าไม้คอยดูดซับจึงพัดพาหน้าดินไปด้วย

ที่หมู่บ้าน Pinang Dalam และ Kumpung Baru มีการขุดคลองรับน้ำจากแม่น้ำเข้าสู่หมู่บ้าน สำหรับใช้อุปโภคบริโภค Jumain มีอาชีพประมงและเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 ที่ Pinang Dalam ภรรยาของเขาทำงานกับ PT.MAR เล่าว่า พื้นที่สวนปาล์มของ PT.MAR ที่เข้าในพื้นที่เมื่อ 5 ปีก่อน เดิมทีเป็นพื้นที่ป่าของชุมชน


                  “ระยะหลังน้ำท่วมมากขึ้นเพราะไม่มีป่า ปาล์มไม่กักน้ำ เมื่อฝนตกน้ำก็ชะดินมาด้วย ทำให้คลองตื้นเขิน ถ้าไม่มีการขุดลอกจะทำให้คลองของหมู่บ้านตายในที่สุด”

เขายังเล่าอีกว่า อาชีพก่อนหน้าของชาวบ้านคือ การทำสวนและประมง กระทั่ง PT.MAR เข้ามา ชาวบ้านจำนวนมากจึงไปทำงานกับ PT.MAR ด้วยความจำเป็น เพราะที่ดินที่เคยเป็นสวนกลายเป็นของบริษัทไปแล้ว โดยไม่ได้รับเงินชดเชยใดๆ


ถูกบีบให้ทำงานกับบริษัท เพราะที่ดินทำกินหายไป


ด้าน Uurlaila Nurlaila คนงานของ PT.MAR มีหน้าที่ดูแลต้นไม้และถางหญ้า ทำงานตั้งแต่ 06.00-10.00 น. ได้ค่าจ้างวันละ 36,000 รูเปี๊ยะห์ เธอบอกตรงกับ Jumain ว่า สวนปาล์มของ PT.MAR เป็นพื้นที่ป่ามาก่อน แต่เธอคิดว่า PT.MAR คือผู้หยิบยื่นงานและรายได้ให้แก่หมู่บ้าน และไม่มีผลกระทบใดๆ เกิดขึ้น

            “ดีด้วยซ้ำ ตั้งแต่ PT.MAR มาที่นี่ ชาวบ้านฐานะดีขึ้น มีงานทำ มีมอร์เตอร์ไซค์ขับบ้านละคันสองคัน ที่ทำงานมาก็โอเค ไม่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ ไม่มีความขัดแย้งอะไร ไม่รู้ว่าอะไรคือปัญหา”

Uurlaila Nurlaila ยังให้ข้อมูลว่า เธอแค่ถางหญ้ากับดูแลต้นปาล์มเท่านั้น ไม่ต้องรดน้ำ เนื่องจากน้ำไปถึง ประเด็นนี้สอดคล้องกับที่ภาสกรบอกกับผมว่า

“เราไม่ต้องเอามารดเลย เพราะที่ดินที่เราครอบครอง ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำฝนเพียงพออยู่แล้ว ลองนึกภาพว่า ถ้าเราเอาน้ำไปรดทั้งหมดก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง เราไม่สามารถผลิตแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่เพื่อรองรับน้ำได้ ดังนั้นพื้นฐานของพื้นที่คือให้ฝนตกลงมาในดินที่มีความอุ้มน้ำเหมาะสม มีระดับน้ำเฉลี่ยต่อปีพอเหมาะอยู่แล้ว”

ระหว่างที่ Uurlaila Nurlaila พูดเรื่องนี้ Denni บอกว่า บริษัทขุดคลองจากแม่น้ำเข้าไปในพื้นที่ลักษณะเป็นรูปตารางหมากรุก แต่ละช่องกินพื้นที่ประมาณ 1 เฮกตาร์ เพื่อป้อนน้ำให้แก่ปาล์ม




ปลาหายไปเมื่อแม่น้ำเต็มไปด้วยปุ๋ยและสารเคมี


เมื่อถาม Uurlaila Nurlaila ว่า มีการใส่ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงแก่ต้นปาล์มหรือไม่ เธอตอบว่า มี แต่ไม่รู้ปริมาณและความถี่ ประเด็นนี้ ภาสกรเคยอธิบายเช่นกันว่า การให้ปุ๋ยต้นปาล์มจะมีมาตรฐานว่า ต้นหนึ่งต้องการปุ๋ย 8 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดิน ซึ่งเป็นรายละเอียดเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ส่วนศัตรูพืชโดยธรรมชาติมีอยู่แล้ว แต่การลงทุนกับยากำจัดศัตรูพืชเป็นเรื่องลำบากเพราะพื้นที่มีขนาดใหญ่ ส่วนมากจะใช้ระบบควบคุมโดยธรรมชาติ แต่ศัตรูพืชไม่ใช่ปัญหาหลัก

แต่เมื่อสิ่งที่ติดไปกับดินด้วยคือ ปุ๋ยและสารเคมี หากดูจากแผนที่จะพบว่า ในบริเวณนั้น สวนปาล์มของ PT.MAR ติดกับแม่น้ำคาปูอัสมากกว่าสวนปาล์มของบริษัทอื่น อย่างไรก็ตาม คงไม่เป็นธรรมนัก หากจะกล่าวว่า ปุ๋ยและสารเคมีที่ไหลลงสู่แม่น้ำคาปูอัสคือความรับผิดชอบของ PT.MAR เพียงแห่งเดียว

เมื่อแม่น้ำป่วยไข้ สิ่งมีชีวิตที่ในแม่น้ำคงยากที่จะมีสุขภาพดี Jumain บอกว่า ตอนนี้คนที่ทำอาชีพประมงในหมู่บ้านลดลงแล้ว หันไปทำงานกับ PT.MAR ไม่เพียงเท่านั้น ปลาในแม่น้ำยังลดลงกว่าแต่ก่อนด้วย เขาเชื่อว่าเป็นเพราะปุ๋ยและสารเคมีที่ไหลลงสู่แม่น้ำคาปูอัส

            “ก่อนบริษัทเข้ามา ได้จับปลามีกิน มีขาย แต่พอบริษัทเข้ามา แค่จับกินยังไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีปลาจะขาย”


ความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ได้รับกับมลพิษอะไรคุ้มกว่ากัน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างชาวบ้านแห่ง Kampung Baru สภาพปัญหาค่อนข้างแตกต่าง และเข้าใกล้ตัวชาวบ้านมากกว่าที่ Pinang Dalam สำหรับ Saudin MZ หากยกกรณีการแย่งยึดที่ดินชาวบ้านออกไป เขามอง PT.MAR ในแง่ดีว่า ช่วยทำให้หมู่บ้านพัฒนาขึ้นกว่าเมื่อก่อน ทั้งยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบใด ๆ จากปุ๋ยและสารเคมีต่อแม่น้ำหรือคลองในหมู่บ้าน เพราะสวนปาล์มอยู่ไกลจากแม่น้ำมาก ซึ่งประเด็นเรื่องระยะทางนี้ จากการนั่งรถของชาวบ้านไปยังบริเวณสวนปาล์มของ PT.MAR พบว่า ห่างจากแม่น้ำเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความไกล-ใกล้คงเป็นมุมมองเฉพาะตนที่แล้วแต่ใครจะมอง

Hefni ผู้ใหญ่บ้าน Kampung Baru ออกไปทำธุระส่วนตัว ขณะที่พวกเราไปถึง จึงต้องรออยู่ครู่ใหญ่ ชาวบ้านคนหนึ่งที่รู้ว่าเรามาทำอะไร แอบบอกว่า ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุน PT.MAR ซึ่งเมื่อเทียบกับคำตอบของผู้ใหญ่บ้านค่อนข้างทำให้เราแปลกใจ

หากจุดยืนของ Hefni เป็นดังที่ชาวบ้านผู้นั้นบอก ไม่แปลกที่ Hefni บอกกับเราว่า ชาวบ้าน Kampung Baru ให้การสนับสนุน PT.MAR และตั้งแต่ PT.MAR เข้ามา ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่พอเราถามเกี่ยวกับปุ๋ยและสารเคมี คำตอบกลับเปลี่ยนไป Hefni บอกว่า บริษัทใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย เมื่อฝนชะดินลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้ชาวบ้านที่ใช้น้ำในคลองของหมู่บ้านอาบน้ำมีอาการคันและอักเสบ

“สรุปได้ว่ามาจากสารเคมี เพราะที่นี่ไม่มีอะไรที่จะปล่อยสารเคมีได้ ก่อนที่จะมี PT.MAR ไม่เคยมีอาการคัน เคยไปหาหมอ หมอบอกเกิดจากสารเคมีในแม่น้ำ” Hefni ยืนยัน

ทุกวันนี้ชาวบ้าน Kampung Baru ยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำคาปูอัสดื่มกิน เราถามว่า รู้แบบนี้แล้วไม่กลัวสารเคมีหรือ Hefni ตอบว่าไม่กลัว เพราะน้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยว เขาและชาวบ้านจึงคิดว่า สารเคมีคงถูกพัดไปตามกระแสน้ำ ก่อนที่จะได้ตักมาใช้ แต่นอกเหนือจากเหตุผลเรื่องความเชี่ยวกรากของสายน้ำแล้ว คำตอบสุดท้ายของ Hefni กลับสะท้อนความเป็นจริงในชีวิตมากกว่า Hefni ตอบในทำนองว่า จะทำอะไรได้ ในเมื่อพวกเขา...



คำนวนปาล์ม 1 แสนต้นใช้ปุ๋ยปีละ 8,000 ตัน


เมื่อถามว่า แล้วมีอะไรที่เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสายน้ำคาปูอัสหรือไม่ คำตอบที่ได้จากการสังเกตของเขาคือ ฤดูฝนมีน้ำมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เขาให้เหตุผลว่า เพราะป่าถูกตัดทำให้น้ำไหลลงมามากขึ้น

ภายหลังการพูดคุยกับ Hefni ชาวบ้านคนหนึ่งอาสาพาพวกเราไปดูพื้นที่ปลูกปาล์มของ PT.MAR ด้านซ้ายของเราเป็นที่ดินโล่งๆ กับกล้าปาล์มจำนวนมาก ขณะที่ด้านขวา หากไม่นับพื้นที่ส่วนของสำนักงาน PT.MAR กับถนนแล้ว ที่เหลือคือต้นปาล์มสุดลูกหูลูกตา จนไม่สามารถคำนวณได้ว่า พื้นที่ 18,199 เฮกตาร์จะสามารถปลูกปาล์มได้กี่ต้น สมมติว่า ถ้ามีต้นปาล์ม 100,000 ต้น แต่ละต้นใช้ปุ๋ยโดยเฉลี่ย 8 กิโลกรัมต่อต้นต่อปีตามที่ภาสกรบอก หมายความว่า 1 ปี ต้องใช้ปุ๋ยถึง 8,000 ตัน ยังไม่นับสารเคมีที่ต้องใช้ประกอบว่ามีมากน้อยเพียงใด นั่นเท่ากับว่า ผืนดินที่ต้องแบกรับปุ๋ย 8,000 ตันต่อปี จะเป็นเช่นไรคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ผลเสียจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว คำถามคือจะมีปุ๋ยกี่เปอร์เซ็นต์ที่ถูกชะล้างลงสู่แม่น้ำ

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ/รวมมิจฉากรรมที่ทำไว้


จาก http://bangkokart.blogspot.com/2014/03/blog-post.html

ไม่มียุคใดสมัยใดที่ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึกว่า บุคคลหนึ่งที่เกิดบนแผ่นดินไทยได้คิดร้ายต่อแผ่นดินเกิด ยุยงปลุกปั่นคนไทยจำนวนมากให้เกลียดชังคนไทยด้วยกัน จนถึงขั้นห้ำหั่นเข่นฆ่าทำร้ายคนไทยด้วยกันเองโดยที่ไม่มีเรื่องบาดหมางส่วนตัวกันมาก่อน ไทยไม่มีสงครามแบ่งแยกผิวสี คนไทยทั้งหมดเป็นผิวเหลือง แต่ทักษิณยุยงให้แบ่งแยกด้วยสีเสื้อ ปั่นหัวคนเสื้อแดงเหมือนปั่นจิ้งหรีด เสี้ยมให้มองคนที่ไม่ใช่คนเสื้อแดงว่าเป็นศัตรู ขัดขวางไม่ให้ทักษิณกลับคืนสู่อำนาจ ฉะนั้นต้องใช้กำลังทำร้าย
   
       ทักษิณ ชินวัตร นำจุดอ่อนของคนไทยส่วนหนึ่งที่ด้อยการศึกษามาใช้ปูทางสู่อำนาจ แล้วใช้อำนาจปล้นชาติ รู้ว่าจะชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย นอกจากจ่ายเงินซื้อเสียงให้มากกว่าพรรคอื่นแล้ว ยังนำมาตรการประชานิยมมาตกเหยื่อ เพื่อทำให้คนรากหญ้าเสพติดและโหยหาอยู่เรื่อยๆ และลงคะแนนให้พรรคของทักษิณไม่ว่าจะส่งใครมาลงสมัคร ส.ส.ในพรรคนี้จึงต้องภักดีต่อทักษิณยิ่งกว่าประชาชนที่ลงคะแนนให้ สภาทาสจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
   
       เมื่อทักษิณใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโกงกินบ้านเมือง ถูกศาลตัดสินลงโทษ ทักษิณหนีคุกไปอยู่ต่างประเทศ แต่ยังอยากกลับมากอบโกยเหยื่อชิ้นโตที่หมายตาไว้และกำลังจะตะครุบไว้ได้ เหมือนเปรตที่ตะกุยตะกายกำลังจะคว้าส่วนบุญอยู่แค่เอื้อม จึงหว่านเงินซื้อ ส.ส., ผบ.เหล่าทัพ ตำรวจ ข้าราชการชั้นสูง กกต. อัยการสูงสุด ผู้พิพากษา นักวิชาการผีเปรต และกลุ่ม นปช.คอยป่วนสร้างสถาณการณ์ล้มรัฐบาลฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งจัดตั้งกองกำลังชุดดำใช้อาวุธลอบทำร้ายผู้ชุมนุมที่ต่อต้านระบอบทักษิณ
   
       ความแตกแยกทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ ผลเสียตกอยู่กับคนไทยทั้งหมดรวมทั้งคนเสื้อแดง ในพุทธประวัติ เทวทัตยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเทวทัตประกอบมหันตกรรม ถูกธรณีสูบ แล้วยังต้องไปทนทุกข์ในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์ สำหรับทักษิณยุยงให้คนไทยแตกแยกถึงขั้นเข่นฆ่าเอาชีวิต คงต้องเสวยกรรมไม่ด้อยกว่าเทวทัต เป็นแน่
   
       ระบอบทักษิณ-เป็นอย่างไร
   
       มีนักสังเกตการณ์จำนวนหนึ่งจับตาติดตามพฤติกรรมการเมืองของทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วงการเมืองในปี 2537 คนแรกๆ ได้แก่ ธีรยุทธ บุญมี, เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ตามมาด้วย แก้วสรร อติโพธิ, พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร, สุวินัย ภรณวลัย, ตุลาการศาล รธน. (คำวินิจฉัยคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ม, ผู้จัดการรายวัน 31 พ.ค.2550), น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ, ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช, หริรักษ์ สูตะบุตร ฯลฯ รวมทั้ง คณิน บุญสุวรรณ (อดีต สสร.ร่างรัฐธรรมนูญ 2540 และผู้เขียนหนังสือ “รัฐธรรมนูญตายแล้ว” ปี 2547 ต่อมาถูกทักษิณซื้อเป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย)
   
       นักวิชาการเรียกสิ่งที่ทักษิณกระทำลงไปหลายชื่อ ได้แก่ ทักษิณานุวัตร ทักษิณาธิปไตย ทรราชจากการเลือกตั้งเสียงข้างมาก ทักษิโณมิกส์ สุดท้ายลงเอยที่คำว่า “ระบอบทักษิณ”
   
       คำนิยาม : ระบอบทักษิณ (Thaksin Regime) เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวการสำคัญในการทุจริตคอร์รัปชัน มุ่งกอบโกยทรัพยากรส่วนรวมของชาติเป็นสำคัญ ด้วยการสร้างและใช้อำนาจการเมืองเผด็จการเบ็ดเสร็จในคราบประชาธิปไตย ทำลายล้างระบบการถ่วงดุลของรัฐสภา การตรวจสอบขององค์กรอิสระ และการพิพากษาคดีของศาลยุติธรรม สร้างความแตกแยกทุกภาคส่วน ใช้หลักแบ่งแยกแล้วปกครอง 
   
       ไม่น่าเชื่อว่าคนเพียงคนเดียวจะทำลายล้างสังคมประเทศได้อุกฤษฏ์ถึงขนาดนี้ภายในเวลาเพียง 10 ปี มีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมาก แต่ก็นั่นแหละ คำพระท่านว่าความชั่วร้ายย่อมแพร่ไปได้รวดเร็วยิ่งกว่าความดี เพราะอาศัยมิจฉาทิฏฐิ กิเลสตัณหา อวิชชา และความโลภ ที่มีอยู่ในทุกตัวคนเป็นพาหะ ระบอบทักษิณมี เป้าหมาย วิธีการ และผลที่ตกอยู่กับสังคมประเทศ โดยสรุปดังนี้
   
       1. เป้าหมาย 
   
       (1) ทำลายบทบาทของรัฐสภาในการทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลด้วยวิธีการต่างๆ อาทิ
   
       - คราใดที่ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทักษิณจะหนีการตรวจสอบโดยชิงปรับผู้ที่จะถูกอภิปรายออกจาก ครม.เสียก่อน
   
       - ครอบงำ สว. ประเภทที่มาจากการเลือกตั้ง และพยายามครอบงำ สว. ให้ได้ทั้งหมดโดยการแก้ไข รธน. มาตรา 115 คุณสมบัติ สว. เพื่อให้ สว. และ สส. มาจากคนกลุ่มเดียวกัน
   
       - รัฐสภาและรัฐบาลเป็นเนื้อเดียวกันแทนที่จะเป็นอิสระแยกกันตามหลักประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น รัฐสภาโหวตลดอำนาจของตนในการตรวจสอบรัฐบาลโดยแก้ รธน.มาตรา 190
   
       - ใช้เสียงข้างมากปิดปากเสียงข้างน้อย ประธานสภา สส. และสภา สว. ทำตามโพยที่นายทาสสั่งมา
   
       - อ้างว่าตนเป็นประชาธิปไตยด้วยเหตุผลเดียวคือมาจากการเลือกตั้ง แต่การกระทำต่างๆ ตรงข้ามหมด ทั้งทักษิณและยิ่งลักษณ์ ไม่เข้าประชุมสภา ไม่ตอบกระทู้ของฝ่ายค้าน ทำให้ชาวบ้านไม่รู้ข้อเท็จจริงการทำงานของรัฐบาลโดยผ่านการอภิปรายในสภา
   
       (2) สร้างระบอบเผด็จการทางรัฐสภา เพื่อออกกฎหมายต่างๆ ที่ให้ประโยชน์แก่ทักษิณโดยเฉพาะ ทักษิณสามารถสั่งให้ ส.ส. ฝ่ายของตนทั้งหมดลงมติตามต้องการโดยไม่มีใครกล้า “แหกโผ” ตัวอย่างเช่น ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อทักษิณโดยเฉพาะ
   
       (3) แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนข้าราชการเป็นพนักงานของรัฐ มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดี ทักษิณฝันอยากมีอำนาจสูงสุดของประเทศเพียงผู้เดียว และลดความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ ทักษิณฝันจะครองอำนาจหลายสิบปี ทั้งทักษิณและฮุนเซนต่างยึดเป็นตัวแบบซึ่งกันและกัน
   
       (4) ทำลายองค์กรอิสระทั้งหลายตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน องค์กรเหล่านี้ถูกแทรกแซงครอบงำโดยตลอด ผ่านการสรรหา การแต่งตั้ง การวินิจฉัยชี้ขาด ตัดลดงบประมาณ การซื้อตัว ทำให้องค์กรเหล่านี้อ่อนแอ ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
   
       (5) ทั้งหมดข้างต้นเพื่อเปิดทางสะดวกในการตักตวงโกงกินผลประโยชน์จากทรัพย์แผ่นดินให้มากที่สุด มีทั้งวงโคจรดาวเทียม น้ำมันและก๊าซบนแผ่นดินและใต้ทะเล การขายหุ้น ปตท. การรับจำนำข้าว การกู้เงินทำโครงการยักษ์มูลค่าหลายแสนล้านบาท และเป็นล้านล้านบาท ใช้วิธีแบ่งกันโกงกินอย่างทั่วถึงให้ข้าราชการลิ่วล้อและบริวารรวมทั้งผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างกว้างขวาง เพื่อช่วยกันปกปิดความผิดและปกป้องให้พ้นผิด โดยทักษิณไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายโดยตรง
   
       (6) เอาเงินที่โกงกินส่วนหนึ่งไปขยายอาณาจักรทางธุรกิจของครอบครัวและพวกพ้องของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจพลังงานโดยขอมีเอี่ยวกับทุนนิยมข้ามชาติ อีกส่วนหนึ่งเพื่อใช้ซื้อคนค้ำจุนให้กุมอำนาจตลอดไปอีกหลายสิบปี
   
       2. วิธีการ 
   
       (1) มองการเมืองเป็นธุรกิจ มองประเทศเป็นบริษัท ทักษิณเป็น CEO ขายภาพลักษณ์ คิดเร็ว ทำเร็ว โกงเร็ว ขายความนิยมสู่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งโดยตรง ตัดอำนาจ ส.ส.ลูกพรรคให้เป็นเพียงลูกจ้างหรือขี้ข้า ตัดบทบาทตัวกลางทั้งหลายในระบบเดิม อันได้แก่ เทคโนแครต (ข้าราชการนักวิชาการ) นักวิชาการ เอ็นจีโอ เครือข่ายสังคม
   
       (2) แบ่งประชาชนเป็นสองพวก เอาพวกรากหญ้าเป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง ชูการเลือกตั้งเป็นสรณะ อีกพวกหนึ่งที่รู้เท่าทัน มีหน้าที่จ่ายภาษี แต่ไม่ต้องฟังเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ต่อให้ประชาชนออกมาชุมนุมคัดค้านนับสิบล้านคน ก็ยังตะแบงว่าเป็นคนส่วนน้อย น้อยกว่า 15 ล้านเสียงที่เคยลงคะแนนให้พรรคของทักษิณ ถือว่าเป็นประชามติให้พวกตนปล้นชาติได้โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย หากดิ้นไม่หลุดก็สั่งสภาทาสให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรม จึงเป็นทรราชจากการเลือกตั้งโดยแท้
   
       (3) มุ่งซื้อเสียงพวกรากหญ้าคนด้อยการศึกษาให้มากที่สุด ด้วยการจ่ายเงินซื้อโดยตรง ควบคู่กับใช้เงินภาษีจ่ายซื้อคะแนนเสียงล่วงหน้าผ่านมาตรการประชานิยมต่างๆ โดยไม่มีเป้าหมายที่จะทำให้พวกรากหญ้ามีความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างแท้จริงยั่งยืน ยุยงให้สร้างหนี้เพื่อการบริโภค ทำลายเศรษฐกิจพอเพียง
   
       (4) ทำลายระบบสื่อมวลชน ด้วยการซื้อสื่อ แทรกแซงสื่อ กดดัน คุกคามสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ตัวอย่างเช่น สั่งให้ อสมท. ถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของสนธิ ลิ้มทองกุล และรายการของเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หรือสั่งให้กรมสรรพากรตรวจสอบภาษี หรือสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ของรัฐตรวจสอบธุรกรรมการเงินของสถานีวิทยุบางแห่งที่เห็นตรงข้ามกับตน
   
       สยบสื่อมวลชนผ่านงบโฆษณาภาครัฐซึ่งตกปีละนับหมื่นล้านบาท สื่อที่วิพากษ์วิจารณ์ทักษิณจะถูกตัดรายได้จากงานโฆษณาของภาครัฐ ส่วนสื่อที่เชลียร์หรือละเว้นการเสนอข่าวด้านลบของรัฐบาลทักษิณจะได้รับงานโฆษณาภาครัฐเต็มที่ ทำให้สื่อที่ชาวบ้านนิยมอ่านหมดสภาพ “หมาเฝ้าบ้าน” เพื่อปิดหูปิดตาประชาชนทั่วไป สื่อเหล่านี้ได้แก่ มติชน ข่าวสด ไทยรัฐ ส่วนฟรีทีวีก็ไม่มีการเสนอข่าวด้านลบของระบอบทักษิณเช่นกัน
   
       ใช้วิทยุชุมชนราว 5,000 แห่งทั่วประเทศโฆษณาชวนเชื่อเผยแพร่คำโกหกหลอกลวงคนรากหญ้าให้หลงเชื่อ ตัวอย่างเช่น โกหกว่าเงินกองทุนหมู่บ้าน หรือโครงการเรียนเมืองนอกหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน เป็นเงินของทักษิณส่งมาช่วยเหลือ มองทักษิณเป็นที่พึ่งพิง รอคอยการแจกทานจากทักษิณ
   
       (5) ใช้พรรคการเมืองเป็นเครื่องมือเข้ายึดครองอำนาจเบ็ดเสร็จ เอา ส.ส.มาเป็นลูกจ้างของเจ้าของพรรคคือทักษิณ ได้รับเงินเดือนประจำพิเศษจากทักษิณคนละ 50,000-100,000 บาทต่อเดือน ออกกฎหมายในรัฐสภาตามคำสั่งของทักษิณ ตัดตอนการตรวจสอบถ่วงดุล ใช้ครอบครัวและวงศ์วานว่านเครือเป็นศูนย์กลางการบริหารอำนาจและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการใช้อำนาจ
   
       (6) ยึดอำนาจรัฐทุกรูปแบบ ครอบงำกลไกการตรวจสอบทั้งวุฒิสภาและองค์กรอิสระ รวมทั้งซื้อคนระดับบนของภาครัฐที่ซื้อได้ ถ้าซื้อไม่ได้และปลดได้ก็ปลด (ตัวอย่างเช่น นายถวิล เปลี่ยนศรี ถูกปลดออกจากเลขาธิการ สมช. แล้วตั้ง ภราดร พัฒนาถาบุตร แทน) รวมทั้งตั้งคนชั่ว/คนที่สั่งได้ ให้อยู่ในตำแหน่งสูง เพื่อให้ค้ำจุนอำนาจการเมือง อันได้แก่ ส.ส., ส.ว, ประธานสภาทั้งสอง, ผบ.เหล่าทัพ, ผบ.ตำรวจ, กกต., อัยการสูงสุด, ตุลาการบางส่วน, ข้าราชการระดับสูง, นักวิชาการลิ่วล้อ
   
       (7) ใช้หน่วยงานรัฐบางแห่ง กรมสรรพากร ตำรวจ เป็นเครื่องมือสร้างความกลัวให้กับผู้ที่ออกมาคัดค้าน ทักท้วง วิจารณ์รัฐบาล เพื่อให้หยุดส่งเสียงวิพากษ์รัฐบาล
   
       (8) เมื่อทักษิณหนีคดีอาญาไปอยู่ต่างประเทศ ก็ตั้งนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดทำการแทน ได้แก่ สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับคำสั่งจากทักษิณโดยตรงตามสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ข้าราชการระดับบน ลูกพรรค และประธานรัฐสภาต้องไปพบทักษิณที่ต่างประเทศเพื่อรับคำสั่งพิเศษ
   
       (9) ทำลายคุณธรรม จริยธรรม อันดีของสังคมไทย ทักษิณเชื่อมั่นว่าเงินซื้อได้ทุกคน ดังตัวอย่าง ซื้อพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ที่ทำรัฐประหารล้มอำนาจของทักษิณในปี 2549 ให้กลายมาเป็นผู้สนับสนุนทักษิณให้กลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งด้วยการเสนอร่าง พ.ร.บ. ปรองดองฯ แต่ทำไม่สำเร็จ ยังผลให้พลเอกสนธิ กลายเป็น “โมฆบุรุษ” ไปโดยปริยาย
   
       3. ผลต่อสังคมประเทศ
   
       (1) มีรัฐบาลเผด็จการ สืบทอดอำนาจภายในวงศ์วานว่านเครือ มีตำรวจและอันธพาลเป็นเครื่องมือคอยกดหัวคนไทยที่รู้ทัน ถ้าทักษิณยึดอำนาจเบ็ดเสร็จได้สำเร็จ ประชาชนจะอยู่ด้วยความกลัวเฉกเช่นระบอบเผด็จการในเกาหลีเหนือ
   
       (2) เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเพียงเปลือกนอก แต่เนื้อแท้เป็นระบอบเผด็จการ รัฐสภาและรัฐบาลเป็นเนื้อเดียวกัน รัฐสภาและรัฐบาลมีหน้าที่ทำตามความต้องการของทักษิณ ฝ่ายค้านเป็นเพียงไม้ประดับ
   
       (3) ทำลายอำนาจตุลาการและศาลยุติธรรม ด้วยการแจก “กล่องขนม” แทรกแซงการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ ก่อกวน ข่มขู่ ไร้หลักนิติธรรม นิติรัฐ
   
       (4) ทำลายระบบคุณธรรมในระบบราชการ แต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้ ความสามารถ ยึดแต่ความจงรักภักดีต่อจอมเผด็จการทักษิณเป็นพอ ทำให้ภาครัฐอ่อนแอไม่สามารถเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ
   
       (5) เมื่อโกงกินจนเงินหมดคลัง ก็ยังกู้หนี้มหาศาลมาโกงกินต่อ ถึงแม้จะรีดภาษีเพิ่ม ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้รัฐได้ สุดท้ายจะเกิดวิกฤตการคลังแบบเดียวกับประเทศกรีซและอีกหลายประเทศในยุโรป ภาคธุรกิจเอกชนจะถูกรีดภาษีอย่างหนัก ทุกคนจะถูกกระทบหมดเมื่อเศรษฐกิจทรุด ไม่เว้นแม้แต่ข้าราชการเกษียณ…!!
   
       (6) ในไม่ช้าต้องยุติมาตรการประชานิยมเพราะเงินคลังหมด คนรากหญ้าจะเดือดร้อนยิ่งกว่าก่อนใช้มาตรการพวกนี้ เพราะปรับตัวไม่ทัน ใช้จ่ายเพลิน หนี้สินมากขึ้นกว่าเดิม คนรากหญ้าถูกผู้นำเผด็จการทิ้งให้อยู่ตามยถากรรม มีเพียงทักษิณและคนในระบอบทักษิณที่อยู่สุขสบาย นอกนั้นลำบาก นักลงทุนหายหน้า เศรษฐกิจทรุด บ้านเมืองไทยมาถึงจุดเสื่อมโทรมและกลายเป็น “คนป่วยแห่งอาเซียน”
   
       กล่าวโดยสรุป ระบอบทักษิณ มีเป้าหมายคือมุ่งสู่อำนาจสูงสุดและร่ำรวยที่สุดทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้จำนวน ส.ส. เสียงข้างมากผ่านการเลือกตั้งเพื่อลวงโลก ใช้ประโยชน์จากเผด็จการทางรัฐสภา นำเงินภาษีและเงินทุนของภาครัฐมาทำมาตรการประชานิยมต่างๆ มอมเมาหลอกล่อให้คนรากหญ้าเทคะแนนเสียงให้พรรคของตน คุมอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการเกือบเบ็ดเสร็จ ใช้สื่อเป็นเครื่องมือโกหกหลอกลวงล้างสมองคนรากหญ้าให้หลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำ ยุยงปลุกปั่นคนในชาติทุกภาคส่วนให้แตกแยกอย่างหนัก ใช้รัฐตำรวจข่มขู่ขัดขวางการต่อต้านจากประชาชนฝ่ายที่รู้ทันความชั่วของตน 
   
       ใช้อำนาจการเมืองโกงกินผลประโยชน์แผ่นดินอย่างเมามัน มีทั้งกอบโกยเข้ากระเป๋าตนเองและวงศ์วานว่านเครือ พร้อมทั้งเปิดช่องให้ข้าราชการตัวใหญ่และภาคเอกชนผู้เกี่ยวข้องได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์กันทั่วหน้า เป็นการซื้อคนโดยทักษิณไม่ต้องควักกระเป๋า ใช้อำนาจและความร่ำรวยไปยึดกุมอำนาจ ใช้อำนาจตักตวงผลประโยชน์ หมุนเวียนหนุนเนื่องวงจรอุบาทว์นี้ให้เข้มข้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าทักษิณจะตาย! 
   
       ระบอบทักษิณมีรากที่ฝังลึกและแผ่กระจายในวงกว้าง ใช้คนรากหญ้าที่ด้อยการศึกษาเป็นฐานคะแนนเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจ ดังนั้น นอกจากปฏิรูปด้านต่างๆ และสลายเครือข่ายของทักษิณแล้ว ยังจำเป็นต้องให้คนรากหญ้าเข้าถึงข้อมูลความเลวร้ายและหายนภัยของระบอบทักษิณด้วย จึงจะสามารถตัดวงจรอุบาทว์ของระบอบทักษิณได้
   
       ชาติกำเนิดของทักษิณ
   
       ทักษิณ ชินวัตร เกิดวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 ที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 10 คนของนายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร ธิดาในเจ้าจันทร์ทิพย์ (ณ เชียงใหม่) ระมิงค์วงศ์ ทักษิณ สำเร็จมัธยมศึกษาจากโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย และระดับอุดมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2512) และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26 (พ.ศ. 2516) ในปี 2518 ศึกษาต่อปริญญาโท ด้วยทุนของ ก.พ. ใน สาขากระบวนการยุติธรรม ที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกี และจบปริญญาเอก ในสาขาเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยแซมฮิวตันสเตต เมื่อ พ.ศ. 2521 ทักษิณ มีชื่อเล่นว่า แม้ว ตั้งโดยเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10
   
       ทักษิณ สมรสกับ พจมาน ดามาพงศ์ ในปี พ.ศ. 2523 และมีบุตรด้วยกันสามคน ได้แก่ พานทองแท้ ชินวัตร (โอ๊ค) พินทองทา ชินวัตร (เอม) สมรสกับณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ แพทองธาร ชินวัตร (อิ๊ง)
   
       นายเลิศ ชินวัตร เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เพียงภาคเรียนเดียว ต้องลาออกมาช่วยกิจการของครอบครัว คือ โรงงานทอผ้าไหมชินวัตรพาณิชย์ และธุรกิจตลาดสดสันกำแพง ต่อมาทำกิจการหลายอย่าง เช่น รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าตามต่างจังหวัด เปิดร้านกาแฟที่ห้องแถวไม้หน้าตลาดสันกำแพง ทดลองทำสวนส้มเขียวหวาน สวนฝรั่งและผลไม้เมืองหนาว จากนั้นทำงานที่ธนาคารนครหลวงไทย สาขาเชียงใหม่ ในตำแหน่งหัวหน้าสินเชื่อ ต่อมาร่วมหุ้นทำโรง ภาพยนตร์ศรีวิศาล และได้ซื้อหุ้นไว้ทั้งหมด หลังจากนั้นได้สร้างโรงภาพยนตร์ชินทัศนีย์ ที่ถนนเจริญเมือง และซื้อกิจการรถเมล์วิ่งในตัวเมืองเชียงใหม่
   
       นายเลิศ เข้าสู่การเมืองท้องถิ่นเมื่อปี 2510 เป็นสมาชิกสภาจังหวัด เขตอำเภอสันกำแพง ในปี พ.ศ. 2512 ต่อมาได้เป็น ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ในสังกัดพรรคพลังใหม่ แต่การเลือกตั้ง พ.ศ. 2518 ไม่ได้รับเลือก จึงวางมือไปหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
   
       ต้นสกุลชินวัตรมาจาก ชุ่นเส็ง แซ่คู ชาวจีนฮากกา หรือแคะ อพยพจากมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน มาอยู่อำเภอท่าใหม่ จันทบุรี สร้างเนื้อสร้างตัวจนได้เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย ต่อมาย้ายจากจันทบุรี ไปตั้งถิ่นฐานที่อำเภอสันกำแพง เชียงใหม่ ชุ่นเส็งแต่งงานกับสตรีชาวไทยชื่อทองดี มีบุตรชายคนโตชื่อ เชียง แซ่คู
       เชียงเป็นแกนหลักของตระกูลในเวลาต่อมา ค้าขายกับจีนฮ่อและไทยใหญ่ ต่อมามีกิจการหลัก คือ
       โรงทอผ้าไหมไทย ในปี พ.ศ.2481 เชียง เปลี่ยนมาใช้นามสกุล ชินวัตร
       
       ชินวัตรรุ่นที่ 3 เชียง สมรสกับ แสง (สกุลเดิม: สมณะ) มีบุตรธิดารวม 12 คน อาทิ
       • เข็มทอง ชินวัตร (โอสถาพันธุ์) เจ้าของกิจการ ท.ชินวัตรไหมไทย ซึ่งตั้งอยู่บนซอยสุขุมวิท 23 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร
       • พันเอก (พิเศษ) ศักดิ์ ชินวัตร (พ.ศ. 2458-)
       • เลิศ ชินวัตร (พ.ศ. 2462-2540)
       • สุเจตน์ ชินวัตร (พ.ศ. 2464-) อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่
       • จันทร์สม ชินวัตร (พ.ศ. 2466-) เจ้าของโรงงานทอผ้าไหม ชินวัตรพาณิชย์
       • สมจิตร ชินวัตร (พ.ศ.2470- 2547)เจ้าของกิจการ ส.ชินวัตรไหมไทย ตั้งอยู่ถนนเชียงใหม่-สันกำแพง
       • สุรพันธ์ ชินวัตร (พ.ศ. 2474-) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ หลายสมัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (2529-2531) ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
       • บุญรอด ชินวัตร (พ.ศ. 2477- 2537) อดีตผู้จัดการโรงงานทอผ้าชินวัตรไหมไทย สมรสกับนางสุรัตน์ ตันติเวสส มีบุตรธิดารวม 3 คน
       • วิไล ชินวัตร (พ.ศ. 2479-) สมรสกับผู้ช่วยศาสตราจารย์สมหวัง คงประยูร มีบุตร 2 คน
       • ทองสุทธิ์ ชินวัตร (โครซาติเย่ร์) (พ.ศ. 2482-) อดีตเจ้าของกิจการ ชินวัตรแฟชั่นเฮ้าส์
   
       ชินวัตรรุ่นที่ 4 เข้าสู่การเมืองหลายคน เป็นที่รู้จักอยู่ 2 สายคือ
   
       1. พันเอก(พิเศษ) ศักดิ์ สมรสกับทวี มีบุตรชายคือ
       • พลเอกอุทัย ชินวัตร อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม
       • พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก
       2. เลิศ ชินวัตร สมรสกับยินดี (สกุลเดิม: ระมิงค์วงศ์) มีบุตรธิดารวม 10 คน บุตรที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้แก่
       • พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (เกิด 26 ก.ค. 2492-) อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย สมรสและหย่ากับ พจมาน ณ ป้อมเพชร มีบุตรธิดารวม 3 คน
       • เยาวเรศ ชินวัตร อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติ อดีตนายกสมาคมสตรีไทย สมรสและแยกทางกับ วีรชัย วงศ์นภาจันทร์ มีบุตรธิดารวม 3 คน
       • เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ พรรคของทักษิณ สมรสกับสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตผู้พิพากษาและอดีตนายกรัฐมนตรี มีบุตรธิดา 3 คน
       • พายัพ ชินวัตร อดีต ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ พรรคของทักษิณ สมรสกับพอหทัย มีบุตรชาย 4 คน
       • มณฑาทิพย์ ชินวัตร สมรสกับนายแพทย์สมชัย โกวิทเจริญกุล
       ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (เกิด 21 มิ.ย. 2510-) นายกรัฐมนตรี สมรสโดยไม่ได้จดทะเบียนกับอนุสรณ์ อมรฉัตร มีบุตรชาย 1 คน
   
       รับราชการและทำธุรกิจ
   
       ทักษิณ เริ่มทำงานเป็นหัวหน้าแผนกแผน 6 กองวิจัยและวางแผน และรองผู้อำนวยการศูนย์ประมวลข่าวสาร กองบัญชาการตำรวจนครบาล อาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ตามลำดับ
   
       ในปี 2518 ทักษิณเป็นเลขานุการของนายปรีดา พัฒนถาบุตร รัฐมนตรีสมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช โดยนายเลิศเป็นผู้ฝากฝังเพราะเป็นคนเชียงใหม่ด้วยกัน
       ทักษิณ เริ่มทำธุรกิจหลายอย่างในขณะรับราชการตำรวจ เช่น ขายผ้าไหม โรงภาพยนตร์ สร้างภาพยนตร์ ธุรกิจคอนโดมิเนียม แต่ประสบความล้มเหลวหมด เป็นหนี้สินกว่า 50 ล้านบาท จึงลาออกจากราชการแล้วหันมาทำธุรกิจเต็มตัว ขณะเรียนอยู่สหรัฐอเมริกา เขามองเห็นอนาคตของโทรคมนาคมและระบบสารสนเทศ จึงลาออกจากงานตำรวจเพื่อทำธุรกิจด้านนี้ เริ่มจากเป็นนายหน้า บ.ไอบีเอ็ม ติดตั้งระบบและเช่าบริการคอมพิวเตอร์ให้กับกรมตำรวจ มีเรื่องทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้ ทักษิณรอดตัว
   
       ในปี 2526 ทักษิณเปิดห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอซีเอสไอ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น บ.ชินวัตร คอมพิวเตอร์ และอาศัยบารมีของนายสุรพันธ์ ชินวัตร ผู้เป็นญาติ และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (2529-2531) ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้สัมปทานเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ GSM900 เป็นรายแรก และให้บริการวิทยุติดตามตัว ในปี 2533 จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในชื่อบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชันส์ จำกัด ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ( AIS)
   
       ในช่วงรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุนหะวัณ (ส.ค. 2531-ก.พ. 2534) ทักษิณเข้าหา เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล อสมท. เพื่อวิ่งเต้นขอสิทธิ์การทำธุรกิจเคเบิลทีวีจาก อสมท. โดยจะร่วมลงทุนกับบริษัทต่างประเทศ แล้วโกงหุ้นจนถูกฟ้องร้อง
   
       ภายหลังรัฐบาลพลเอกชาติชายถูก รสช. ยึดอำนาจ มีรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ขัดตาทัพ ทักษิณให้เฉลิมพาเข้าวิ่งเต้นกับพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ หัวหน้าคณะรัฐประหาร รสช. ได้สัมปทานจากกระทรวงคมนาคม ทำกิจการดาวเทียมสื่อสารดวงแรกชื่อไทยคม 1 เป็นธุรกิจผูกขาด สร้างกำไรเป็นหมื่นล้านบาทภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี จึงได้ก่อตั้ง บมจ. ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นบริษัทต่างๆ ในเครือ ที่สำคัญได้แก่ เอไอเอส ไทยคม ไอพีสตาร์ เทเลอินโฟมีเดีย (ธุรกิจสมุดหน้าเหลือง) ส่วนเฉลิม อยู่บำรุง ได้รับสมญาจากสื่อมวลชนว่า “เหลิม ดาวเทียม” ทักษิณตอบแทนโดยให้ตำแหน่งการเมืองแก่เฉลิมแต่นั้นเป็นต้นมา
   
       จะเห็นว่าธุรกิจดาวเทียมที่สร้างความร่ำรวยให้ทักษิณมาจากการวิ่งเต้นกับพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ทหารที่ทำรัฐประหาร แต่ภายหลังทักษิณและนักวิชาการลิ่วล้อกลับชูประเด็นต่อต้านรัฐประหารเพื่อโกหกชาวเสื้อแดง โดยไม่บอกความจริงว่าทักษิณต่อต้านรัฐประหารเฉพาะที่ทำให้ตนหมดอำนาจ ส่วนรัฐประหารที่ทำให้ทักษิณร่ำรวยหรือได้อำนาจคืนมา กลับชื่นชอบเป็นพิเศษ ถึงขั้นก้มกราบเท้าผู้ทำรัฐประหารก็เคยทำมาแล้ว
   
       เปิดโปงการโกงกินเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง
       หลังจากได้สัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่จากการจ่ายสินบนใต้โต๊ะแล้ว ทักษิณเรียนรู้ว่าอำนาจการเมืองแบบไทยๆ สามารถแปลงเป็นผลประโยชน์ส่วนตนได้ จึงเข้ามาเล่นการเมืองเสียเอง เพราะมีอำนาจเองย่อมดีกว่าคอยพึ่งพาผู้มีอำนาจคนอื่น ซึ่งมีทั้งนักการเมืองและข้าราชการ
   
       ในปี 2537 พลตรีจำลอง ศรีเมือง และ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แห่งพรรคพลังธรรม เข้าร่วมรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้รับทักษิณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในโควตาของพรรคพลังธรรม ต่อมาทักษิณได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมแทนพลตรีจำลองที่ลาออก เป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา และเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
   
       ในช่วงที่ทักษิณดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปี 2537-2540 ไม่มีผลงานแต่อย่างใด ทักษิณเคยประกาศว่าจะแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 6 เดือน แต่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เขาสนใจอยู่อย่างเดียวคือมองหาช่องทางสร้างความร่ำรวยแบบก้าวกระโดด เริ่มจากตัดลดงบประมาณขององค์การโทรศัพท์ ทำให้ขยายงานไม่ได้ การขอติดตั้งโทรศัพท์เป็นเรื่องแสนยาก นักธุรกิจไม่มีทางเลือกต้องหันมาใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของทักษิณ ซึ่งฉวยโอกาสโก่งราคาค่าเครื่องโทรศัพท์และค่าใช้บริการแบบมหาโหด
   
       ในปี 2540 เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาฟองสบู่แตกเป็น “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ทักษิณรู้ข้อมูลภายในว่ารัฐบาลจะประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อไร รีบให้บริษัทของตนทำประกันค่าเงินสำหรับเงินที่กู้จากต่างประเทศ นักลงทุนอื่นที่กู้เงินตราต่างประเทศล้มระเนระนาดหมด แต่ทักษิณรอด ยิ่งกว่านั้นยังให้ผู้ใกล้ชิดระดมกู้เงินบาทจากธนาคารให้ได้มากที่สุด นำไปซื้อดอลลาร์ สรอ.ในราคา 25 บาทมาตุนไว้ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทในตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศลดลงอย่างรวดเร็ว หรืออีกนัยหนึ่งดอลลาร์ สรอ. มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถขายดอลลาร์ในราคา 45-58 บาท สร้างกำไรมหาศาลให้กับทักษิณ คราวนี้ทักษิณก็มีทุน กระสุนดินดำ ไว้ใช้เล่นการเมืองเต็มที่
       ในวันที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กำลังประชุมหารือที่ทำเนียบรัฐบาลร่วมกับ ทนง พิทยะ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเตรียมจะประกาศลอยตัวค่าเงินบาท มีเสียงครหาว่า โภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ป้วนเปี้ยนใกล้โต๊ะประชุม และนำเรื่องนี้ไปบอกทักษิณ ทักษิณจึงตอบแทนด้วยการอุปถัมภ์นายโภคินมาโดยตลอด
   
       จะเห็นได้ว่าคนที่ทักษิณให้การอุปถัมภ์ ไม่ทอดทิ้ง ล้วนเป็นคนที่ทำชั่วเพื่อทักษิณมาแล้วทั้งนั้น...! 
       
       ในปี 2541 ทักษิณได้ทิ้ง พรรคพลังธรรม แล้วตั้ง พรรคไทยรักไทย ลงเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยติดต่อกัน ระหว่างปี พ.ศ. 2544 - 2548 และ พ.ศ. 2548 -2549 ด้วยนโยบายประชานิยมต่างๆ อันเป็นการติดสินบนประชาชนเพื่อแลกกับคะแนนเสียง
   
       เมื่อเริ่มเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองในปี 2548 ทักษิณจึงถูกคนที่รู้ทันออกมาวิจารณ์อยู่เนืองๆ เริ่มจาก ธีรยุทธ บุญมี ตามมาด้วย นักหนังสือพิมพ์น้ำดี นักวิชาการน้ำดี นักวิจัยของ TDRI ฯลฯ ในบรรดาผู้ที่ออกมาวิพากษ์ทักษิณ สนธิ ลิ้มทองกุล แห่งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นับเป็นคนแรกๆ ที่ออกมาต่อต้านทักษิณอย่างเปิดเผย จากเดิมที่เคยเชียร์ทักษิณ เคยทำธุรกิจบางอย่างร่วมกับทักษิณ เช่น ชักชวนกันถือหุ้นบริษัท ไออีซี (โทรศัพท์มือถือโนเกีย) บริษัท ไอบีซี (เคเบิลทีวี) เป็นต้น
   
       ทันทีที่มีการขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น แบบหลีกเลี่ยงภาษี ให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก ของสิงคโปร์ สนธิ ลิ้มทองกุล, พลตรีจำลอง ศรีเมือง, พิภพ ธงไชย, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และ สมศักดิ์ โกศัยสุข รวม 5 แกนนำได้จัดชุมนุมขับไล่ทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ทักษิณประกาศยุบสภาฯ และกำหนดการเลือกตั้งใหม่วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549
   
       พรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค ประกาศไม่ส่งผู้สมัครลงรับการเลือกตั้ง และมีการฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า พรรคไทยรักไทย จ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อมิให้ขัดต่อ พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต่อมาศาล รธน. มีคำวินิจฉัย ให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน เป็นโมฆะ และให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงได้ยุติการชุมนุมลงชั่วคราวและนัดชุมนุมใหม่หลังการเลือกตั้ง วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2549 ทักษิณ เดินทางไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ
   
       ทักษิณหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
   
       วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เวลาประมาณ 21.00 น. คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ ทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ทักษิณแก้เกมโดยใช้สื่อโทรคมนาคมประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเวลา 22.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ แต่ในขณะที่กำลังประกาศอยู่ พลเอกสนธิ สั่งตัดสัญญาณและเข้าสู่ประกาศคณะปฏิรูปฯ เป็นอันยึดอำนาจได้สำเร็จ ในเวลา 23.00 น.
   
       น่าเสียดายว่า สาเหตุเบื้องหลังที่ พลเอกสนธิ บุญรัตกลิน ทำรัฐประหาร คือได้ระแคะระคายว่าทักษิณ กำลังจะปลดตนออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก จึงชิงทำรัฐประหารก่อน
   
       คปค. ได้แต่งตั้ง พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี หลายฝ่ายเห็นว่าเป็นการเลือกตัวบุคคลที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง ทำให้การรัฐประหารครั้งนี้ “เสียของ” เพราะหลังจากที่ฝ่ายสมุนของทักษิณเผยแพร่เรื่องบ้านพักของพลเอกสุรยุทธ์ บนเขายายเที่ยงซึ่งเป็นเขตป่าสงวน แทนที่พลเอกสุรยุทธ์จะลาออก แล้วให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน กลับเร่งวันเร่งคืนให้การร่าง รธน. เสร็จโดยเร็ว และจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่อย่างเร่งรีบ อีกทั้งหัวหด “ไม่กล้า” เผยแพร่เรื่องราวการโกงกินของทักษิณให้คนรากหญ้ารับรู้รับฟังผ่านสื่อของรัฐและฟรีทีวีอย่างทั่วถึง ช่วงเวลานาทีทองที่ควรให้ข้อมูลแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ จึงผ่านไปอย่างน่าเสียดาย ปล่อยให้ทักษิณลอยนวล เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยจระเข้ลงน้ำ ภายหลังกลายเป็นช่องว่างให้ทักษิณโกหกคนรากหญ้าให้หลงเชื่อว่าตนเองถูกศาลฯ กลั่นแกล้ง ถูกผู้มีอำนาจเหนือ รธน. กลั่นแกล้ง คนพวกหนึ่งเมื่อหลงเชื่อไปแล้ว ต่อมาใครจะให้ข้อมูลที่เป็นจริงก็ยากที่จะเปิดใจรับฟัง
   
       เมื่อมีการเลือกตั้งอีกครั้ง คนรากหญ้าจึงท่องตามที่ถูกวิทยุชุมชนเป่าหูว่า “โกงกินทุกพรรค เลือกพรรคที่ให้เงินบ้างยังดีกว่า” ทักษิณจึงได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้นเหมือนเดิม
   
       จึงเป็นบทเรียนที่ผู้เกี่ยวข้องควรตระหนัก ว่าการให้ข้อมูลที่สื่อถึงคนรากหญ้าที่มีสิทธิ์เลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยใช้รูปแบบสื่อที่ถูกกับจริตและรสนิยมของคนรากหญ้า
   
       แต่ที่ไม่ถึงกับ “เสียของ” โดยสิ้นเชิง ก็คือการแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตภายใต้รัฐบาลทักษิณ คตส. ใช้เวลาเพียง 1 ปี 9 เดือน ตรวจสอบกรณีโกงกินของรัฐบาลทักษิณรวม 22 คดี โดยไม่ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ อย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำ ไม่มีงบประมาณที่เพียงพอ ไม่มีสถานที่ทำงานของตนเอง แต่กลับมีผลงานทรงคุณค่ายิ่งต่อประเทศชาติ
   
       และเมื่อศาลฎีกาตัดสินได้เพียงคดีเดียว...ทักษิณก็ไม่มีแผ่นดินอยู่!!! 
   
       กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ทักษิณเดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกับแสดงละครน้ำเน่าก้มกราบพื้นดินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อลวงโลกว่าตนนั้นรู้คุณแผ่นดิน ระหว่างที่มีการดำเนินคดีที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ทักษิณและภริยาซึ่งรู้ระแคะระคายว่าศาลจะตัดสินอย่างไร ได้ออกอุบายขออนุญาตศาลเดินทางไปต่างประเทศ อ้างว่าไปร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ที่กรุงปักกิ่ง… จากนั้นศาลอ่านคำวินิจฉัยว่า ทักษิณมีความผิดในคดีดังกล่าว พิพากษาจำคุก 2 ปี ทักษิณจึงไม่เดินทางกลับประเทศไทย กลายเป็นนักโทษหนีคุก ปีต่อมาทักษิณจดทะเบียนหย่ากับพจมาน ด้วยเหตุผลทางการเมือง นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทักษิณมีการเคลื่อนไหวสั่งการทางการเมืองอย่างต่อเนื่องโดยใช้มัลติมีเดียต่างๆ
   
       คตส. กับพันธกิจตรวจสอบการโกงกิน
   
       กรณีการทุจริตที่ คตส.ยกขึ้นตรวจสอบแบ่งเป็น 22 คดี มีดังต่อไปนี้ (ข้อมูลจากหนังสือ ปัจฉิมบท คตส.ฝากไว้ในแผ่นดินจัดพิมพ์โดย คตส., 2551)
   
        (ก) คตส. ฟ้องศาลแล้ว จำนวน 5 คดี
   
       1. ที่ดินถนนรัชดาภิเษก พจมาน ชินวัตร ใช้อิทธิพลของสามี (ทักษิณ) ซื้อที่ดินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน อันเป็นหน่วยงานของรัฐ จำนวน 35 ไร่ ในราคาเพียง 772 ล้านบาทจากราคาที่ตั้งไว้ 2,140 ล้านบาท ผู้ซื้อเป็นภรรยาของนายกรัฐมนตรี การซื้อขายนี้ต้องได้รับลายเซ็นแสดงการยินยอมจากคู่สมรส ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี การซื้อขายนี้จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งห้ามคู่สมรสและเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ
   
       ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาจำคุก ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปีในเรื่องการมีผลประโยชน์ทับซ้อน หลังจากทักษิณและคุณหญิงพจมานไม่เดินทางมารายงานตัวต่อศาล ศาลฎีกา จึงออกหมายจับบุคคลทั้งสอง คดีของ ทักษิณ มีอายุความ 15 ปี ถึงวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ส่วนคดีของพจมาน มีอายุความ 10 ปี ถึงวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561
   
       คนรากหญ้าถูกเป่าหูบิดเบือนว่า “เมียซื้อ ผัวเซ็น” มันผิดตรงไหน?...ทักษิณถูกกลั่นแกล้ง!
   
       2. การออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 2 ตัว และ 3 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กับพวกรวม 49 คน ในฐานะ ครม. ได้อนุมัติการออกสลากดังกล่าว ซ้ำยังนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงิน 14,862 ล้านบาท ไปใช้จ่ายในกิจการต่างๆ โดยขัดต่อกฎหมาย
   
       3. หลีกเลี่ยงภาษี เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและคู่สมรสไม่อาจถือหุ้นในบริษัทเกิน 5 % ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ และภรรยา จึงใช้วิธีซุกหุ้นโดยกระจายให้ลูก ญาติ และคนใกล้ชิดถือหุ้นแทน วันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 คุณหญิงพจมาน สั่งให้นางกาญจนาภา หงษ์เหิร (เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน) โอนหุ้นของตนในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งอำพรางให้นางสาวดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้เป็นผู้ถือแทน ให้แก่นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ (พี่บุญธรรมของคุณหญิงพจมาน) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ผ่านตลาดหุ้น ซึ่งเสียค่าธรรมเนียมเพียง 7.38 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงเป็นการย้ายผู้ถือหุ้นจาก น.ส.ดวงตา มาให้นายบรรณพจน์ ถือแทน ซึ่งนายบรรณพจน์ ควรจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2540 คิดเป็นเงิน 273 ล้านบาท แต่กลับอำพรางว่าเป็นการซื้อขายหุ้นผ่านตลาดหุ้นเพื่อจงใจหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั่นเอง
   
       วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 ศาลอาญาชั้นต้นพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญา นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 3 ปี คุณหญิงพจมาน ชินวัตร 3 ปี นางกาญจนาภา หงษ์เหิร 2 ปี
   
       4. กล้ายาง ทักษิณ ชินวัตร เปิดไฟเขียวให้บริวารได้โกงกินชาติพร้อมๆ ไปกับตนเพื่อซื้อความจงรักภักดีในวงกว้าง กรณีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักการเมืองที่รับผิดชอบกระทรวงเกษตรฯ ข้าราชการผู้รับผิดชอบโครงการ และบริษัทเอกชนที่ประมูลรับงาน มีการใช้เงินของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร กองทุนส่งเสริมการทำสวนยาง และเงินค่าธรรมเนียมการส่งออกยาง ซื้อพันธุ์ยางที่ขาดคุณภาพแจกจ่ายให้เกษตรกรนำไปปลูกทดแทนต้นยางเก่า คิดเป็นความเสียหายมูลค่า 1,200 ล้านบาท
   
       5. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เมื่อปลายปี 2546 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ตกลงเป็นการส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรีพม่า และพลจัตวา เต็ง ซอ รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกระทรวงคมนาคมของพม่า โดยสั่งการให้ EXIM BANK ของไทยปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 3 ซึ่งต่ำกว่าต้นทุน อายุเงินกู้ 12 ปี โดยนำเงินกู้ดังกล่าวจำนวนราว 600 ล้านบาทมาซื้ออุปกรณ์และบริการจากบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด ที่ครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ถือหุ้นข้างมาก ทำให้ EXIM BANK ขาดทุนรวม 670 ล้านบาท ต้องใช้งบแผ่นดินซึ่งเป็นเงินภาษีมาจ่ายชดเชย
   
       คตส. ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ฟ้อง แต่อัยการสูงสุดไม่ยอมส่งฟ้องต่อศาลโดยอ้างว่าสำนวนมีข้อไม่สมบูรณ์ คตส.จึงหันไปขอให้สภาทนายความเป็นผู้ฟ้อง เพราะ คตส. มีบุคลากรจำนวนจำกัด
   
        (ข) ส่งอัยการสูงสุดเป็นผู้ฟ้อง จำนวน 7 คดี 
   
       6. การจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ (CTX) สนามบินสุวรรณภูมิ การก่อสร้างและการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ในสนามบินสุวรรณภูมิเต็มไปด้วยทุจริต เฉพาะเรื่องการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX จำนวน 26 เครื่อง เพื่อใช้ในสนามบินสุวรรณภูมิ การโกงกินนี้ถูกเปิดโปงเมื่อเดือนธันวาคม 2547 กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกายอมรับว่าได้สอบสวนผู้บริหารของบริษัทแม่ที่สนับสนุนให้บริษัทลูกตัวแทนจำหน่ายเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ที่ขายให้ไทย โดยขายสินค้าที่มีราคา 1,400 ล้านบาทให้ไทยในราคาเพิ่มขึ้นเป็น 2,600 ล้านบาท มีการนำเงินส่วนต่าง 1,200 ล้านบาทไปแบ่งกันในหมู่ผู้เกี่ยวข้องฝ่ายไทย พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเรื่องนี้มาเปิดโปงและอภิปรายไม่ไว้วางใจ รมต. กระทรวงคมนาคม แต่คราวนั้นพรรคประชาธิปัตย์ต้องพ่ายแพ้เผด็จการทางรัฐสภา มูลค่าที่โกงกินเข้ากระเป๋าบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งเครื่องซีทีเอ็กซ์และส่วนอื่น รวมเป็นเงิน 6,937 ล้านบาท
   
       7. ร่ำรวยผิดปกติ ได้ทรัพย์สินโดยไม่สมควร เป็นคดีทางแพ่งเพื่อยึดทรัพย์สินที่ พ.ต.ท. ทักษิณ โกงชาติ จำนวนราว 76,000 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน นอกเหนือการลงโทษทางอาญา (คดีนี้ศาลฏีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาแล้ว อ่านรายละเอียดในหัวข้อดังกล่าว)
   
       8. โครงการก่อสร้างระบบจ่ายไฟฟ้าและท่อร้อยสายไฟใต้ดินในสนามบินสุวรรณภูมิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เปิดไฟเขียวให้บริวารได้โกงกินชาติ มีผู้ถูกกล่าวหาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักการเมืองที่รับผิดชอบกระทรวงคมนาคม กลุ่มข้าราชการที่รับผิดชอบ (ปลัดกระทรวงคมนาคม ประธานและรองประธานกรรมการ บมท.) และบริษัทเอกชนที่รับงาน เหตุเกิดในปี 2538-2545
   
       9. การอนุมัติเงินกู้ธนาคารกรุงไทยให้แก่บริษัทในเครือกฤษดามหานคร ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ได้อนุมัติสินเชื่อแก่กลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร 3 แห่ง รวมเงิน 10,400 ล้านบาท และขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของบริษัทกฤษดามหานคร 1,185 ล้านบาท โดยบริษัทเหล่านี้กำลังมีหนี้เสียกับธนาคารกรุงไทย กรณีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ บีบธนาคารกรุงไทยเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง โดยตนเองได้รับส่วนแบ่งจำนวนหนึ่ง
   
       10. เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรตอบข้อหารือภาษีหุ้นชินโดยไม่ชอบ ก่อนหน้านี้มีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้รับโอนหุ้นจากบิดา กรมสรรพากรวินิฉัยว่าต้องนำมูลค่าหุ้นมาคำนวณเสียภาษีเงินได้ประจำปี ต่อมาคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำหนังสือสอบถามกรมสรรพากรว่า บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ซื้อหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาหุ้นละ 1 บาท จะต้องเสียภาษีหรือไม่ ข้าราชการของกรมสรรพากรตอบว่าไม่ต้องเสียภาษี ทั้งๆ การซื้อขายดังกล่าวเป็นการอำพรางเพราะราคาต่ำมากเหมือนได้มาฟรี เท่ากับว่ากรมสรรพากรใช้สองมาตรฐานกับเรื่องที่คล้ายกัน คตส. จึงส่งเรื่องให้ อัยการสูงสุดดำเนินคดีกับนายศุภวัฒน์ ควัฒน์กุล และข้าราชการในกรมสรรพากร
   
       11. คดีอาญาเกี่ยวกับการถือหุ้นสัมปทาน แปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต พ.ต.ท. ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ทำนิติกรรมอำพรางว่าได้โอนหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ทั้งสองถืออยู่จำนวน 1,419 ล้านหุ้น ให้กับลูกชาย โดยแท้จริงทั้งสองยังคงเป็นเจ้าของหุ้นตามเดิม บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น นี้มีบริษัทลูกคือบริษัท เอไอเอส รับสัมปทานจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย และมีบริษัทลูกอีกแห่งชื่อ ชินแซทเทลไลท์ รับสัมปทานกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในไทย
   
       พ.ต.ท. ทักษิณ ใช้อำนาจเผด็จการทางรัฐสภาจากการที่มี ส.ส. เกินครึ่งสภา ออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อลดเงินที่บริษัทในเครือของตนจะต้องจ่ายให้รัฐ โดยใช้วิธีการยอกย้อนซ่อนเงื่อนเพื่อตบตาชาวบ้านทั่วไป ยังผลให้รัฐสูญเสียรายได้จากสัมปทานไปจำนวนมหาศาล ขณะเดียวกันทำให้รายได้ของบริษัทในเครือชิน คอร์ปอเรชั่น รวมทั้งราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ในตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้นปรู๊ดปร๊าดภายในเวลา 2-3 ปี จนสุดท้ายสามารถขายหุ้นทั้งหมดของตนให้กลุ่มเทมาเส็ก ของสิงคโปร์ เป็นเงิน 69,722 ล้านบาท เมื่อเดือนมกราคม 2549
   
       12. สินบนบ้านเอื้ออาทร แบ่งเป็น 2 กลุ่มคดี การทุจริตโดยนักการเมืองราว 1,400 ล้านบาท โดยผู้ว่าการเคหะแห่งชาติและพวกเป็นเงิน 781 ล้านบาท
   
        (ค) ส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำนวน 6 คดี
   
       13. การจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร มีผู้เกี่ยวข้อง 5 คน ได้แก่ นายโภคิน พลกุล นายประชา มาลีนนท์ นายสมศักดิ์ คุณเงิน นายสมัคร สุนทรเวช และ พล ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ ร่วมกันดำเนินการจัดซื้อซึ่งส่อว่ามีการทุจริต ซื้อในราคาสูงเกินจริง สร้างความเสียหายแก่รัฐ 1,900 ล้านบาท
   
       14. Air Port Link การรถไฟแห่งประเทศไทยทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ กับบริษัท บี กริม ทุจริตสร้างความเสียหายแก่รัฐ 1,200 ล้านบาท งานก่อสร้างหยุดชะงักแม้จ่ายเงินไปหมดแล้ว
   
       15. บ้านเอื้ออาทรที่เหลือ ร่มเกล้า บางพลี รังสิต คลอง 9 กบินบุรี อรัญประเทศ
   
       16. เซ็นทรัลแล็บ กรณีกล่าวหารัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรฯ กับพวก 65 คน ทำความผิดเกี่ยวกับการก่อสร้างและจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ของบริษัทห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารจำกัด
   
       17. ซื้อทีมฟุตบอลแมนซิตี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลักลอบนำเงินออกนอกประเทศเพื่อซื้อทีมฟุตบอล
   
       18. ปกปิดบัญชีทรัพย์สินหุ้นบริษัทธนชาติประกันภัย 60 ล้านบาทในชื่อบรรณพจน์ 
   
        (ง) ส่งให้สรรพากร เพื่อประเมินภาษี
   
       19. นายบรรณพจน์ที่รับหุ้นจากคุณหญิงพจมาน หลีกเลี่ยงภาษี 546 ล้านบาท
   
       20. นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ซื้อหุ้น ARI ราคา 1 บาท ขาย 49.25 บาท หลีกเลี่ยงภาษีรวม 11,808 ล้านบาท
   
       21. ARI ขายหุ้น 1 บาท ราคาตลาด 49.25 บาท หลีกเลี่ยงภาษี 20,923 ล้านบาท
   
       22. บริษัท ชินแซทเทลไลท์ รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัยดาวเทียมไทยคม 3 แทนกระทรวงเทคโนโลยีฯ แต่มิได้นำเงินค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับไปรวมคำนวณเป็นกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษี จึงเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีจากรายรับ 1,082 ล้านบาท
   
       คดีร่ำรวยผิดปกติ ได้ทรัพย์สินโดยมิชอบ
   
       คดีนี้เรียกแบบชาวบ้านว่า “คดียึดทรัพย์” เป็นคดีที่ซับซ้อนมาก คำพิพากษาก็ยาวเหยียด รูปแบบการเขียนก็อ่านเข้าใจยาก คนทั่วไปอ่านไม่รู้เรื่อง รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ก็ไม่สนใจที่จะเผยแพร่ทางทีวีและหนังสือพิมพ์ให้คนทั่วไปได้เข้าใจ จำเลยคดีนี้เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีและเป็นเจ้าของพรรคที่คนรากหญ้านิยม การเพิกเฉยของรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์จึงเข้าทางทักษิณและลิ่วล้อ ที่จะเป่าหูคนรากหญ้าและคนที่ชอบฟังความข้างเดียวว่าทักษิณถูกศาลกลั่นแกล้งบ้าง ศาลตัดสินสองมาตรฐานบ้าง มีคนอยู่เบื้องหลังบงการศาลบ้าง
   
       ในที่นี้เป็นการนำเสนอให้เข้าใจง่าย เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่านักการเมืองไม่สามารถถือหุ้นหน่วยธุรกิจเกิน 5 % เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ทักษิณและพจมานจึงต้องโอนหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ให้แก่ลูก ญาติ คนสนิท และคนรับใช้ แต่ที่ทักษิณทำต่างจากนักการเมืองคนอื่น คือเป็นเพียงการโอนหุ้นในนาม โดยที่คนทั้งสองยังคงเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง สื่อเรียกพฤติกรรมนี้ว่า “ซุกหุ้น”
   
       ก่อนเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ทักษิณ เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกรณีซุกหุ้นมาครั้งหนึ่งแล้วในปี 2543 แต่ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” จึงทำให้ ทักษิณ สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีกครั้ง มีเสียงครหาว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนั้นหลายคนได้รับทรัพย์ เช่น กระมล ทองธรรมชาติ เป็นต้น
   
       การซุกหุ้นก็เพื่อตบตาคนทั้งหลาย คราใดมีการใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีออกมาตรการต่างๆ อันเป็นการผ่องถ่ายผลประโยชน์จากรัฐ มาสู่ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น และบริษัทในเครือ ราคาหุ้นตัวนี้จะพุ่งสูงขึ้นทุกที ผู้ถือหุ้นร่ำรวยขึ้น นี่เป็นวิธีการโกงบ้านกินเมืองแนวใหม่ ปล้นชาติอย่างเนียนๆ เวลานั้นคนเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์รู้กันทั่ว แต่ไม่กล้าฟันธงว่าทักษิณบงการอยู่เบื้องหลัง
   
       จุดหลักของคดีคือต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าทักษิณและพจมานยังคงเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ตัวจริง จากนั้นจึงพิจารณาต่อไปว่า ทักษิณได้ใช้อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีออกมาตรการต่างๆ มีอะไรบ้างที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปฯ และบริษัทในเครือ เพื่อทำให้หุ้นชินคอร์ปฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีราคาถีบตัวสูงขึ้นอย่างผิดปกติ และในวันที่ 23 มกราคม 2549 ทักษิณ ได้รวบรวมหุ้นจำนวน 1,419 ล้านหุ้นขายให้แก่กลุ่มเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ เป็นเงินราว 69.7 พันล้านบาท บวกเงินปันผลระหว่างปี 2546-2548 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมดราว 76.6 พันล้านบาท
   
       คตส.ได้สอบสวนเรื่องนี้ และส่งต่อให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ของทักษิณและครอบครัว จำนวน 76.6 พันล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากทรัพย์สินดังกล่าวเกิดจากการกระทำที่เป็น “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
   
       การซุกหุ้นครั้งที่สองนี้มีการโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ไปให้คนอื่นถือแทนแบบเดียวกับการซุกหุ้นครั้งแรก แต่ใช้วิธีการซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากขึ้นกว่าครั้งแรก มีการโอนหุ้นผ่านทั้งตัวบุคคลและนิติบุคคลต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะหลายทอด บางแห่งจดทะเบียนในต่างประเทศ เพื่ออำพรางว่าหุ้นเหล่านั้นได้พ้นจากการถือครองโดยทักษิณและพจมานไปแล้ว แต่ความจริงอำนาจการตัดสินใจที่แท้จริงยังคงอยู่กับบุคคลทั้งสอง ทั้งนี้ คตส. ได้ตรวจสอบพบหลักฐานชัดเจนว่าเงินที่บุคคลต่างๆ และบริษัทต่างๆ จ่ายเป็นค่าซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ล้วนมาจากทักษิณและพจมาน อีกทั้งเมื่อบุคคลเหล่านั้นได้รับเงินปันผลจากหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ก็ได้โอนเงินเข้าบัญชีของพจมาน
   
       ขอยกตัวอย่างวิธีการซุกหุ้นชินคอร์ปฯ จำนวนหนึ่ง เริ่มจากทักษิณ จดทะเบียนบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ จำกัด ที่สิงคโปร์ในปี 2542 แล้วโอนหุ้นชินคอร์ปฯ ของตนมาพักไว้ที่บริษัทแห่งนี้ ต่อมาเดือนธันวาคม 2543 ได้โอนหุ้นจำนวน 32.9 ล้านหุ้นจากบริษัทแอมเพิลริชให้แก่นายพานทองแท้ ชินวัตร (บุตรชาย) โดยชำระเงินเพียง 1 ดอลลาร์ สรอ. แต่ทักษิณ ยังคงเป็นผู้มีอำนาจเบิกจ่ายเงินแต่เพียงผู้เดียวในบัญชีเงินฝากของแอมเพิลริชจนถึงเดือนมิถุนายน 2548
   
       อนึ่ง การซื้อหุ้นครั้งนี้นายพานทองแท้ไม่ได้เสียภาษี “ส่วนต่าง” มูลค่าหุ้นที่ซื้อจากแอมเพิลริช กับ มูลค่าหุ้นตัวเดียวกันนี้ในตลาดหลักทรัพย์ในขณะนั้น เมื่อเรื่องนี้ถูก คตส. เปิดเผยออกมาอีกครั้งหนึ่ง ทางกรมสรรพากรจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเรียกเก็บภาษี แต่ต่อมาข้าราชการลิ่วล้อของทักษิณได้ถอนฟ้องคดีนี้
   
       การใช้อำนาจของทักษิณออกมาตรการต่างๆ เพื่อผ่องถ่ายผลประโยชน์จากรัฐสู่ บมจ.ชินคอร์ปฯ รวม 5 กรณี ดังนี้
   
        (1) ออกกฎหมายเปลี่ยนจากค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม
   
       บริษัทเอไอเอส เป็นบริษัทในเครือชินคอร์ปฯ เดิมต้องจ่ายค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัททีโอที จำกัด มหาชน) เป็นเวลา 25 ปี โดยมีการปรับเพิ่มค่าสัมปทานทุกๆ 5 ปี ร้อยละ 15-20-25-30 ตามลำดับ อายุสัญญา 25 ปี (2533-2558)
   
       ในปี 2547 ทักษิณ ด้วยความร่วมมือของนายแพทย์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.กระทรวงไอซีที ได้ออกกฎหมาย ลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 50 เหลือร้อยละ10 และมีมติ ครม. ให้บริษัทโทรศัพท์มือถือแปลงค่าสัมปทานมาเป็นภาษีสรรพสามิตในอัตราร้อยละ 10 แถมยังอนุมัติให้บริษัทโทรศัพท์มือถือนำภาษีสรรพสามิตที่จ่ายให้รัฐไปหักออกจากค่าสัมปทานได้ ปี 2547 เป็นปีที่บริษัทเอไอเอส ต้องชำระค่าสัมปทานให้แก่ ทศท.ในอัตราร้อยละ 25 จึงเท่ากับว่าบริษัท เอไอเอส จ่ายค่าตอบแทนให้ภาครัฐจากร้อยละ 25 ลดลงเหลือร้อยละ 10
   
       ทั้งนี้นายสิทธิชัย โภคัยอุดม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที (รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์) เบิกความต่อศาลว่า การลดภาษีสรรพสามิตทำให้รัฐขาดรายได้จากภาษีสรรพสามิตทั้งระบบเป็นเงิน 60,000 ล้านบาท
   
       (2) แก้ไขสัญญาปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์มือถือแบบจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ บริษัทเอไอเอส
   
       เดิมบริษัท เอไอเอส ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบจ่ายรายเดือนเพียงแบบเดียว โดยจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ ทศท. ในอัตราขั้นบันไดทุกๆ 5 ปี ร้อยละ 15-20-25-30 ตามลำดับ ในปี 2542 บริษัท เอไอเอส ได้เพิ่มวิธีการจ่ายอีกแบบ คือจ่ายเงินล่วงหน้าหรือบัตรเติมเงิน โดยต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้ ทศท. แบบเดียวกับจ่ายรายเดือน ต่อมาทักษิณ บีบให้ทาง ทศท. ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้แบบจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ เอไอเอส ในอัตราคงที่ร้อยละ 20 ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2544
   
       เมื่อคำนวณไปถึงปีที่สิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2558 รวม 14 ปี ทศท. สูญเสียรายได้จากการปรับลดส่วนแบ่งรายได้ดังกล่าวเป็นเงินนับแสนล้านบาท
   
       (3) กรณีแก้ไขสัญญาให้บริษัทเอไอเอสใช้เครือข่ายร่วม และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ ตลอดจนปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม
   
       บริษัทดิจิตอลโฟน หรือ ดีพีซี ซึ่งเอไอเอส เป็นผู้ถือหุ้นเกือบ 100% ดังนั้น ดีพีซีและเอไอเอสจึงถือเป็นบริษัทเดียวกันได้ ดีพีซีได้รับสัมปทานโทรศัพท์มือถือจาก การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ในปี 2545 เอไอเอส จัดให้ลูกค้าที่เพิ่มขึ้นมากมายไปใช้เครือข่ายของบริษัท ดีพีซี และให้ ทศท. แก้ไขสัญญายินยอมให้เอไอเอสนำค่าเช่าเครือข่ายที่จ่ายให้ ดีพีซี มาหักออกจากรายรับของ AIS ก่อนจ่ายส่วนแบ่งรายได้สัมปทานให้แก่ ทศท. ซึ่งเป็นการปัดภาระค่าใช้จ่ายให้กับ ทศท. ทำให้ ทศท. สูญรายได้ราว 6,960 ล้านบาท (10/ 2545 - 4/ 2551)
   
       (4) แก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมของบริษัทไทยคมในเครือชินคอร์ปฯ
   
       บริษัทชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในเครือชินคอร์ปฯ ได้สัมปทานดาวเทียมเมื่อปี 2534 สัญญาสัมปทานกำหนดให้ส่งดาวเทียมไทยคม 3 เป็นดาวเทียมหลัก และส่งดาวเทียมไทยคม 4 เป็นดาวเทียมสำรอง (กรณีไทยคม 3 ขัดข้อง) ชินแซทฯ ไม่ส่งไทยคม 4 ตามสัญญา กลับส่งดาวเทียมไอพีสตาร์ เพื่อรองรับบริการอินเตอร์เนตระหว่างประเทศและใช้เทคโนโลยีต่างจากไทยคม 3 ดังนั้นไอพีสตาร์จึงถือเป็นดาวเทียมที่มีคุณสมบัติผิดจากสัญญาสัมปทานเดิม ควรจะต้องเปิดประมูลแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น แต่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รมว.กระทรวงคมนาคม (รัฐบาลพรรคทักษิณ) อนุมัติให้ตามที่บริษัทชินแซทฯ ขอมาอย่างรวบรัดเร่งรีบผิดปกติวิสัย ทำให้รัฐเสียรายรับที่ควรจะได้ราว 1.6 หมื่นล้านบาท
   
       นอกจากนี้ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.กระทรวงไอซีที (รัฐบาลทักษิณ) ได้อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัทชินแซทฯ เพื่อกระจายความเสี่ยงไปให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย ตลอดจนอนุมัติให้ชินแซทฯ ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัยดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์ สรอ.ไปจ่ายเป็นค่าเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เงินค่าสินไหมทดแทนนี้ควรส่งมอบแก่รัฐทั้งก้อน
   
       (5) อนุมัติให้รัฐบาลพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เพื่อซื้อสินค้าและบริการของบริษัทชินแซทฯ
   
       ในปี 2546 ทักษิณ ได้บีบให้ EXIM Bank ปล่อยเงินกู้แก่พม่า 4,000 ล้านบาท โดยคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 3 แต่ EXIM Bank เองต้องไปกู้เงินจากธนาคารออมสินเสียดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี รัฐบาลต้องนำงบประมาณจำนวนหนึ่งมาชดเชยให้กับ EXIM Bank และพม่าได้นำเงินราว 600 ล้านบาทมาซื้อสินค้าและบริการจากบริษัท ชินแซทฯ
   
       วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ได้มีคำพิพากษายึดทรัพย์ของทักษิณ จำนวน 46,300 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ทั้งๆ ที่การใช้มาตรการทั้ง 5 กรณีสร้างความเสียหายแก่ภาครัฐไม่ต่ำกว่า 170,000 ล้านบาท นับว่าศาลให้ความเมตตาสูงมาก แต่ก็นั่นแหละ...ความเมตตาที่ยื่นให้แก่โจรปล้นชาติไม่อาจช่วยให้สำนึกผิด โจรกลับใช้เงินที่ได้รับคืน 30,300 ล้านบาทมาทำร้ายประเทศในเวลาต่อมา
   
       ความรวยของทักษิณมาจากการปล้นชาติ
   
       ในโลกนี้หากใครครอบครองทรัพย์สินไว้มากมาย ก็จะมีเหลือไว้ให้คนอื่นน้อยนิด นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ยังมีคนจนจำนวนมากอยู่ในสังคมไทยและสังคมโลกที่สาม และเป็นเหตุผลที่รองรับการเป็นรัฐสวัสดิการของกลุ่มประเทศในสแกนดิเนเวีย คือเก็บภาษีอย่างหนักจากคนรวยเพื่อจัดสวัสดิการให้คนที่เหลือ ไม่ให้มีคนจน ให้มีแต่คนชั้นกลางคือคนที่พออยู่พอกิน
   
       การครอบครองทรัพย์สินมหาศาลจากการปล้นชาติของทักษิณและครอบครัว คือสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้จำนวนคนจนในไทยไม่ลดลง ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลของทักษิณมาจากไหนกันเล่า?
   
       เมื่อตอนที่ทักษิณเริ่มเข้ามาเล่นการเมืองในปี 2537 ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินของครอบครัวว่ามีเพียงไม่กี่พันล้านบาท แต่ภายในเวลาเพียง 6 ปี ที่ทักษิณอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทรัพย์สินของครอบครัวและญาติสนิทเพิ่มขึ้นเป็นหลายแสนล้านบาท ทั้งนี้เพราะเขาใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโกงชาติทุกรูปแบบรวมทั้งหลบเลี่ยงไม่จ่ายภาษี ทั้งๆ ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ควรทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี จึงไม่น่าชื่นชมที่ทักษิณร่ำรวยเพราะโกงชาติกินเมือง!!
   
       ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติ ผืนแผ่นดิน และดินฟ้าอากาศ อันอุดมสมบูรณ์ ถ้าทำมาหากินโดยสุจริตและเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย คนไทยทุกคนจะไม่มีวันอดตาย ปัญหาความยากจนเกิดจากคนจนดูถูกตนเอง ยอมขายคะแนนเสียงของตนให้นักการเมืองชั่ว ซึ่งเท่ากับปิดกั้นคนดีที่ตั้งใจจะเข้ามาแก้ปัญหาปากท้องของคนจน ไม่ให้เข้าสู่สนามเลือกตั้ง ในยุคที่คนเห็นแก่เงิน ไม่เห็นแก่คุณธรรม คนดีที่ไม่ยอมทำผิดกฎหมายเลือกตั้งย่อมไม่มีวันชนะเลือกตั้ง ดังนั้นคนในพื้นที่ไหนมีการขายเสียงอย่างแพร่หลาย ย่อมไม่มีคนดีลงสมัครรับเลือกตั้ง
   
       ทักษิณซื้อคนกลุ่มไหนและซื้ออย่างไร
   
       ทักษิณเรียนรู้วิธีการใช้เงินซื้อคนตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจสัมปทานจากรัฐ และเมื่อฝันที่จะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน จึงเข้าสู่การเมืองโดยสร้างภาพว่า “ร่ำรวยแล้ว ต้องการช่วยชาติ” เริ่มจากการแจกโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้นักข่าว เวลาไปเยี่ยมสถานทูตและหน่วยงานในต่างประเทศ จะมอบเงินส่วนตัวเพื่อให้เป็นสวัสดิการข้าราชการ เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกก็อนุมัติเงินจากกองสลากไปจ่ายให้สถานีตำรวจทุกแห่งเป็นประจำทุกเดือน จากนั้นปรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการให้สูงขึ้น มีระบบโบนัสสิ้นปี รวมถึงครูอาจารย์มีเงินตำแหน่งวิชาการ ตำแหน่งบริหาร เงินทุนวิจัย ฯลฯ ทักษิณใช้วิธีนี้ปิดปากข้าราชการทั่วๆ ไปอย่างได้ผล
   
       ทักษิณเป็นคนเชื่อมั่นใน “อิทธิฤทธิ์แห่งเงินตรา” ภายหลังเมื่อหนีโทษจำคุกไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ปลายปี 2551 ทักษิณใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อนงานการเมืองในประเทศอย่างไม่ติดขัด เสมือนหนึ่งตัวทักษิณเองอยู่ในประเทศ การจ่ายเงินซื้อคนที่จะรับใช้ตน ทักษิณต้องได้รับการตอบแทนเกินคุ้ม
   
       ในการตั้งพรรคไทยรักไทย ทักษิณโกหกว่าจะเป็นพรรคของนักการเมืองน้ำดี แต่งตั้งนายคณิต ณ นคร เป็นประธานคัดเลือกผู้สมัครลงเลือกตั้ง ส.ส. แต่ในไม่ช้าทักษิณกลับรับนายเสนาะ เทียนทอง และกลุ่มวังน้ำเย็นเข้าพรรค ในขณะที่นายเสนาะกำลังถูกสื่อแฉว่าโกงที่ดินของวัดธรรมิการาม แบ่งที่ดินส่วนหนึ่งสร้างบ้านขาย อีกส่วนหนึ่งเป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์ เมื่อถูกโจมตีอย่างหนักจนกระทบต่อธุรกิจชิ้นนี้ ทักษิณรีบยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยรับซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์จากนายเสนาะ กลายเป็นบุญคุณที่ต้องชดใช้เสนาะ เทียนทอง เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตรทันที และแต่งตั้ง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทักษิณใช้เงินซื้อพรรคความหวังใหม่ของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ และพรรคชาติพัฒนา เพื่อให้ ส.ส.ที่ขายตัวคอยยกมือโหวตผ่านกฎหมายตามแต่ที่ทักษิณต้องการ
   
       ทักษิณเคยพูดกับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ร่วมตั้งพรรคไทยรักไทยว่า “คุณจะอยู่กับผู้ชนะหรือคุณจะอยู่กับคนแก่ๆ คนหนึ่ง” นั่นเป็นเหตุที่คนผู้นี้ลาออกจากพรรคไทยรักไทยนับแต่บัดนั้น
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       ทักษิณก่อตั้ง พรรคไทยรักไทย โดยจดทะเบียน ปี 2541 วันที่ 19 กันยายน 2549 มีการรัฐประหารยึดอำนาจโดย พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน แล้วตั้งพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในเดือนพฤษภาคม 2550 ศาล รธน.มีคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทย ในข้อหาจ้างพรรคเล็กมาลงสมัครเลือกตั้งตบตา กกต. ต่อมาทักษิณซื้อพรรค พลังประชาชน ซึ่งจดทะเบียนก่อนหน้ามาเป็นพรรคของตน แต่แล้วก็ถูกศาล รธน. สั่งยุบพรรคเมื่อ 2 ธันวาคม 2551 ข้อหาทุจริตการเลือกตั้ง จ่ายเงินให้กำนัน 10 คนในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย คนละ 20,000 บาทให้ช่วยซื้อเสียง คดีนี้มีพยานบุคคลคือผู้รับเงิน ทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที จากนั้นมีการจัดตั้ง พรรคเพื่อไทย ซึ่งจดทะเบียนรอไว้ก่อนเมื่อกันยายน 2550
   
       ทักษิณถูกศาลสั่งยุบพรรคแล้วตั้งพรรคใหม่แทนถึง 2 ครั้ง ใช้พรรคถึง 3 พรรคภายในเวลาเพียง 2-3 ปี เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็เห็นแล้วว่าทักษิณเป็นคนคดในข้องอในกระดูก และแวดล้อมไปด้วยคนประเภทเดียวกันคือทุจริตไร้ความซื่อสัตย์สุจริต การเลือกคนเช่นนี้มาเป็นผู้บริหารประเทศ มีแต่สร้างความฉิบหายแก่ประเทศชาติทันตาเห็น
   
       ไม่เพียงแต่ซื้อ ส.ส. และซื้อพรรค ทักษิณยังมีทีมการตลาดชั้นยอดนำโดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ทำหน้าที่ผลิตมาตรการที่โดนใจคนรากหญ้า ซึ่งพรรคอื่นมองข้าม เรียกกันว่าประชานิยม เพื่อมุ่งดึงดูดคะแนนเสียงให้มากที่สุดในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง แต่ไม่เคยสนใจว่ามาตรการเหล่านี้จะมีผลเสียในระยะยาวหรือไม่
   
       ก. ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน แต่เดิมนักการเมืองใช้วิธีควักเงินตัวเองซื้อคะแนนเสียง แล้วค่อยถอนทุน แต่ทักษิณเป็นคนแรกที่ใช้เงินภาษีซื้อคนเสื้อแดงในรูปมาตรการประชานิยม ที่ผ่านมาทักษิณใช้เงินภาษีจ่ายไปมากมายก็ไม่ได้ทำให้ชาวเสื้อแดงมีหนี้สินลดลง หรือมีความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน จึงเป็นการผลาญเงินภาษี คนเสียภาษีย่อมไม่พอใจ คนรากหญ้าหวังแต่จะแบมือขอเงินฟรีๆ จากรัฐ ทำให้ชาวบ้านเป็นขอทานไร้ศักดิ์ศรี
   
       กองทุนประชานิยมต่างๆ เป็นการแจกเงินโต้งๆ แต่ละคนได้รับเงินมากน้อยตามลำดับชั้น หัวคะแนนได้มากกว่าชาวบ้านธรรมดา คนรากหญ้าจำนวนไม่น้อยใช้เงินจากกองทุนประชานิยมไปกับอบายมุขต่างๆ มีทั้ง เล่นหวยใต้ดิน เล่นหวยบนดินคือการออกสลากพิเศษเลข 2 ตัว 3 ตัว (ที่ทักษิณริเริ่ม แต่ถูก คตส.สอบสวนและยกเลิกในเวลาต่อมา) การพนัน กินเหล้า ใช้โทรศัพท์มือถือเกินความจำเป็น สร้างรายจ่ายก้อนโต
   
       ขณะเดียวกันก็โกหกหลอกลวงชาวบ้านทั่วไปด้วย “น้ำลาย” ผ่านวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุท้องถิ่นทั่วประเทศ 5,000 กว่าแห่ง มันเป็นวิธีการตลาดที่ได้ผลยิ่ง เสนอถูกใจ มากกว่าถูกต้อง
   
        การซื้อคะแนนเสียง ระบอบทักษิณทำได้ทุกโอกาส ยกตัวอย่าง การเยียวยาประชาชนที่ถูกน้ำท่วมในปี 2554 นอกจากจ่ายครัวเรือนละ 5,000 บาทแล้ว ยังมีการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายพิเศษครัวเรือนละ 0 - 30,000 บาทโดยไม่เกี่ยวกับความเสียหายที่เป็นจริง ถ้าเป็นหัวคะแนนพรรคของทักษิณ จะได้เงิน 30,000 บาทเต็มๆ ถ้าไม่ใช่ฐานคะแนนจะไม่ได้เลยหรือได้เพียงเล็กน้อย เป็นการใช้เหตุการณ์นี้ใช้เงินภาษีแจกซื้อเสียงล่วงหน้ารอดสายตา กกต. นั่นเอง
   
        อีกสักตัวอย่าง เหตุการณ์ที่เสื้อแดง นปช. เผาบ้านเผาเมืองที่แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ รวมทั้งศาลากลางจังหวัดหลายแห่ง ในปี 2553 สร้างความเสียหายแก่ภาครัฐและเอกชนนับหมื่นล้านบาท มีกองกำลัง “ชายชุดดำ” พร้อมอาวุธสงครามที่แกนนำ นปช. ประกาศบนเวทีว่าอยู่ข้างเดียวกัน มาช่วย นปช. ยิงต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล มีคนตายทั้งสองฝ่ายราว 90 ศพ
   
       ต่อมารัฐบาลพรรคของทักษิณกลับอนุมัติเงิน 2 พันล้าน เพื่อแจกให้คนเสื้อแดงที่เสียชีวิตคนละ 7.75 ล้านบาท ราวกับว่าคนเหล่านี้ทำความดีความชอบต่อแผ่นดินยิ่งกว่าทหารและตำรวจที่ตายในขณะปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งได้รับการตอบแทนเพียง “ธงชาติ” คลุมหีบศพเท่านั้น! 
   
        การแจกเงินครั้งนี้ โดยเจตนาแล้วจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้เงินภาษี “ซื้อใจ” คนเสื้อแดงที่ยังตัวเป็นๆ ให้มาเสี่ยงติดคุกติดตะราง เสี่ยงตายเพื่อทักษิณและยิ่งลักษณ์ ในโอกาสต่อไป
   
       รัฐบาลโกงไปแจกไปจนถังแตกแล้ว เมื่อมาตรการประชานิยมต้องม้วนเสื่อ ชาวชนบทโดยเฉพาะคนรากหญ้าก็ต้องทุกข์ยากยิ่งกว่าก่อนที่ทักษิณจะเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยหนี้สินที่พอกพูน และการทำมาหากินที่ยากลำบาก เพราะขาดการพัฒนาอย่างแท้จริง ชาวนาขณะนี้ รู้ซึ้งถึงความคดในข้อ-งอในกระดูกของระบอบทักษิณผ่านความย้อนยอกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์!
   
       ข. การซื้อคนระดับบน มีทั้งนักการเมือง องค์กรอิสระ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รวมประมาณ 900 คน อาจแบ่งเป็นกลุ่มๆ ดังนี้
   
       1. นักการเมือง (ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นำเสนอในเฟสบุคเมื่อ 5/11/56) ประธานสภา ส.ส. ประธานสภา ส.ว. รวมทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ในสังกัดพรรคของทักษิณ นอกจากเงินเดือนและค่าตอบแทนอื่นจากงบประมาณแผ่นดินแล้ว ทักษิณยังจ่ายเงินเดือนพิเศษอีกต่างหาก มี เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ทำหน้าที่ดูแล แต่ละคนได้รับคนละ 50,000 -100,000 ตามความขยันการแสดงออกในสภา หากได้รับมอบให้เสนอร่าง พ.ร.บ.ตามคำสั่งทักษิณ ก็จะได้เงินตอบแทนพิเศษอีก พวก ส.ส. จึงแย่งกันแสดงบทบาทในสภารับใช้ทักษิณอย่างสุดจิตสุดใจ
       
       นักการเมืองที่ทักษิณต้องการใช้งานพิเศษ จะให้กินตำแหน่งรัฐมนตรีโดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อตำแหน่ง แต่ให้ใช้อำนาจในตำแหน่งที่เปิดช่องให้โกงกินอย่างเต็มที่ตามความถนัดแต่ละคน ดังนั้น นายเฉลิม อยู่บำรุง ถึงกับพูดอย่างไม่มียางอายว่าเขาเป็น “ขี้ข้าทักษิณ”
   
       สำหรับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับใช้ทักษิณ แต่ไม่มีโอกาสโกงกิน จะได้รับการสมนาคุณจากทักษิณมากน้อยตามความสำคัญ ตัวอย่างเช่น นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีกระทรวงไอซีที ที่รับสนองการโกงกินของทักษิณเรื่องดาวเทียมและโทรศัพท์เคลื่อนที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ รับใช้ทักษิณกรณีสมคบกับฮุนเซนใช้คดีเขาพระวิหารโยงไปสู่กับฮุบผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทย
   
       2. บุคคลในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คดีซุกหุ้นที่หวุดหวิดจะทำให้ทักษิณต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก เป็นบทเรียนที่ทำให้ทักษิณพยายามซื้อคนในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ กกต., ป.ป.ช., ศาล รธน. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กกต. ชุดปี 2549-2556 มีข้อครหามากที่สุด (มีใครบ้างดูจากเวปไซต์ของ กกต.) ส่วนการลงมติของตุลาการศาล รธน. จะต้องทำคำวินิจฉัยส่วนตนและเปิดเผยต่อสาธารณชน คนภายนอกจะเห็นความผิดปกติของตุลาการบางคนได้ แต่ชาวบ้านก็ทำอะไรคนเช่นนั้นไม่ได้
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       3. ข้าราชการที่ค้ำจุนอำนาจทักษิณ 
   
       ทักษิณ ศรัทธาใน “ปาฏิหาริย์แห่งเงินตรา” อย่างหมดใจ เพราะมันออกฤทธิ์ให้ทักษิณเห็นกับตาแทบทุกราย ไม่เว้นแม้แต่การเปลี่ยนคนที่เคยทำร้ายเขามาทำคุณแก่เขาได้ ยกตัวอย่าง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ! 
   
       - รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผบ.สูงสุด ผบ.เหล่าทัพ ปลัดกระทรวงกลาโหม ใช้วิธีจัดสรรงบประมาณอย่างเต็มที่ให้หน่วยงานเหล่านี้ แจกเงินให้บุคคลเหล่านี้อย่างจุใจ มอบซอง (ด้วยจำนวนเงินสูงน่าตกใจ) ช่วยงานศพญาติสนิท ใน “คลิปถั่งเช่า” อันลือลั่น ทักษิณบอกกับพลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา ว่า “ผมไว้ใจไอ้ตู่มาก” นั่นคือเขาได้จัดการ “ไอ้ตู่” (พลเอกประยุทธ จันทร์โอชาผบ.กองทัพบก มีชื่อเล่นว่า “ตู่” เช่นกัน) รวมทั้ง ผบ.เหล่าทัพอื่นเรียบร้อยแล้ว
   
       - จำเพาะหัวหน้าหน่วยงานที่รับใช้ระบอบทักษิณอย่างเด่นชัด ได้แก่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว) ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง) อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ (ธาริต เพ็งดิษฐ์) และอัยการสูงสุดและพวก (นับแต่ ชัยเกษม นิติสิริ และ จุลสิงห์ วสันตสิงห์) ทักษิณเป็นผู้คัดเลือกบุคคลที่ตนวางใจให้ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ ถ้าอยู่ในตำแหน่งก่อน ก็หาโอกาสซื้อตัวอย่างเนียนๆ ด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งให้กินตำแหน่งในบอร์ดของรัฐวิสาหกิจที่มีค่าตอบแทนสูงๆ
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       - ข้าราชการระดับสูงทั่วไป ก็เปิดโอกาสให้ร่วมรับผลประโยชน์จากการทุจริตโครงการประชานิยมต่างๆ เพื่อซื้อความจงรักภักดี เอาคนเลวที่มีชะนักติดหลังมาอยู่ในตำแหน่งที่จะอำนวยความสะดวกการทุจริตของตน
   
       - ส่วนกรณี “ลืมกล่องขนม” ในศาลก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการซื้อตุลาการศาล
   
        4. รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นกระทรวงหลักที่เป็นถุงเงินให้ทักษิณได้ถลุงในการผลิตมาตรการประชานิยม จึงต้องใช้คนที่ไว้วางใจเป็นพิเศษ ทักษิณใช้งานนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาตลอด มีหน้าที่ออกมาตรการประชานิยมอย่างต่อเนื่อง โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค พักหนี้ของเกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โคล้านตัว กล้ายาง กองทุน SAL บ้านเอื้ออาทร แท็กซี่เอื้ออาทร ฯลฯ
   
       ต่อมาสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แต่งตั้งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เพื่อสนองการถลุงเงินคลังและการโกงกินที่ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” ตัวอย่างเช่น การแปรรูป ปตท. โดยจัดสรรหุ้นส่วนใหญ่ราคาถูกแก่ผู้ถือหุ้นแทน (นอร์มินี) ของทักษัณและบริวาร รวมทั้งการโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงินสมัยฟองสบู่แตก 1 ล้านล้านบาทไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ เพื่อที่จะเปิด “เพดานว่าง” ให้รัฐบาลสร้างหนี้เพิ่มเพื่อโกงกินตามโครงการป้องกันน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท และโครงการพัฒนาระบบคมนาคม 2.2 ล้านล้านบาท
   
       5. เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทั่วประเทศ, อบต., อบจ. ทักษิณไม่ต้องควักเงินตัวเอง แต่ปิดไฟเขียวให้ใช้งบประมาณแผ่นดินจ่ายแบบอีลุ่ยฉุยแฉก เช่น สร้างอาคารต่างๆ โดยไม่มีความจำเป็น การเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศโดยอ้างว่าดูงาน แต่ที่หนักกว่านั้นคือการปล่อยให้ อบต.ทั่วประเทศมีการโกงกินอย่างแพร่หลายจนสุดจะเยียวยา
   
       6. ทีมงานผลิตมาตรการประชานิยม ในช่วงที่ทักษิณเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม มีคนกลุ่มหนึ่งในอดีตเคยเข้าป่าหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เข้ามาทำงานรับใช้ทักษิณโดยผ่านการชักนำจาก อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นคนเชียงใหม่ด้วยกัน ต่อมาเกรียงกมลได้เกรียงกมล เลาหไพโรจน์ ถอนตัวไป พวกที่เหลือมีตัวหลักได้แก่นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ ภูมิธรรม เวชยชัย 
   
       พวกนี้รู้จุดอ่อนและนำจุดอ่อนของชาวชนบทมาใช้ประโยชน์หาคะแนนนิยมการเลือกตั้งอย่างได้ผล จุดอ่อนคือ หากได้รับความช่วยเหลือในยามยากลำบาก เช่น ให้หยิบยืมเงินทองโดยไม่ขูดรีดดอกเบี้ย หรือให้การรักษาเยียวยายามเจ็บไข้ได้ป่วย คนชนบทมักจะไม่ลืมบุญคุณคนที่ช่วยเหลือ และตอบแทนบุญคุณตามแต่ผู้ให้ความช่วยเหลือจะเรียกร้อง
   
       เนื่องจากถูกทอดทิ้งจากนักการเมืองมาทุกยุค เมื่อทักษิณใช้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค มาหาเสียง เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ได้คะแนนถล่มทลาย ทั้งๆ ที่โครงการนี้ริเริ่มและอยู่ในระหว่างศึกษารายละเอียดสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย แต่ทักษิณเร่งประกาศใช้โดยที่ยังไม่ประเมินความพร้อม ทำไปแก้ปัญหาไป
   
       ทักษิณกับทีมงานกลุ่มนี้ร่วมมือกันเพราะต่างสมประโยชน์ ทักษิณตะคลุบโครงการนี้มาทำเพราะเห็นโอกาสทองที่จะได้คะนนเสียง ส่วนทีมงานก็เป็นกลุ่มอดีตนักศึกษาเข้าป่า แรกๆ ที่มาช่วยทำงานให้ทักษิณก็คงอยากเห็นสิ่งที่ฝันค้างสมัยอยู่ป่ากลายเป็นจริง แต่ภายหลังก็แปลงอุดมคติเป็นผลประโยชน์ส่วนตน เพราะติดเชื้อชั่วจากทักษิณจนถอนตัวไม่ได้
   
       เชื้อชั่วของทักษิณแรงมาก ใครติดเชื้อนี้แล้วมักจะไม่รอด!!...ระวังตัวให้ดีนะ!
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       7. นักวิชาการที่ไร้สัจจะทางวิชาการ เมื่อกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ออกมาต่อต้านระบอบทักษิณตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา สิ่งที่สร้างความรำคาญดุจเสี้ยนตำฝ่าเท้า ได้แก่ นักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่ออกมา “รังควาน” ให้ร้ายกลุ่ม พธม. และกลุ่มอื่นๆ ที่ต่อต้านระบอบทักษิณ ดุจดัง “รังควาน” ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2552 ระบุว่าเป็นผีตายร้ายที่สิงอยู่ในกายคนได้
   
       แบ่งนักวิชาการกลุ่มนี้เป็น 2 พวก พวกหนึ่งมีความสับสนทางความคิด หรือถูกผู้ที่ตนเลื่อมใสหลอกใช้เป็นเครื่องมือ พวกที่สองได้รับผลประโยชน์จากระบอบทักษิณในทางใดทางหนึ่ง เช่น เงินที่โอนเข้าบัญชีเงินฝากอย่างเงียบๆ ได้รับเงินทุนที่อ้างการทำวิจัยบังหน้าจากแหล่งเงินบางแห่ง (เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะ, สสส. และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น) และรับแจกตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจต่างๆ เป็นต้น กลุ่มที่สองนี้เป็นพวกเปรตโดยแท้ ทั้งสองพวกกฎหมายลงโทษไม่ได้ กฎของสังคมลงโทษไม่ได้ ต้องรอให้กฎแห่งกรรมตามสนอง
   
       นักวิชาการพวกนี้เดิมใช้ชื่อกลุ่มสันติประชาธรรม ทำหน้าที่สนับสนุนทางวิชาการอย่างบิดเบี้ยวเพื่อค้ำจุนระบอบทักษิณ นักวิชาการกลุ่มนี้จับมือกันเหนียวแน่น ทำงานอย่างเป็นระบบ มีการแจกบทบาทหน้าที่อย่างสอดประสาน หัวหน้ากลุ่มทำงานปกป้องระบอบทักษิณเป็นงานหลัก ส่วนงานประจำในฐานะอาจารย์เป็นงานรอง
   
       แรกๆ มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่นักวิชาการย่อมมีความคิดอ่านที่ต่างกัน มีพื้นความรู้ข้ามสาขาไม่เท่ากัน อาจพิจารณาปัญหาในสังคมจากพื้นความรู้ของตนเพียงด้านเดียว ทำให้มองภาพไม่รอบด้าน แต่ลุมาถึงบัดนี้ผ่านไปกว่าสิบปี น่าจะนานพอที่คนไม่รู้จะได้รู้ข้อเท็จจริง และแยกแยะได้ว่าอะไรเท็จอะไรจริง แต่จนแล้วจนรอด จอมแหกตากลุ่มนี้ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาแสดงวาทกรรมที่วิปริตไม่เปลี่ยนแปลง ใช้ประโยชน์จากเสรีภาพทางวิชาการภายในรั้วมหาวิทยาลัย โกหกหลอกลวงโดยไม่แคร์คนที่รู้ทัน
   
       หลายคนเดิมเคยแสดงความเห็นที่บริสุทธิ์ แต่เมื่อรับเชื้อชั่วของระบอบทักษิณเข้าไว้ในตัว กลับเปลี่ยนความเห็นแบบ 360 องศา พูดตรงข้ามกับที่เคยเขียนไว้โดยไม่แคร์คนที่รู้ทัน
   
       โกหกหลอกลวงแบบเดียวกับจอมลวงโลกที่แหกตาชาวเสื้อแดง...ทักษิณ ชินวัตร! 
   
       พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “คนมีปัญญา พึงวิจัยเรื่องราวตลอดสายให้ถึงต้นตอ”
   
       ในเมื่อไม่ใช่ปัญหาไม่รู้เรื่องราวตลอดสายจนถึงต้นตอ จึงเหลือข้อสันนิษฐานเพียงข้อเดียว คือจงใจแกล้งโง่ พวกเปรตขอส่วนบุญในคราบนักวิชาการจึงทำตัว...
   
       รู้ว่ามึงหลอก กูยินดีให้หลอก ...เพื่อแลกหญ้า! (สำนวนเปลว สีเงิน แห่งไทยโพสต์)
   
        นักวิชาการขี้ข้าพวกนี้ มักจะบิดเบือนในประเด็นต่อไปนี้
   
       - ใส่ความตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ว่าแกนนำ พธม. มีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง แต่ก็ไม่สามารถชี้ว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงอะไร แกนนำใช้มวลชนเข้าเสี่ยงภัยจากการปราบ แต่ไม่พูดว่ารัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามการชุมนุมด้วยสันติ อหิงสา คือทรราช ไม่ใช่รัฐบาลประชาธิปไตย ในปี 2556 ใส่ความตามเคยว่าแกนนำ กปปส. กวักมือเรียกหารัฐประหาร
   
       - ต่อต้านการทำลายระบอบทักษิณ ปฏิเสธการปฏิรูปโดยมวลมหาประชาชน บอกว่าทำไม่ได้... เพราะไม่มีในตำรา! แต่ไม่ปฏิเสธการโกงบ้านกินเมือง การครอบงำและแทรกแซงองค์กรอิสระตาม รธน. ล้มสถาบัน ขายประเทศ นักวิชาการกลุ่มนี้ไม่พูดว่า...ทำไม่ได้ ไม่มีในตำรา?!
   
       - สนับสนุนมาตรการประชานิยมของทักษิณอย่างไม่ลืมตาดูความเป็นจริง นักวิชาการกลุ่มนี้จะพูดแต่ด้านบวกตามทฤษฎี ไม่แตะเรื่องโกงกินอย่างเมามันที่ใช้มาตรการประชานิยมบังหน้า ถึงขั้นจะทำให้ประเทศฉิบหายวายวอด นักวิชาการเจ้าเล่ห์ก็หาคิดใหม่ไม่
   
       ถ้านักวิชาการกลุ่มนี้ วิจารณ์ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายมวลชนในข้อที่ผิดพลาดอย่างบริสุทธิ์ใจ คงไม่มีใครไปกระชากหน้ากากคนกลุ่มนี้ แต่ทีมุ่งด่าพวกที่ต่อต้านระบอบทักษิณ แสดงชัดว่าเลือกอยู่ข้างโจรปล้นชาติ!
       เตือนแล้วนะ... ระวังตัว...อย่าติดเชื้อชั่วของระบอบทักษิณ ติดแล้วรอดยาก! 
   
        นิธิ เอียวศรีวงศ์ ( “มวลมหาประชาชน” โดยนิธิ เอียวศรีวงศ์ และ “จิตใต้สำนึกของนิธิ เอียวศรีวงศ์” โดยสุรวิชช์ วีรวรรณ, แมเนเจอร์ออนไลน์, 9 ม.ค. 2557) ไปไกลกว่าคนอื่น ถึงกับกล่าวว่าความชั่วช้าสารเลวทั้งปวงที่ทักษิณทำลงไปเป็นเรื่องธรรมดา นิธิ บิดเบือนว่าการต่อต้านระบอบทักษิณเป็นการต่อต้านของชนชั้นกลางที่มีต่อคนจน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วการต่อต้านระบอบทักษิณพุ่งตรงที่ตัวทักษิณ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยจากการโกงชาติกินเมือง รวมทั้งปล่อยให้บริวารในระบอบทักษิณโกงกินอย่างกว้างขวาง หากปล่อยไว้ต่อไปประเทศไทยจะกลายเป็น “คนป่วยแห่งอาเซียน” ที่รักษายาก
   
       ทักษิณเลี้ยงดู “กองกำลังพิเศษติดอาวุธ” เสรีชนถูกข่มขู่คุกคาม ใครที่เป็นปรปักษ์กับทักษิณจะถูกฆ่า ตัวอย่างชัดเจน คือ เอกยุทธ อัญชันบุตร
   
       ถ้านิธิไม่เชื่อว่าเสรีชนถูกระบอบทักษิณคุกคาม พิสูจน์ง่ายมาก ลองรวบรวมความกล้าวิจารณ์ทักษิณและยิ่งลักษณ์ บนเวทีสาธารณะอย่างตรงไปตรงมาสักครั้ง แล้วนิธิจะรู้เองว่าตนจะกลายเป็น “อณู” ไปด้วย ซึ่งเป็นคำที่นิธิใช้เรียกมวลชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ ว่าเป็นคนไร้ความคิด ไร้สิ่งยึดเหนี่ยว นิธิเผยว่าเพื่อรักษาประชาธิปไตย (จอมปลอม) เอาไว้ “ต้องระวังให้มีคนตายและบาดเจ็บเท่าที่จำเป็น” เท่ากับว่านิธิสนับสนุนให้ระบอบทักษิณเข่นฆ่าประชาชนที่ไม่ก้มหัวให้กับโจรปล้นชาติ นิธิกับพวกในนามกลุ่มสันติประชาธรรมเคยออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กำลังจัดการกับกลุ่ม พธม.มาแล้ว ทั้งๆ ที่กลุ่ม พธม.ชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ พธม.ไม่เคยไปใช้ความรุนแรงกับฝ่ายเสื้อแดง มีแต่ฝ่ายเสื้อแดงรุกรานการชุมนุมและทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายหนึ่งเสมอมา
   
        นิธิ เรียกคนที่ไปชุมนุมปิดล้อมสถานที่รับสมัครเลือกตั้งเมื่อธันวาคม 2556 ว่า โจร อาชญากร อันธพาล แต่นิธิไม่เคยเรียก คนเสื้อแดงที่เผาบ้านเผาเมือง และ “ชายชุดดำ” ที่ติดอาวุธซุ่มยิงคนไม่เลือกฝ่าย ว่าเป็น โจร อาชญากร และอันธพาล
   
       นิธิประณามทหารที่นิรโทษกรรมตัวเองหลังรัฐประหารแต่ละครั้ง แต่นิธิไม่รังเกียจรัฐบาลน้องสาวทักษิณที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมล้างผิดให้ทักษิณ ซึ่งมีทั้งโกงบ้านกินเมืองและบงการให้คนอื่นทำผิดกฎหมายอาญา ล้างผิดให้อาชญากรที่เอาอาวุธสงครามมายิงคน ล้างผิดคนเผาบ้านเผาเมือง 
   
        คำโกหกของ นิธิ จึงหลอกได้แต่นักวิชาการปัญญาอ่อนให้หลงเชื่อและคล้อยตาม!
   
       นิธิ ทำตัวประดุจ มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) นักปรัชญาที่กลายเป็นสมาชิกพรรคนาซี และสนับสนุนทางวิชาการให้แก่นาซี สนับสนุนนโยบายต่อต้านชาวยิว อันนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
   
       ข้อเขียนเรื่อง “มวลมหาประชาชน” นิธิอ้างแนวคิดของ Hannah Arendt (เป็นชาวยิวเกิดในเยอรมนียุคฮิตเลอร์, 1906-1975) ตลอดเรื่อง มีเกล็ดเล่าไว้ว่า ฮันนาห์ อาเรนท์ เป็นชาวยิวที่เกิดในเยอรมนี แต่ดันไปเป็นชู้รักอย่างยาวนานกับ มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ ผู้สนับสนุนการต่อต้านชาวยิว
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       ความเจ้าเล่ห์ของนักวิชาการจอมแหกตา-อีกครั้งหนึ่ง
   
       การชุมนุมของมวลมหาประชาชน นำโดย กปปส. ในช่วงตั้งแต่ตุลาคม 2556 เป็นต้นมา มีประชาชนออกมาร่วมชุมนุมต่อเนื่อง บางวันมีจำนวนหลายล้านคน ฝ่ายมวลมหาประชาชนยืนกราน “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” นักวิชาการกลุ่มนี้ก็ออกมาสนับสนุนท่องประโยคซ้ำๆ แบบเดียวกับยิ่งลักษณ์ว่า ต้องเลือกตั้ง (ตามที่ทักษิณต้องการเท่านั้น) จึงจะเป็นประชาธิปไตย...
   
       ไม่รู้หรือว่า...การบังคับให้ประชาชนจำนวนนับล้านๆ คนไปเลือกตั้งให้ได้นั้น...ไม่มีในตำรา!
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       ในเดือนมากราคม 2557 กลุ่มนี้แปลงร่างเป็นกลุ่ม “เครือข่าย 2 เอา 2 ไม่เอา” ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2557 ก่อนที่ กปปส.จะจัดชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 4 ในวันที่ 13 มกราคม 2557 ใช้ลีลาการเขียนขึ้นต้นด้วยข้อความอุดมคติที่สวยงาม แล้วสวมกับข้อความที่ต้องการยัดเยียดใส่หัวคนที่รู้ไม่เท่าทัน มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของ กปปส.ที่นำมวลมหาประชาชนออกมาต่อสู้กับระบอบทักษิณ แต่มีคนรู้ทันออกมาตอบโต้ (สมบัติ กุสุมาวลี คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นิด้า, แมเนเจอร์ออนไลน์, 13 ม.ค. 2557)
   
       เนื้อความทั้งหมดในแถลงการณ์สรุปสั้นที่สุดได้ดังนี้
   
       1. ไม่เอา: รัฐประหาร 2. ไม่เอา: การใช้ความรุนแรง
       3. เอา: การเลือกตั้ง 4. เอา: การปฏิรูป
   
       ต้องยอมรับว่าข้อความในแถลงการณ์ใช้ถ้อยคำที่สวยงาม หากอ่านบนยอดเขาหิมาลัยซึ่งห่างไกลจากสังคมไทย ฟังแล้วต้องเลื่อมใสน่าชื่นชมยินดี เพราะได้ผ่านการคัดสรรถ้อยคำอย่างถี่ถ้วนจากนักวิชาการระดับดอกเตอร์จำนวนมาก แม้แต่คนที่ (แน่นอน...มีความรู้) มีประสบการณ์มามากบางคนก็ยัง “หลงลมปาก” กลุ่มนักวิชาการเจ้าเล่ห์กลุ่มนี้ โดยลงชื่อสนับสนุนแถลงการณ์ฉบับนี้ แถมยังมานั่งโต๊ะช่วยอ่านแถลงการณ์ให้ด้วย...
   
       แต่เราอยู่ในสังคมที่มีเหตุอาเพศจากระบอบทักษิณมานานกว่า 10 ปี จึงต้องแสดงความเสียใจกับนักวิชาการบางคนที่ถูกหลอกเพราะอาศัยความใสซื่อบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งยัง “ไม่รู้เช่นเห็นชาติ” กลุ่มนักวิชาการที่รับใช้ระบอบทักษิณกลุ่มนี้
   
       สมุนบริวารในระบอบทักษิณต่างติดโรคทักษิณคือโกหกมดเท็จ แยกดีแยกชั่วไม่ออก ท่องอยู่คำเดียวต้องเป็น “กลาง” พฤติกรรมของนักวิชาการกลุ่มนี้จึงเป็นของจริง ที่ต้องแยกให้ออกจากคำโฆษณาชวนเชื่อในแถลงการณ์ ซึ่งแม้จะเขียนได้สวยงาม แต่ก็ไร้สัจจะ เพราะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดกับสังคมไทยในห้วงขณะที่เผยแพร่แถลงการณ์นี้ มาดูกันทีละข้อ…
   
       1. ไม่เอารัฐประหาร บริวารของทักษิณรวมทั้งนักวิชาการกลุ่มนี้มักชูประเด็นนี้ แต่ไม่เคยเอ่ยความจริงว่าตัวทักษิณเคยกราบตีนหัวหน้ารัฐประหาร รสช. พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ที่อนุมัติให้ทักษิณได้สัมปทานดาวเทียมไทยคม!
   
       2. ไม่เอาการใช้ความรุนแรง รัฐบาลระบอบทักษิณใช้ความรุนแรงต่อประชาชนตลอดมา เช่น การปราบปรามยาเสพติด การทำลายชีวิตพี่น้องมุสลิมภาคใต้ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากนโยบายของทักษิณ เป็นต้น กล่าวจำเพาะมวลชนที่ออกมาต่อต้าน มีการใช้ตำรวจยิงแก๊ซน้ำตาอย่างเมามัน รวมทั้ง
   
        - ใช้คนร้ายยิงเอ็ม 79 และโยนลูกระเบิดใส่ผู้ชุมนุม บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากปี 2551
   
        - เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2553
   
        - ไล่ทุบตีรถยนต์นายก/รองนายกฯ เมื่อปี 2553
   
        - ใช้กำลังมวลชนเข้าล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยาปี 2553
   
        - ใช้ “ชายชุดดำ” ออกมาเข่นฆ่าผู้ชุมนุมและทหารในปี 2553
   
        - ยกพวกไปกรีดเลือด แล้วเอาเลือดไปทาหน้าบ้านของคนอื่น
   
        - ล้อมปราบนักศึกษา ที่ ม.รามคำแหง ปลายปี 2556
   
        - นปช.เสื้อแดง ไล่ทุบไล่ตีประชาชนกลุ่มอื่นที่มีความเห็นไม่ตรงกับตน ทั้งที่ เชียงใหม่ อุดรธานี ปทุมธานี ฯลฯ
   
       กลุ่มนักวิชาการเจ้าเล่ห์นี้มุดหัวปิดปากเงียบในเวลาที่รัฐบาลระบอบทักษิณใช้ความรุนแรงต่อผู้ประท้วงที่ปราศจากอาวุธ แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายประชาชนที่ไม่สยบยอมต่อระบอบทักษิณ
   
        3. เอาการเลือกตั้ง สมบัติ กุสุมาวลี ตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มนี้มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือ ความชอบธรรมของกลุ่ม กปปส. ที่ขัดขวางการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557 โดยวิธี “ตัดตอน” ไม่ดูถึงสาเหตุที่กลุ่ม กปปส. และมวลมหาประชาชน ปฏิเสธการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.2557 กลุ่มนี้ท่องประโยคเดียวกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนยันให้มีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557 โดยไม่สนใจว่าจะเกิดความขัดแย้งรุนแรงอย่างไร หลักฐานชัดเจนคือข้อความจั่วหัวในโปสเตอร์ที่กลุ่มนี้นำออกแปะโฆษณา นั่นคือ “อย่าให้ใครแย่งสิทธิของเราไป 2 กุมภาต้องมีเลือกตั้ง” 
   
        4. เอาการปฏิรูป กลุ่มนี้โจมตีว่า การปฏิรูปโดย “สภาประชาชนอภิวัฒน์” จากการริเริ่มของ กปปส. และมวลมหาประชาชน ไม่สามารถประกันได้ว่าจะทำให้ระบบการเมืองตอบสนองต่อประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้จริง ยืนกรานว่าการปฏิรูปต้องผ่านรัฐสภาและรัฐบาลเท่านั้น โดย “ตัดตอน” ไม่รับรู้ความฉ้อฉลชั่วร้ายของ “รัฐสภาทาสของทักษิณ” กับ “รัฐบาลหุ่นเชิด” เช่นเคย
   
        โจมตี กปปส. เสร็จ...ก็เสนอตัวเองด้วย “การประดิษฐ์คำเท่ๆ ที่กลุ่มนี้ถนัดเหลือเกิน” นั่นคือ “การจัดเวทีพลเมืองปฏิรูปประเทศไทย (Civic Reform Forum) เพื่อสร้างบทสนทนาเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ประชาชนมีส่วนร่วม”
   
        เมื่ออ่านแถลงการณ์ทั้งหมดควบคู่กับพฤติกรรมหลักของกลุ่มนี้ สมบัติ กุสุมาวลี จึงแนะนำว่า ต่อไปนี้ไม่ต้องอำพรางตัวแล้ว เปิดหน้ากากใช้ชื่อกลุ่ม “โฆษกระบอบทักษิณสายวิชาการ” ดีกว่าไหม?!
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
      
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       ในฐานะนักวิชาการที่มีชีวิตอยู่ในยุคมืด...ยุคระบอบทักษิณ 
   
       ควรสนับสนุนกลุ่มคนที่กล้าลุกขึ้นต่อต้านระบอบการเมืองที่ปล้นชาติทำลายแผ่นดิน ...ไม่ใช่ยื้อยุดปกปักษ์ระบบเน่าหนอนชอนไชเอาไว้ 
   
       ต้องช่วยกันขจัดนักการเมืองน้ำเน่าตกยุค เป็นกาฝากสังคมประเทศมาหลายสิบปี ...ไม่ใช่วางบทบาทตนเองต่อต้านมวลชนที่ลุกฮือ 
   
       ควรใช้ความรู้ทางวิชาการเพื่อสนับสนุนสังคมให้ก้าวเดินไปข้างหน้า...ไม่ใช่หน่วงเหนี่ยวให้สยบยอมต่อพวกโจรปล้นชาติไปตลอด 
   
       เลิกป้ายสีแกนนำมวลชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ เลิกทู่ซี้ฝากความหวังไว้กับโจรการเมือง รู้จักลดอัตตาและ “เคารพ” สติปัญญาการตื่นรู้ของคนในวงการอื่นๆ บ้าง ไม่ว่าจะเป็นศาล องค์กรตรวจสอบอิสระ สมาชิกวุฒิสภาที่อิสระจากทักษิณ นักการสื่อสารอิสระ มวลชนที่อิสระจากมาตรการประชานิยม นักธุรกิจอิสระ ฯลฯ ต่างมองเห็นว่าระบอบทักษิณเป็นปฏิกูลสร้างความเน่าเหม็นให้ประเทศชาติ 
   
       หากนักวิชาการพวกนี้ยังตาบอดมืดมัว หรือสลัดผลตอบแทนเฉพาะตัวไม่ได้ ...ก็ได้แต่สังเวชใจ!!! 
   
       วิธีการหาเงินมาซื้อคน
   
        การยึดกุมอำนาจการเมืองของทักษิณ จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลเพื่อซื้อคนแลกกับการรับใช้ทักษิณ ความจงรักภักดี หรืออย่างน้อยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่นำเรื่องทักษิณโกงมาแฉต่อสาธารณะ
   
       เมื่อพูดว่าทักษิณซื้อคน จะมีคนเสื้อแดงโต้ว่าทักษิณเอาเงินเยอะแยะจากไหนมาซื้อ ขอให้พวกที่เป็นเหยื่อแห่งการโกหกหลอกลวงของทักษิณ จงใช้สติปัญญาพิจารณา การหาเงินสำหรับซื้อคนมีหลายวิธี ได้แก่
   
       (1) เปิดไฟเขียวให้ลิ่วล้อได้โกงกินโครงการประชานิยมทุกโครงการ ยกตัวอย่าง โครงการรับจำนำข้าว เงินที่ขาดทุนราว 400,000 ล้านบาท ทักษิณ (ผ่านหุ่นเชิด/ร่างทรง ยิ่งลักษณ์) ให้ลิ่วล้อและผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายฉกฉวยเข้ากระเป๋าร่วม 300,000 ล้านบาท! สุดท้ายเงินขาดทุนก้อนโตนี้ก็ตกเป็นภาระของผู้เสียภาษี
   
       ใครๆ ก็รู้ว่าทักษิณและพจมาน เป็นคนขี้ตืด ไม่ยอมควักเงินในกระเป๋าตนเองง่ายๆ เพื่อซื้อคน จะใช้เงินตนเองก็ต่อเมื่อไม่มีหนทางอื่นแล้ว (ซื้อคนที่ไม่สามารถโกงกินจากตำแหน่ง) โดยทั่วไปจะซื้อคนด้วยทรัพย์สินของสังคมส่วนรวม วิธีนี้ทักษิณถนัดมาก เพียงแต่มองหาว่าทรัพย์สินของส่วนรวมอยู่ตรงไหน แล้วใช้อำนาจของตน “ไขกุญแจ” เปิดประตูให้สมุนบริวารเข้าไปตักตวงอย่างสะดวก
   
       (2) รีดไถเงินใต้โต๊ะจากผู้รับเหมาโครงการต่างๆ ของรัฐบาล นักธุรกิจที่รับงานโครงการต่างๆ จากภาครัฐจะต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ 20-30% ให้ พจมาน ชินวัตร ต่อมาทักษิณโอนหน้าที่นี้ให้ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (เจ๊แดง) น้องสาวของตน ทำหน้าที่เก็บเงินใต้โต๊ะจากผู้รับงานโครงการ 30-40% เพื่อใช้เงินส่วนนี้ซื้อคนในกลุ่มต่างๆ มาเป็น “ทาส” รับใช้ทักษิณ
   
       ธีรยุทธ บุญมี กล่าวถึงการโกงกินโครงการก่อสร้างแบบบูรณาการของระบอบทักษิณว่า แบ่งเป็นต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ผู้ที่ชนะการประมูลจะต้องจ่ายเงินให้ต้นน้ำ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ 20-30% จ่ายให้กลางน้ำ (นักการเมืองและเจ้าหน้าที่) ระดับภูมิภาค 10% จ่ายให้ปลายน้ำ 10% งานก่อสร้างที่ชาวบ้านมองเห็นจึงเหลือเดนไร้คุณภาพ เปรียบเหมือนขยะที่โล๊ะขายให้ “ซาเล้ง”
   
       (3) ซื้อคนด้วยการให้อยู่ในบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่มีค่าเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนสูงๆ นอกจากนี้ ทักษิณยังส่งลิ่วล้อเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในรัฐวิสาหกิจที่เป็นเป้าหมาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทักษิณและบริวารเข้าไปตักตวงผลประโยชน์ ในบรรดารัฐวิสาหกิจ 75 แห่ง มีอยู่ 12-15 แห่งที่อยู่ในเป้าหมาย ผลประโยชน์อันดับหนึ่งคือ ปตท. และบริษัทลูก ตามมาด้วย ธนาคารกรุงไทย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. การบินไทย ท่าอากาศยานไทย การรถไฟ การท่าเรือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า ตามลำดับ อันดับความสำคัญอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการโกงกินหรือการเอื้อประโยชน์ตามที่ทักษิณต้องการ
   
       (4) การขายตำแหน่งรัฐมนตรีให้แก่นักธุรกิจกระเป๋าหนักที่เข้ามากินตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
   
        (5) ทุจริตคอร์รัปชันเชิงนโยบาย มีการใช้อำนาจและการแก้กฎหมายและกฎระเบียบเพื่อให้เอื้อต่อการได้ประโยชน์ ตัวอย่างการทุจริตเชิงนโยบายที่เด่นชัด คือ รายละเอียดในคดียึดทรัพย์ 46.3 พันล้านบาท และการขายหุ้น ปตท.
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       การขายหุ้น ปตท. เป็นกรณีหนึ่งของการทุจริตคอร์รัปชันเชิงนโยบาย เพื่อผ่องถ่ายผลประโยชน์ของชาติไปสู่กระเป๋าตนเองและบริวาร การทุจริตเชิงนโยบายหลายกรณีทำให้รัฐมีรายได้ลดลงจากเดิมที่ได้รับเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ทักษิณอยากได้เงินหลวงไปถลุงโกงกินไม่ขาดมือ ก็ต้องมองหาช่องทางไปเรื่อยๆ รวมทั้งการสร้างโครงการกู้เงินป้องกันน้ำท่วม และโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูง
   
       รัฐวิสาหกิจที่มีทรัพย์สินมากก็เป็นเหยื่อชิ้นโตของทักษิณ แต่เพื่ออำพรางเป้าหมาย จึงทำทีเสนอนโยบายเรียกให้สวยหรูว่า “การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ” โดยอ้างว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ให้เงินมหาวิทยาลัยไปทำวิจัยและจัดสัมมนาออกความเห็นกันยกใหญ่ แต่แล้วการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ ปตท. ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นคนละเรื่องกับที่นักวิชาการเสนอไว้ ทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ ที่อยู่ในบัญชีแปรรูปต้องออกมาขวาง จึงหยุดอยู่ที่การขายหุ้น ปตท.
   
        การขายหุ้น ปตท.นำรายได้เข้ากระเป๋าทักษิณและเครือข่ายบริวารเป็นกอบเป็นกำและต่อเนื่อง ทั้งจากการขายหุ้นที่ได้รับจัดสรรออกไปในราคาที่ได้กำไรงาม และการรับเงินปันผลในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีเพราะเป็นธุรกิจผูกขาด ขายน้ำมันราคาสูงในฐานะผู้ผูกขาด ทุกวันนี้ ปตท. ทำกำไรถึงปีละ 200,000 ล้านบาท!
   
       รัฐวิสาหกิจเป็นทั้งแหล่งผลประโยชน์ของทักษิณและแหล่งตอบแทนผู้ที่รับใช้ทักษิณ
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
      
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
      
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       ที่มา: รายชื่อเว็บไซต์รัฐวิสาหกิจไทย และข้อเขียน “ทำไมวงจรอุบาทว์อาจหมุนมาได้อีก” ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน
   
       จัดตั้งคนเสื้อแดงและ “ชายชุดดำ” 
   
       แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.; United Front of Democracy Against Dictatorship; UDD) แค่ชื่อกลุ่มก็โกหกตอแหลแล้ว ไม่เพียงแต่คนรากหญ้าจะสับสน คนต่างชาติพอเห็นเพียงชื่อกลุ่มก็เข้าใจว่าพวกนี้ต้องเป็นฝ่ายพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยในความหมายสากล จึง “งงงวย” เมื่อได้รับคำบอกเล่าว่าคนกลุ่มนี้ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับชื่อกลุ่ม
   
       นปช. ก่อตัวครั้งแรกในปี 2550 เพื่อต่อต้านรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และพยายามก่อกวนขับไล่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่ยุติการชุมนุมในช่วงที่ พรรคพลังประชาชน<
       b> ของทักษิณ ได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาได้รวมตัวกันอีกเพื่อต่อต้าน พธม.ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 จนเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
   
       แรกทีเดียวกลุ่มนี้มีแกนนำเพียง 3 คน ได้แก่ วีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ต่อมามีเพิ่มอีกหลายคน ได้แก่ ธิดา ถาวรเศรษฐ เหวง โตจิราการ (สองคนนี้เป็นคู่ผัวเมีย) อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ...มีการจัดตั้งและเคลื่อนไหวเลียนแบบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ทุกอย่าง ตั้งแต่ ชื่อเรียก ใส่เสื้อสี (แดง) มีมือตบ มีทีวี หนังสือพิมพ์ มีเรื่องเดียวที่ นปช. เลียนแบบ พธม. ไม่ได้ พธม.รับเงินจากคนที่มาร่วมชุมนุม แต่ นปช. ต้องจ่ายเงินให้คนเสื้อแดงที่ถูกเกณฑ์มาร่วมชุมนุม ทักษิณต้องจ่ายเงินให้แกนนำและดูแลค่าใช้จ่ายการชุมนุมทั้งหมด
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       หลังการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลโดยพรรคประชาธิปัตย์ในเดือนธันวาคม 2551 นปช.กลับมาชุมนุมเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552 ด้วยวิธีการใช้ความรุนแรงเมื่อเมษายน พ.ศ. 2552 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรง และยกกำลังทหารปิดล้อมผู้ชุมนุม จนต้องยุติการชุมนุมเมื่อ 14 เมษายน พ.ศ. 2552 ต่อมา นปช.จัดชุมนุมใหญ่ในกรุงเทพฯ อีกครั้ง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2553 จนกระทั่งถูกสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 หลังจากนั้น ยังคงมีการชุมนุมอยู่เป็นระยะต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
   
       การชุมนุมของ นปช. ที่ราชประสงค์ ในช่วง 14 มีนาคม ถึง 10 เมษายน 2553 มีการนำกองกำลัง “ชายชุดดำ” เข้ามาสนับสนุนการป่วนของ นปช. ซึ่งแกนนำได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมทราบบนเวที แสดงชัดเจนว่า นปช. กับ “ชายชุดดำ” อยู่ข้างเดียวกัน ทำให้มีการปะทะด้วยอาวุธกับทหารและมีการเสียชีวิตของทั้งสองฝ่ายราว 90 ศพ รวมทั้ง 6 ศพเสื้อแดง ที่ถูกยิงตายอย่างมีเงื่อนงำในวัดปทุมวนาราม ซึ่งรวม น.ส.กมนเกด อัคฮาด ด้วย
   
       มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า “ชายชุดดำ” นอกจากสังหารฝ่ายปราบปรามแล้ว ยังสังหารคนเสื้อแดงในที่ลับตาด้วยเพื่อเพิ่มจำนวนศพ หวังใช้เป็นประเด็นปลุกระดมคนออกมามากๆ โค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อเงินตอบแทนก้อนโตจากผู้สั่งการ 
   
       ชายชุดดำก็คือมือปืนรับจ้าง แล้วทำไมมือปืนรับจ้างในคราบ “ชายชุดดำ” จะสังหารคนเสื้อแดงบ้างไม่ได้!...ชายชุดดำมีจิตสำนึกเหนือกว่ามือปืนรับจ้างธรรมดากระนั้นหรือ?
   
       ใครช่วยออกมารับรองให้ซิ!...
   
       สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวบนเวทีชุมนุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันที่ 9 มกราคม 2557 ว่า ธาริต เพ็งดิษฐ์ เคยนำเอกสารการสอบสวนมาให้ตน ระบุว่าชายชุดดำสังหารคนเสื้อแดงด้วยกันเองตามคำสั่งแกนนำ อย่างน้อย 17 ศพ
   
       ปริศนาในคดีสังหารหมู่ 6 ศพในวัดปทุมวนารามในปี 2553 จะถูกไขข้อเท็จจริงออกมาให้โลกได้รับรู้ว่าใครคือฆาตกรอำมหิตตัวจริง! ฝ่ายทหารหรือชายชุดดำของฝ่ายเสื้อแดง ทั้งนี้เป็นคำให้การของประจักษ์พยานรายหนึ่ง ที่เป็นเหยื่อที่รอดชีวิตจากการถูกสังหารหมู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ความจริงนี้จะถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ระบอบทักษิณถูกสลาย
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร-นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด 
   
       ช่วงที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในหมู่คนเสื้อแดงจนสามารถคุมอำนาจนิติบัญญัติได้ ไม่ว่าทักษิณจะส่งใครเป็นนายกรัฐมนตรี สภาทาสรับสนองความต้องการของทักษิณได้หมดตั้งแต่ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
   
       จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่นายกรัฐมนตรีหญิงไทยคนแรกนี้ได้สร้างความผิดหวังอย่างแรงแก่บรรดาพวกสตรีนิยม ทั้งนี้เพราะยิ่งลักษณ์มิใช่ผู้ได้ตำแหน่งมาด้วยความสามารถและประสบการณ์ทางการเมืองของตนเองดังเช่นผู้นำหญิงของประเทศอื่นๆ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเพียง “ของเล่น” ที่ พี่ชายหยิบยื่นให้น้องสาว โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือการยินยอมเป็น “ร่างทรงหรือหุ่นเชิด” ของ “ผู้ประทับทรงหรือคนเชิดหุ่น” ที่หยิบยื่นตำแหน่งนี้ให้เธอ น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า เธอปัญญาอ่อน-ไอคิวต่ำเกินกว่าที่จะตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ได้มา
   
       ดังนั้น สิ่งที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยึดถือปฏิบัติ ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ “พี่ชายคิด น้องสาวทำตาม” การบริหารงานในนามนายกรัฐมนตรีนั้น แท้จริงแล้วทักษิณเป็นผู้ดำเนินการแทนทั้งหมด ตั้งแต่การวางตัวบุคคลในตำแหน่งต่างๆ ในรัฐสภาในคณะรัฐมนตรี และในหน่วยงานหลักต่างๆ ส่วนยิ่งลักษณ์ในฐานะร่างทรงของ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นเจ้าลัทธิแห่งการโกหกหลอกลวง ทักษิณได้วางแนวปฏิบัติ 3 ข้อให้ยิ่งลักษณ์ ยึดถือปฏิบัติมีดังนี้
   
       ข้อ 1 โกหกหน้าตายหล่อเลี้ยงประชาชนให้หลงเชื่อไปเรื่อยๆ ว่า พรรคเพื่อไทยจะมีมาตรการ “ประชาสินบน” ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาล และจะต้องยืนกรานดำเนินนโยบายประชาสินบนต่อไป เพื่อรักษาคะแนนนิยมเอาไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยไม่ต้องสนใจกับความเสียหายทางงบประมาณแผ่นดินและความฉิบหายอื่นๆ ตัวอย่างเช่น โกหกว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นการแก้ปัญหาความยากจนของชาวนา แต่เธอไม่เคยแยแสที่จะออกกฎหมายแก้ปัญหาความยากจนแบบยั่งยืนแม้แต่มาตราเดียว
   
       ข้อ 2 โกหกประชาชนให้หลงเชื่อซ้ำซากว่า การใช้อำนาจทางรัฐสภาเพื่อบรรลุความต้องการของ ทักษิณ เป็นเรื่องของ ส.ส.ของรัฐสภา ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เธอในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่รู้เรื่องด้วย แต่ไม่พูดความจริงว่า เธอในฐานะ “ร่างทรง” ต้องรู้อย่างแน่นอน เมื่อใดที่สภา ส.ส. จะมีการลงมติร่างกฎหมายช่วยเหลือพี่ชาย ให้หลีกเลี่ยงไม่เข้าไปลงมติด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ตนเอง “ลอยตัว” จากความรับผิดชอบทั้งมวล แต่พี่ชายเธอลืมคิดไปว่าถึงแม้จะโกหกคนเขลาได้ แต่ไม่มีใครโกหกตุลาการศาลได้ เพราะความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น
   
       ข้อ 3 ไม่ว่าผู้สื่อข่าวต่างประเทศจะถามคำถามอะไร ให้ท่องต่อหน้าผู้สื่อข่าวด้วยประโยคตายตัวว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งให้สมุนและ ส.ส. พรรคเพื่อไทยท่องใส่หูคนเสื้อแดงเสมอว่าพรรคเพื่อไทยเป็นประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ต้องแสดงบทบาทในฐานะนายกรัฐมนตรีตามระบอบประชาธิปไตยในรัฐสภา การตอบกระทู้และการชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นหน้าที่ของคนอื่น ทั้งนี้เพราะ “ทักษิณ-ผู้ประทับทรง” รู้ดีถึงความด้อยสติปัญญาของ ”ยิ่งลักษณ์-ร่างทรง” ผู้นี้ ไม่ต้องการประจานความด้อยสติปัญญาของเธอกลางที่ประชุมสภาฯ ซึ่งอาจมีการถ่ายทอดสดออกทีวี จึงให้เธอหาทางหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมประชุมสภาฯ ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ ไปปฏิบัติภารกิจในต่างจังหวัดบ้าง หรือใช้งบแผ่นดินเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ อ้างว่าไปปฏิบัติหน้าที่
   
       การบริหารประเทศโดยมีผู้ประทับทรงหรือผู้บริหารตัวจริง อยู่ในต่างประเทศ กับร่างทรงหรือผู้ทำการแทน อยู่ในประเทศ นับเป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่กรณีแรกและกรณีเดียวของโลกที่อุบัติขึ้น การบริหารประเทศแบบนี้ทักษิณมีความเชี่ยวชาญมาก เป็นการบริหารทางไกลด้วยสื่อโทรคมนาคม ผนวกกับการสั่งการตัวต่อตัวด้วยตัวทักษิณเองเป็นครั้งคราว ที่ ดูไบ ฮ่องกง พนมเปน จีน และมอนเตเนโกร
   
       ในหนึ่งปีแรกการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ทำหน้าที่คอยกระซิบบอกบทแก่ยิ่งลักษณ์ตลอดเวลา มีการแนะนำประโยคมาตรฐานให้ยิ่งลักษณ์ ใช้ตอบคำถามรายวันแก่ผู้สื่อ
       ข่าว เช่น - การแก้ปัญหานี้ต้องมีการ “บูรณาการ”... ซึ่งต้องใช้เวลาค่ะ
   
       - ปัญหานี้ต้องพิจารณาทั้ง “ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ”...
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดของทักษิณ เป็นเวลากว่า 2 ปี บริหารประเทศผิดพลาดอย่างมหันต์ซ้ำซากหลายกรณี อาทิ การขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวราว 400,000 ล้านบาท โดยชาวนายากจนและฐานะปานกลางได้ประโยชน์เพียง 100,000 ล้านบาท ส่วนอีก 300,000 ล้านบาทตกอยู่กับชาวนารวยและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ การกู้เงินป้องกันน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท การกู้เงินพัฒนาระบบคมนาคมและการขนส่ง 2.2 ล้านล้านบาท การปล่อยให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง “กระชาก” ค่าครองชีพพุ่งสูงตาม การจงใจเพิกเฉยจนทำให้ประเทศไทยไม่ได้เป็นเจ้าภาพงาน World EXPO การปล่อยปละให้ศาลโลกพิจารณาคดีเขาพระวิหาร ทั้งๆ ที่ประเทศไทยได้ลาออกจากสมาชิกภาพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 เพื่อเป็นการปูทางเบียดบังผลประโยชน์ด้านทรัพยากรพลังงานมูลค่ามหาศาลในอ่าวไทย
ระบอบทักษิณ : จุดเริ่มต้นและจุดจบ
       การลุแก่อำนาจของทักษิณ
   
       การที่ทักษิณ เครือญาติ และขี้ข้าบริวารใช้กลยุทธ์ทุกวิถีทางหลอกซื้อเสียงจากรากหญ้ามาหนุนฐานของตน 15 ล้านเสียง ทำให้ทักษิณเหิมเกริม ทำทุกอย่างที่อยากทำโดยไม่แคร์ว่าจะมีกฎหมายรองรับหรือไม่ และยังจ้างล็อบบี้ยิสต์เป่าหูสื่อมวลชนและหน่วยงานรัฐทางตะวันตกให้ช่วยส่งเสียงว่า ขอเพียงมีการเลือกตั้งก็ถือว่าเป็นประชาธิปไตย โดยไม่สนใจว่าการเลือกตั้งจะสะอาดหรือไม่ ไม่สนใจว่าเผด็จการทางรัฐสภาจะนำความหายนะมาสู่ประเทศนั้นหรือไม่
   
       แก้วสรร อติโพธิ เป็นคนแรกๆ ที่เตือนสังคมให้ระวังทักษิณดิ้นรนล้างผิดให้ตนเอง ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ได้ช่องนี้ก็ใช้ช่องอื่นดิ้นรนไม่หยุด หลังจากระดมกำลังนอกระบบมาขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์เมื่อ พฤษภาคม 2553 แล้วชนะเลือกตั้งได้น้องสาวนายใหญ่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในกลางปี 2554 แล้ว ทักษิณก็ลงมือผลักดันร่างกฎหมายต่างๆ ทั้งกฎหมายที่ตั้งชื่อว่า “ปรองดองแห่งชาติ” กับกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การผ่านร่างแก้ไข รธน. ที่มา ส.ว. (ถูกศาล รธน. ชี้ว่าไม่ชอบทั้งเนื้อหา-กระบวนการ) การผ่านร่างกฎหมายแก้ไข รธน. มาตรา 190 เพื่อสนองแผนการฮุบผลประโยชน์พลังงานเชื้อเพลิงในอ่าวไทยร่วมกับฮุนเซน (ถูกศาล รธน. ชี้ว่าไม่ชอบทั้งเนื้อหา-กระบวนการ เอื้อฝ่ายบริหารกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เมื่อ 8 ม.ค. 2557) การผ่านร่าง กฎหมายกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท
   
       ล่าสุดการผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมวาระ 3 ด้วยวิธีการแบบสภาทรราช เมื่อเวลา 4.00 น. วันที่ 1 พ.ย. 2556 (ถูกศาล รธน. ชี้ว่าไม่ชอบด้วยเนื้อหา เมื่อวันที่ ...ธ.ค. 2556) แสดงถึงการเหลิงอำนาจอย่างหนักของพรรคเพื่อไทยกับ 4 พรรคร่วมรัฐบาลถึงขั้นก้าวก่ายและลบล้างอำนาจตุลาการ และประธานสภาทั้งสองสภายังออกมาตั้งโต๊ะแถลงปฏิเสธอำนาจของศาล รธน.
   
       การแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 3 จะส่งผลต่อผู้ที่เข้าเงื่อนไขดังนี้
   
       1. ลบล้างคำพิพากษาในคดีทุจริตที่ศาลฎีกาได้ตัดสินแล้วทั้งหมด
   
       2. คดีทุจริตทั้งหมดไม่ว่าอาญาหรือยึดทรัพย์ ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการไม่ว่าอยู่ในชั้น ป.ป.ช. อัยการ ศาลฎีกาหรือหน่วยงานอื่นจะต้องยุติ ไม่มีการดำเนินคดีอีกต่อไป จะไม่มีการนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ
   
        3. ส่งผลกระทบต่อคดีคอร์รัปชันทั้งหมดที่ดำเนินการโดย ป.ป.ช., คตส. หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ไม่ว่าการทุจริตนั้นจะเกิดก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549 หรือไม่ เนื่องจากหากมีการดำเนินการโดย ป.ป.ช. คตส. หรือ คตง. ก็ถือว่าเข้าเงื่อนไขร่างมาตรา 3
   
       การผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยังส่งผลกระทบสำคัญต่อประเทศในวงกว้าง ดังนี้
   
       1. ส่งเสริมให้เกิดการทุจริตมากยิ่งขึ้น ผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งตัวการ ผู้สนับสนุน และผู้ถูกใช้ให้กระทำ หรือถูกบังคับให้ทำ จะไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ทำให้คอร์รัปชันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนไม่สามารถประมาณความสูญเสียได้
   
       2. สถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยมีความรุนแรงมากขึ้นในทุกระดับ ประเทศไทยสูญเสียงบประมาณแผ่นดินไปกับการทุจริตมากกว่า 300,000 ล้านบาทต่อปี เป็นเงินจำนวนมหาศาลที่สามารถนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้อย่างมาก การคอร์รัปชันจึงเป็นการบ่อนทำลายประเทศชาติที่ร้ายแรงที่สุด
   
       3. การล้างผิดในคดีทุจริตเป็นการทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมอย่างร้ายแรง สังคมไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่มีค่านิยมใหม่ว่าโกงแล้วไม่มีความผิด โกงแล้วได้แต่ผลดี ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล้มเหลวทางสังคมอย่างใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ไขได้
   
       4. เนื้อหาร่างมาตรา 3 ขัดแย้งและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (UNCAC 2003) ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้เมื่อ 1 มีนาคม 2554 ทำให้ไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในโลกที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับคดีคอร์รัปชันภายหลังลงนามให้สัตยาบัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียอย่างยิ่งในสายตาของประชาคมโลก
   
       จะแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างไร
   
        มาตรการประชานิยมทั้งหลายที่ทักษิณนำมาใช้ไม่มีทางแก้ปัญหาความยากจนได้ เพราะความยากจนเกิดจากเหตุปัจจัยหลายอย่าง ระบอบทักษิณไม่ได้ขจัดอุปสรรคต่างๆ ที่ส่งผลต่อการทำมาหากินของคนรากหญ้าอย่างแท้จริง รวมถึงไม่มีการยกระดับความสามารถในการทำมาหากินของชาวรากหญ้า ในทางตรงข้าม มาตรการประชานิยมกลับทำลายกระบวนการพัฒนาชนบททั้งหมดที่หลายฝ่ายเพียรสร้างสมกันมาในช่วงหลายสิบปี ทำลายการพึ่งตนเองของคนรากหญ้าซึ่งเดิมมีอยู่ระดับหนึ่ง
   
        ถึงแม้ทักษิณจะเข็นสารพัดโครงการประชานิยมเพื่อติดสินบนพวกหัวคะแนนและประชาชนมากมายขนาดไหน แต่เงินที่ได้มาง่ายก็ไปง่าย หายไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นต่างๆ อาทิ โทรศัพท์มือถือและค่าใช้บริการ มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ ของใช้ฟุ่มเฟือย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำในงานพิธีประเพณีต่างๆ (แม้แต่คนจนยังกู้เงินมาจัดงานเลี้ยงใช้เงินเป็นแสน ขาดทุนเป็นหนี้เป็นสิน) เที่ยวเตร่ การพนัน ยาเสพติด ฯลฯ โครงการสารพัดเอื้ออาทรมีแต่ทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้สินมากมาย มีคนรากหญ้าเพียงส่วนน้อยที่เก็บหอมรอมริบเงินไว้ได้
   
        การแก้ปัญหาความยากจนรวมทั้งปัญหาหลักอีกหลายด้านในสังคมไทยจะต้องแก้ด้วยการปฏิรูปประเทศไทย ต้องแก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืนและมีศักดิ์ศรี ต้องสร้างการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยทั้งรูปแบบและเนื้อหา เป็นการเมืองที่สามารถขจัดและยับยั้งความฉ้อฉลของนักกินเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องให้ผู้ประกอบอาชีพหลักๆ ในระบบเศรษฐกิจไทยมีส่วนร่วมซึ่งต้องคิดนอกกรอบ ไม่ยึดติดกับความคิดเก่าที่นักเลือกตั้ง รวมทั้งนักวิชาการขี้ข้าและนักวิชาการหอคอยงาช้างยัดเยียดมา
   
       กล่องดวงใจของทักษิณ-ผลประโยชน์พลังงานในไทย 
   
       ล่าสุดประธาน บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม ในเครือมูบาดาลา กรุ๊ป ของรัฐอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ได้ออกมายืนยันเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2557 ว่าบริษัทได้ทำสัญญาขุดเจาะแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ในอ่าวไทย ซึ่งมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากกว่า 12 ล้านบาร์เรล
   
       นายโมฮัมหมัด บิน ซาเยด อัลนาร์ยาน ประธานบริษัทมูบาดาลาฯ เป็นพี่ชายของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัลนาร์ยาน ซึ่งเป็นผู้ซื้อสโมสรฟุตบอลแมนซิตี้ จากทักษิณในราคา 10,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ทักษิณซื้อมาในราคา 5,000 ล้านบาทก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นลักษณะผลประโยชน์ต่างตอบแทนแบบอำพราง และรู้กันทั่วไปว่า ทักษิณเป็นนายหน้าให้กลุ่มนี้มาซื้อที่นาแถวจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเป็นแหล่งผลิตข้าวส่งให้ UAE
   
       การรับสัมปทานครั้งนี้ ทำให้บริษัท มูบาดาลาฯ เป็นผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม อันดับ 3 ในไทย ทั้งนี้ในบริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม นอกจาก บ.มูบาดาลา โอลดิ้งส์ (75%) ยังมีบริษัทคริสเอนเนอร์จี้ (25%) ของเทมาเส็กโฮลดิ้งส์ สิงคโปร์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองอยู่ด้วย
   
       ที่ผ่านมา ทักษิณเป็นนายหน้าสั่งการผ่านข้าราชการลิ่วล้อในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการให้สัมปทานแหล่งพลังงานต่างๆ ในไทย แต่ละครั้งทักษิณย่อมได้ผลประโยชน์ใต้โต๊ะเป็นกอบเป็นกำ
   
       มีมวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่ยิ่งลักษณ์ มากมายเป็นประวัติการณ์ในการเมืองไทย และสถิติโลก จาก 1 ล้านคน เป็น 3 ล้านคน เป็น 5 ล้านคน เป็น 10 ล้านคน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. 56, วันจันทร์ที่ 9 ธ.ค. 56, วันอาทิตย์ที่ 22 ธ.ค. 56, วันจันทร์ที่ 13 ม.ค. 57 ตามลำดับ แต่สันติ อหิงสา ก็ไม่สามารถทำลายความหน้าด้านหน้าทนของพี่น้องทรราชทั้งสองคนนี้แต่อย่างใด
   
        สาเหตุหลักที่ทักษิณสั่งให้ยิ่งลักษณ์ หน้าด้านหน้าทนผิดมนุษย์ธรรมดา ยืนกรานไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการ ก็เพราะมันได้กอบโกยมาแล้วและกำลังกอบโกยอยู่อย่างมูมมามในผลประโยชน์ก้อนมหึมาอย่างเงียบๆ ในท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายทางการเมือง นั่นคือทรัพยากรปิโตรเลียมของชาติในอ่าวไทยที่ยังมีเหลืออยู่อีกหลายชิ้น...รอให้มันปล้นอยู่แค่เอื้อมเร็วๆ นี้...!!! 
   
        (บันทึกที่ยังไม่จบ)