วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

กรณีศึกษาของสังคมไทยได้อะไรจากกระแส - “สาวซีวิคสังเวย 10 ศพ”



สังคมได้อะไร ... จากกระแส ด่า....เอาสาแก่ใจ! สะใจ!

ในเมื่อ ... อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ทุกเมื่อ โดยเฉพาะมีการมักง่าย-ประมาท-มึนเมาขาดสติ-โกรธขาดสติ
จริงหรือไม่ ... สังคมพยายาม สร้างสม ความรู้สึกรับผิดชอบ ที่มุ่งด่าประณาม การที่เด็กสาว 16 นามสกุลดัง ไม่ออกมาขอโทษ ความรู้สึกของผู้คน ที่คิดว่า ขบวนการทาง กม. จะเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นปกติของสังคมไทย ที่ คนมีหน้ามีตาในสังคม คนรวย ทำอะไรไม่ผิด ไม่ต้องรับโทษ (แต่ ... ชอบว่ากันว่า ประเทศไทยเป็นนิติรัฐ แต่ขบวนการยุติธรรมกลับมีหลายมาตรฐาน) มาตรการที่สังคม ที่ควรจะตื่นตัวเรื่องความใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย การระมัดระวังภัย กลับไม่มี แม้จะรู้ว่า ถ้าเกิดเหตุแล้ว จะร้ายแรงรุนแรงอย่างไร

- การคาดเข็มขัดนิรภัย ของผู้โดยสาร ซึ่งรถตู้ทุกคันมีอยู่ (หรือจะกลัวว่า เมื่อก๊าซรั่วระเบิด จะหนีตายไม่ทัน)
- การเติมก๊าซ ที่ปั้มก๊าซ ถ้ามีการเกิดเหตุระเบิด ในปั้ม จะเกิดเหตุสลดอย่างไร ถ้าหนีออกมาไม่ทัน
- การใช้รถก๊าซ แล้วสูบบุหรี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีรถจำนวนมาก ใช้ก๊าซแอลพีจี ความรุนแรงเมื่อเกิดไฟไหม้ระเบิด (สังคมควรจะต้องย้อนระลึกถึงเหตุสลด รถก๊าซระเบิด เมื่อ ยี่สิบปีก่อน ว่าสร้างหายนะอย่างไร)
- การตรวจสอบ อุปกรณ์ต่างๆ ของระบบเชื้อเพลิงก๊าซ ซึ่งมีโอกาสรั่วไหล สูง
- การใช้ความเร็วในการขับ รถสาธารณะ และการกำหนดเวลาในการตรวจสอบ (ที่จริงจัง)
- อายุของผู้ขับขี่ และการได้มา (ปกติลูกคนมีสตัง จำนวนมาก มีรถขับทั้งๆที่อายุยังไม่ถึงที่จะมีใบขับขี่ ทั้งรถยนต์ และมอเตอร์ไซด์)
- มาตรฐานของ ขบวนการยุติธรรม กับการเลือกปฏิบัติ

ฯลฯ - สังคมได้อะไรจาก กระแสการตื่นตัว ตื่นตูม กับเหตุของการสูญเสีย สื่อหลายสำนัก เขียนกรณีศึกษา เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ ... ไม่ต่างอะไรกับกระแสก่นด่า เอาแค่สาแก่ใจ ก้อแบบนั้น

ความเห็นของผู้เขียน - เปิดเรื่องเลวร้ายของคนที่อ้างตนว่าดี ... ลงข่าวเพื่อ เปิดช่องรับ-ขยับช่องจ่าย ก้อเท่านั้น ไม่ต้องการให้เกิดการรับรู้เพื่อการแก้ไข-จริงใจ ถ้าขายกลกาม ทำร้ายคน ลงทิ้งไว้ ได้เป็นเดือนๆ เช่นกรณี แพรวา 10 ศพ ทวงหาความรับผิดชอบ จาก ดญ ที่พึ่งเป็น นส. ได้ไม่กี่ปี จน น.ส.แพรวา ตายทั้งเป็น เป็นศพที่ 10 แล้วกระทืบซ้ำๆ ให้ศพที่ 10 เละแบน จนไม่มีซากความเป็นมนุษย์ ก้อยังไม่ยอมหยุดกระทืบซ้ำต่อได้อีก เป็นเดือนๆ แต่ที่เอาข่าวออกไปนั้น ... ไม่มีข้อมูลชัดเจน ว่ารับอะไร รับอย่างไร ฯ



จากเวบ ผู้จัดการ - “สาวนามสกุลดังซิ่งซีวิคสังเวย 9 ศพ” กรณีศึกษาของสังคมไทย

“ความประมาท”สาเหตุหลักของความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้ !!!ชีวิตผู้บริสุทธิ์หลายต่อหลายดวงวิญญาณที่ถูกสังเวยไปครั้งแล้วครั้งเล่าบนท้องถนน น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับเหล่า “นักซิ่งตีนผี” หรือ “วัยรุ่น” ที่ขับรถเร็วราวกับสายฟ้าได้บ้าง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น อุบัติเหตุ “ตายหมู่” ที่เกิดขึ้นจากความประมาทและความไม่ตั้งใจยังคงเกิดขึ้นซ้ำซาก

เชื่อว่าหลายคนคงจำกันได้ว่า บ่อยครั้งที่อุบัติเหตุความประมาท เกิดขึ้นจากฝีมือของเหล่า “ดารา” หรือบุคคล “นามสกุลดัง” มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนในสังคม แต่ด้วยความพิเศษของสถานะทางชนชั้นและบทบาทในสังคม เพียงแค่ ออกมา“ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ” ยกมือไหว้ขอโทษ ให้เงินเป็นค่าทำขวัญเล็กๆน้อยๆ ก็ออกมาใช้ชีวิตเชิดหน้าชูคออยู่ในสังคมได้เหมือนเดิม แต่ชีวิตคนดีๆที่ต้องจบชีวิตไปไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ คนที่เป็น “พ่อแม่” ก็ต้องหัวใจสลาย และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด กว่าจะเยียวยาจนสามารถทำใจได้

กลางดึกวันที่ 27 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา ขณะที่หลายคนกำลังเตรียมตัวฉลองกับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อันน่าสลดใจขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยกู้ภัย และกระจอกข่าวรับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุรถเก๋งชนกับรถตู้บนโทลล์เวย์ฝั่งขาเข้า มีคนกระเด็นตกลงมากระแทกกับพื้นถนนด้านล่างและห้อยต่องแต่งอยู่กับสะพานลอย หน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พอดี มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 8 รายและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

ไม่กี่ชั่วโมงถัดมาการจราจรบนถนนวิภาวดีขาเข้าก็ถูกปิด รถติดยาวเหยียดไปถึงรังสิต บรรดามูลนิธิต่างช่วยกันลำเลียงศพผู้เสียชีวิตที่กระจัดกระจายมารวมกัน ท่ามกลางสายตาประชาชนที่พากันจับกลุ่มยืนมองภาพอันน่าสยดสยองด้วยความเวทนา

ขณะเดียวกันบนโทลล์เวย์ก็พบซากของรถตู้โตโยต้า สีขาว หมายทะเบียน 13-7795 กทม. เลขข้างรถ ต 11827 วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พลิกคว่ำพังยับเยิน และมีเสียงร้องโอดครวญของคนเจ็บที่รอดชีวิต ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ไม่ใกล้ไม่ไกลกันก็พบรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีขาว หมายเลขทะเบียน ฎว-8461 กทม.จอดอยู่กลางทางด่วน โดยมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนพิงขอบกำแพงโทลล์เวย์กดโทรศัพท์แบล็คเบอรี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยไม่สนใจว่าด้านล่างเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น

ภาพหญิงสาวยืนกดโทรศัพท์ที่ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับคือ“น.ส.อรชร หรือแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา” อายุ 17 ปี สาวนามสกุลดัง ที่เป็นคนซิ่งเก๋งซีวิคพุ่งชนรถตู้จนมีคนตายเกลื่อนถนนอย่างน่าอนาถ ยิ่งไปกว่านั้นอายุอานามของ น.ส.แพรวา ก็เพิ่งจะ 17 ปี ยังไม่มีใบอนุญาตในการขับขี่รถยนต์ด้วยซ้ำ

คนที่ตกเป็นเหยื่อความประมาทในครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลคุณภาพที่จะสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับสังคมได้ในวันข้างหน้า “ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง”นักวิทยาศาสตร์ประจำ สวทช. หนุ่มมากความสามารถและเปี่ยมไปด้วยความกตัญญูทำงานหาเลี้ยงครอบครัว“น.ส.สุดาวดี นิลวรรณ” อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บุตรสาวนายตำรวจและเป็นหลานนักแสดงตัวประกอบชื่อดัง ที่เป็นความหวังและแก้วตาดวงใจของครอบครัว“น.ส.จันจิรา หรือน้องป้าย ซิมกระโทก” อายุ 22 ปี นักศึกษาสาวชั้นปีที่ 4 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เหยื่อที่เพิ่งเสียชีวิตลงเป็นรายที่ 9 กำลังจะรับปริญญาพร้อมกับเพื่อน “นายเกียรติมันต์ รอดอารีย์” นักวิทยาศาสตร์ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หนุ่มวัย 23 ปีที่กำลังเตรียมตัวศึกษาต่อระดับปริญญาโท-เอก ยังมีดวงวิญญาณอีกหลายดวงที่กำลังจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว แต่ก็ต้องมาจากไปในเวลาอันรวดเร็ว

หลังเหตุสะเทือนขวัญนี้ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน กระแสของสังคมในโลกออนไลน์และชีวิตจริง ต่างโจมตี น.ส.แพรวา อย่างหนักถึงการขับรถโดยประมาท ไม่มีใบขับขี่และการไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยให้ “มารดา” ออกมาเดินสายขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเพียงลำพัง จนชาวโลกไซเบอร์ตั้งฉายาให้เธอว่า “แพรวา 9 ศพ”

ครอบครัวผู้สูญเสียและคนทั้งประเทศที่ติดตามสถานการณ์ ต่างหวั่นเกรงว่าเหตุการณ์นี้อาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะ “นามสกุล” และ “ตำแหน่งหน้าที่การงาน” ของบิดากับเครือญาติของ น.ส.แพรวา ไม่ธรรมดาเหมือนตาสีตาสาทั่วไป แต่เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขา บุคคลในตระกูลเทพหัสดิน ณ อยุธยา และเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ต่างก็ออกมาบอกกับสังคมว่าจะดำเนินคดีไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีการช่วยเหลือซิกแซกใดๆทั้งสิ้น

แต่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ต้องสะเทือนใจยิ่งกว่านั้น เพราะขณะนี้ในโลกอินเตอร์เน็ตมีการนำภาพและข้อความการแชทบีบีของน.ส.แพรวา กับเพื่อนในขณะที่เกิดเหตุ มาลงในอินเตอร์เน็ตจนมีคนเข้ามาดูอย่างถล่มถลาย ซึ่งข้อความที่เธอพิมพ์บอกกับเพื่อนรวมทั้งหัวข้อสถานะที่เธอใช้ในขณะนั้น มันบ่งบอกถึงความเลือดเย็นและความไร้ซึ่งมนุษยธรรม แถมยังโชว์พาวโดยการบอกกับเพื่อนทางบีบีว่า พ่อกำลัง “เคลียร์” กับนักข่าวและพยายามจบเรื่องทุกอย่าง

ผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืน เฟสบุ๊คของ น.ส.แพรวา ก็ถูกปิด และเทคโนโลยีต่างที่เธอใช้ถูกปฏิเสธไปโดยปริยาย เพื่อไม่ให้กลายเป็นปมซ้ำเติมความคึกคะนองของเธอ แต่เดี๋ยวนี้โลกมันล้ำหน้าไปมากความรวดเร็วทันสมัยในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ไม่สามารถปกปิด “ความลับ” หรือ “ข่าวคาว” ที่เกิดขึ้นได้ แม้จะยืนกระต่ายขาเดียวปฏิเสธเสียงแข็งตาม “สคริป”อย่างไรก็ตาม

ครอบครัวเหยื่อทุกราย ประชาชนทั้งประเทศ รวมถึงสื่อมวลชนต่างรอคอยให้ถึงวันที่ 5 มกราคม ซึ่ง น.ส.แพรวา จะต้องเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก เพื่อที่จะได้ฟังเหตุกาณ์ทั้งหมด และคำขอโทษอย่างจริงใจจากปากของ น.ส.แพรวาเอง ในวันนั้น น.ส.แพรวา เดินทางมาพร้อมกับครอบครัวและทนายความ โดยยอมรับว่าเป็นความผิดที่ขับรถประมาท และกล่าว “ขอโทษ”เพียงสั้นๆเท่านั้น พร้อมกับปฏิเสธว่าไม่ได้คุยโทรศัพท์หรือแชทบีบีในขณะที่ขับรถ ส่วนภาพที่ปรากฎเพียงแค่ติดต่อกับบริษัทประกันและพรรคพวกเท่านั้น แต่เรื่องจริงจะเป็นเช่นไรไม่มีใครล่วงรู้ได้นอกจากตัวของเธอเองที่ “รู้อยู่แก่ใจ”

ประเด็นข้อสงสัยของอุบัติเหตุครั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นภายในรถยนต์ฮอนด้าซีวิคที่กำลังขับมาด้วยความเร็วสูง อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้ขับขี่กำลังก้มหยิบสิ่งของ ดูข้อความผ่านโปแกรมสนทนาโต้ตอบทันที (BBM) จากโทรศัพท์มือถือ หรืออาจกำลังคุยโทรศัพท์มือถือ ซึ่งประเด็นเหล่านี้อาจเป็นชนวนของการเกิดอุบัติเหตุในเสี้ยวนาทีนั้น เรื่องนี้ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ซึ่งทำหน้าที่ดูแลงานสืบสวน พูดเพียงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงเปิดเผยอะไรไม่ได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำโดยประมาท ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ทั้งในห้วงเวลาก่อนเกิดเหตุจนถึงนาทีที่เกิดอุบัติเหตุ

"ความประมาทที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุมาจากความประมาท แต่กรณีนี้ ชุดสอบสวนกำลังปรึกษาหารือว่า จะทำหนังสือไปยังผู้ให้บริการด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อขอตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือในวันเกิดเหตุย้อนหลังในช่วงก่อนเกิดอุบัติเหตุ เธอได้พูดคุยโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เพราะหลักฐานจากกล้องวงจรปิดระบุวันและเวลาอย่างชัดเจน หากนำมาเปรียบเทียบแล้วพบว่ามีการใช้โทรศัพท์มือถือก็จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่า ใช้โทรศัพท์ระหว่างขับขี่ ก็จะรู้ว่าก่อนอุบัติเหตุเกิดขึ้นเพราะอะไร"พล.ต.ต.อำนวย กล่าว

ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญด้านโทรศัพท์มือถือ เปิดเผยถึงขั้นตอนการขอตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือของลูกค้าว่า หากพนักงานสอบสวนทำหนังสือมาเพื่อขอตรวจสอบตามขั้นตอนของกฎหมาย ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจรารณาดำเนินการให้ตามขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งจะสามารถตรวจสอบได้ทั้งข้อมูลการโทรเข้าและโทรออก ว่ามีโทรศัพท์เข้ามากี่โมง หรือโทรศัพท์ออกกี่โมง รวมถึงการตรวจสอบการส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) ข้อความภาพ (เอ็มเอ็มเอส) ก็สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน ซึ่งพนักงานสอบสวนต้องนำวันเวลาจากกล้องวงจรปิดมาเทียบค่ามาตรฐานให้ตรงกับเวลาโลก เมื่อเปรียบเทียบได้แล้วนำข้อมูลวันและเวลาจากกล้องวงจรปิดกับโทรศัพท์มือถือมาดูกัน

ผลการกระทำที่เกิดขึ้น น.ส.แพรวา ถูกตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา คือ ข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่น ได้รับความเสียหายมีผู้ถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส และอีกข้อหา คือ ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ โดยขั้นตอนจากนี้ไป กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม คาดว่าจะสามารถทำรายงาน เพื่อเสนอต่อศาลเยาวชนและครอบครัว ภายในกำหนด 30 วัน ส่วนสาระสำคัญ จะนำเสนอรายงานการสืบเสาะประวัติ การศึกษาและครอบครัว พร้อมเสนอความเห็นต่อศาล ซึ่งมีหลายแนวทาง อาทิ โทษว่ากล่าวตักเตือน ปล่อยตัวไปโดยวางเงื่อนไขการคุมประพฤติ หรือ เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นอบรมความประพฤติ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

แม้วันนี้โทษที่ น.ส.แพรวา ได้รับมันจะเล็กน้อยเหลือเกิน และ “เทียบไม่ได้” กับการสูญเสียคนบริสุทธิ์ถึง 9 ชีวิต แต่ “ตราบาป” จะที่ติดตัวไปจนวันตาย และการ “ถูกตราหน้าจากสังคม” น่าจะเป็นบทลงโทษที่สมน้ำสมเนื้อ ที่สำคัญเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับสังคมไทยได้เป็นอย่างดี แม้จะเป็น“โศกนาฏกรรม” ส่งท้ายปีเสือดุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น หวังว่าเหตุการณ์นี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายและไม่เกิดขึ้นกับสังคมไทยอีก

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กรณีศึกษา “เด็กทำผิด” สอนผู้ใหญ่ไม่ให้ทำเป็นไฟไหม้ฟาง!?!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น