วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

"วีระ สมความคิด"...ชี้แจง


ผมเชื่อ คุณวีระ ... 100%

"วีระ สมความคิด"...ชี้แจง
ถอดเทปการตอบคำถามของคุณวีระ สมความคิดในงาน “สานใจรวมพลังไทยเพื่อชาติ” June 6, 2010 Los Angeles, CA
โดย ดร. จอย ,คุณอรรคเดช ศรีพิพัฒน์
 :

1. เกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างคุณวีระกับพันธมิตรและ ASTV

2. ทำไมคุณถึงไม่ออกรายการค้นคนโกงอีก

3. ปัญหาเรื่องเขาพระวิหารไปถึงไหนแล้ว และจะดำเนินต่อไปอย่างไร

4. ได้ข่าวว่าคุณสนธิ คุณวีระแยกทางกันหรือเปล่า

คุณวีระ สมความคิด : ผมไม่ได้แต่งงานกับคุณสนธิ ก็เลยไม่ได้แยกทางกัน... ไม่ได้แยกทางกัน เพียงแต่ว่าคุณสนธิอาจจะเข้าใจผิดและก็ไม่ได้ให้โอกาสผมนะครับ และก็แกอาจจะรักผมมากไปมั้ง อยากจะให้ผมอยู่กับแก แต่ผมไม่สามารถอยู่กับแก แกอยากให้ผมเนี่ยะลาออกจากเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น มาอยู่กับมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน

ที่ผมทำไม่ได้ นะครับ เพราะว่าผมทำองค์กรของผมเนี่ยด้วยจุดยืนที่อยากจะแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในสังคมไทย และก็ความมุ่งมั่นที่จะรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ผมไม่ต้องการที่จะไปอยู่ภายใต้... นะครับ การดูแล หรือครอบงำจากใคร ผมต้องการอิสระ (ปรบมือ)

ถึงแม้จะเป็นความหวังดี ก็ตามแต่ นะครับ แต่ถ้าเป็นความหวังดีแล้วเนี่ยะ ทำให้ผมต้องเสียจุดยืน แล้วก็ มันทำให้เกิดปัญหาในการทำงานเนี่ยะ นะครับ ผมก็มิอาจที่จะรับความหวังดีของท่านได้ ผมคงขอทำงานอย่างมีอิสระ นะครับ ที่จะไม่ให้ใครกล่าวหาผมได้ว่าเป็นคนของ ASTV แต่ผมอยากเป็นคนของประชาชนครับ (ปรบมือ)

ผมก็ไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับคุณสนธิ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้โกรธคุณสนธิ เพียงแต่คุณสนธิเนี่ยะ แกอาจจะหวังดีกับผมมาก และก็อยากที่จะช่วยแก้ข้อกล่าวหา เพราะว่า มีคนที่ไปกล่าวหาผม โดยที่เขาเนี่ยะเคยที่จะมาใกล้ชิดผม แต่ไม่ใช่คนที่เป็นลูกน้องผมนะ

ผมไม่ได้จ้างเค้า คือเค้าเป็นภรรยาของคนขับรถผม และเค้ามีโอกาสได้เข้ามาใกล้ชิดผมอยู่พักหนึ่ง และในช่วงที่ผมไปทำธุรกิจที่เขาพระวิหาร เขาก็เป็นคนที่ไปรับการบริจาคจากคนที่ช่วยสนับสนุนทั้งเงินและสิ่งของ และก็มีคนยืนยันว่า เขาแอบยักยอกเงินที่ประชาชนสนับสนุนผม

พอผมจับได้ ผมก็ให้เขาห่างออกไป แต่ผมไม่ได้ว่าอะไรนะ ก็คือให้ห่างออกไป นะครับ เขาก็โกรธและก็ไปบิดเบือนข้อมูลกับคุณสนธิ โดยไปฟ้องคุณสนธิบอกว่าผมเนี่ยะนะครับ ร่ำรวยแล้ว มีเงินมีทองมากมาย ผมแอบไปปลูกบ้านที่ภาคเหนือ 20 ล้านบ้างล่ะ ผมเนี่ยะไปซื้อบ้านอยู่ในหมู่บ้านนวธานี ที่เป็นหมู่บ้านเศรษฐี บ้านผมมีรถตั้ง 5 คัน แต่ไม่เคยที่จะมาให้โอกาสผม ในการที่กล่าวหาผมแล้วนี่ ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจน

คุณสนธิก็เรียกผมไปพบเรื่องนี้ แล้วก็บอกว่า มีคนเขากล่าวหาอย่างเนี้ยะ และก็เป็นคนของคุณ ผมก็บอกว่า ”พี่ธิเรียกมาพบเลยครับ เขาพูดอะไรบ้าง”

แกก็ไม่พูดรายละเอียดให้ผมฟัง แต่แกไปพูดให้กับคนใกล้ชิดแกนนำคนอื่น และแกนนำคนอื่นก็เอาไปพูดบอกกันเต็มไปหมดนะครับ ผมก็ไม่มีโอกาสที่จะได้พูดกับคนทั้งประเทศ เพราะผมพูดมันผ่านสื่อ มันก็เหมือนกับการไปสาวไส้ คนที่เสียประโยชน์คือพวกเรา คนที่เสียหายก็พวกเรา คนได้ประโยชน์คือศัตรูของเรา

ผมก็ต้องอดทนมาโดยตลอด นะครับ ผมไม่มีหรอกครับบ้าน 20 ล้าน บ้านนั้นไม่ใช่บ้านของผม ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลยนะครับ คนที่พูดเนี่ยเขาเคยติดตามผมไป เมื่อครั้งที่พันธมิตรจังหวัดลำปางจัดงาน และผมก็พาพวกการ์ดพวกเขานี่ที่ดูแลผมไปพักที่บ้านหลังนี้ เหมือนกับผมมาพักบ้านพี่ประสารนี่แหละครับ ถ้าอย่างนั้นเนี่ย เดี๋ยวมันก็ไปพูดอีกว่าผมเนี่ยมีบ้านที่ L.A. หลังละตั้ง 1 ล้าน 7 แสนดอลลาร์ คือถ้าผมไปพักบ้านใครแล้วบ้านนั้นจะเป็นบ้านผมทันที นะครับ

อย่างนี้เป็นธรรมกับผมไหมครับ โดยที่ไม่มีการพิสูจน์เลย และบ้านผมที่นวธานีก็บอกนะครับว่าเป็นบ้านมรดก นะครับ คุณพ่อผมก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สร้างตัวมาก็สามารถที่จะซื้อบ้านในนวธานีได้ นะครับ คุณพ่อผมก็ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง พ่อผมไม่ได้ไปโกงใครนะครับ พ่อผมทำธุรกิจ ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่ข้าราชการ ได้แต่สอนลูกว่าอย่าไปเอาเปรียบใครนะครับ ผมก็ไม่เคยไปคดโกงใคร บ้านนั้นน่ะอยู่มาตั้งแต่ 2519 ครับ ทุกวันนี้จะพังเต็มแก่แล้ว ท่อน้ำก็ตันหมดแล้ว ไฟฟ้าสายไฟก็เก่าจนชอบช็อตเป็นประจำ

ก็กำลังคุยกันในระหว่างพี่น้องว่าจะเอาอย่างไรดี จะรื้อบ้าน หรือจะต้องซ่อมบ้านใหญ่กันสักทีดีไหม เพราะเราอยู่กันมานานตั้ง 30 กว่าปี รถ 5 คัน ผมมีพี่น้อง 5 คน มีรถคนละคันไม่ได้หรือครับ มันผิดอะไรนักหนาหรือครับ ทำไมถึงมากล่าวหาผมอย่างนี้

แล้วบอกว่า ผมรับเงินบริจาคไม่โปร่งใสเนี่ยะ ผมก็อยากจะย้อนถามครับว่าผมเคยไปเอ่ยปากขอเงินใคร เคยได้ยินผมขอบริจาคสักครั้งหนึ่งไหมครับ ผมเคยไหมครับ ที่บอกว่าพ่อแม่พี่น้องช่วยมาบริจาคเงินให้ผมหน่อย ผมเคยพูดไหมครับ ผมไม่เคยเอ่ยปากขอเงินใครนะครับ คนที่เขาศรัทธางานผม เขาเห็นผมทำงานอย่างมุ่งมั่น และเขาเห็นว่าผมต้องเสียสละความก้าวหน้าในชีวิตทั้งหมด

ผมตั้งกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของผมตั้งแต่ปี 2531 กับกลุ่มเพื่อนข้าราชการ และเราก็ทำงานมาเนี่ย ผมใช้ทุนของผมเป็นส่วนใหญ่ เขาจึงมอบความไว้วางใจและความรับผิดชอบให้ผมเป็นประธานกลุ่ม มาตั้งแต่ปี 2531 ผมทำงานไปด้วยและก็เอาเงินที่ผมทำงานเนี่ยะ ที่ทำธุรกิจร่วมกับครอบครัวเนี่ยะ เอามาจุนเจือกลุ่มในการทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ไม่เคยไปขอเงินใครแม้แต่บาทเดียว (ปรบมือ)

เดี๋ยวครับ อีกนิดหนึ่งครับ ยังไม่จบ ถ้าไม่พูด เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ นะครับ ผมขอพูด ผมไม่มีโอกาสพูด ผมอยากพูดให้หมด ไม่ต้องให้คาใจ ผมเนี่ยะเอาเงินของผมที่ได้จากการทำงานมาทำประโยชน์ให้ส่วนรวม โดยไม่ใช่แบบ NGO... NGO เนี่ยะต้องมีเงินทุนก่อน ถึงจะทำเป็นโครงการเป็นโปรเจ็กต์


แต่ผมเป็นประชาชนที่มีความสำนึกอยากจะตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และก็ไม่ใช่ผมคนเดียว ผมร่วมกับกลุ่มของผม ตอนแรกมีประมาณ 7 คน เราก็ทำงานกันมา โดยที่ผมเป็นคนที่ลงทุนลงแรงมากที่สุด เพราะผมเป็นคนเดียวของกลุ่มที่ไม่ใช่ข้าราชการ และก็ทำมาโดยตลอด นะครับ จนถึงปี 2543 ที่ต้องมีคดีความกับพลตรีสนั่น นะครับ ปรากฏว่า ครอบครัว และธุรกิจที่ผมทำร่วมกับพี่สาว ถูกบีบจากอำนาจการเมือง พี่สาวผมก็ยื่นคำขาดว่าจะเอาอย่างไง ถ้าผมยังทำงานนี้ต่อไป จะกระทบกับธุรกิจ ผมต้องวางมือเลยครับ หยุดทำงาน มาทำงานให้กับสังคมอย่างเดียว มีเงินที่ผมสะสมไว้เนี่ยะประมาณล้านบาท

ผมต้องใช้เงินของผมโดยที่ไม่ต้องไปขอใครเนี่ยนะครับ ตั้งแต่ปี 2543 มา แล้วก็สู้คดีกับพลตรีสนั่นที่เขาฟ้องผม หมิ่นประมาท เขาเรียกค่าเสียหาย 150 ล้าน ผมสู้ อยู่ 11 ปี ด้วยเงินของผมเนี่ยละครับ ไม่เคยไปขอเงินใครเลย (ปรบมือ) นะครับ ผมทำประโยชน์ให้ส่วนรวม แต่เวลาที่ผมถูกไอ้พวกนักการเมืองฟ้องผมเนี่ย ผมต้องใช้เงินของตัวเอง และก็บางครั้งไม่พอก็ต้องขอพี่สาวผม ขอแม่ผม จนเงินผมหมด

ภรรยาผมเนี่ยต้องขอหย่าจากผมในปี 2546 เขาทนไม่ได้ ที่ผมไม่ทำงานแล้วมาทุ่มเทให้กับการทำประโยชน์ โดยไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนอะไรเลย

เขาแต่งงานกับผมตั้งแต่ปี 2535 ปี 2546 ปลายปีเขาบอกว่า เขาทนไม่ได้แล้ว ผมต้องเลือกแล้วระหว่างเขากับงาน ผมบอกว่าผมรักทั้งคู่ ผมรักเขาและงาน ผมไม่ต้องการเลือก ผมอยากให้ทั้งคู่อยู่กับผม แต่เขาบอกไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ต้องตัดสินใจหย่ากับผม ผมก็ต้องเสียภรรยาที่ผมรักไป นะครับ

ผมถึงอยากจะบอกไงครับว่าผมมุ่งมั่นขนาดนี้ แล้วมากล่าวหาว่าผมคดโกงเงินที่เขาบริจาคให้ผม ผมทำงานถ้าผมจะโกงเนี่ย ผมจะมาโกงเงินที่ท่านบริจาคทำไม มันไม่ได้มากมายหรอกครับ ทำแบบคนอื่นสิครับ คนที่ขายอุดมการณ์

ที่ผ่านมามีคนติดต่อผมตลอดนะครับ ด้วยเงินระดับ 100 ล้านขึ้นทั้งหมด แทบจะทุกคดี ผมเอาเงิน 100 ล้านไม่ดีหรือครับ ถ้าผมจะเอา โอกาส นะครับ หรือเครดิตที่สังคมให้ผมเนี่ย ซึ่งก็เป็นสิทธิของผมด้วย ใครจะมาตรวจสอบผม เพราะผมไม่ใช่ข้าราชการ กฏหมายทำอะไรผมไม่ได้เลยนะครับ

เพราะไอ้คนให้เงินผมมันเป็นคนโกง ทำอะไรผมไม่ได้เลย ถ้าผมจะรับเงินพวกนี้ก็เป็นสิทธิของผม แม้แต่คิดผมยังไม่คิดเลย ทุกคนที่มาเสนอให้ผมนี่นะครับ (ปรบมือ) ผมก็จะบอกกับเขาทุกคนว่า ไม่ต้องเอาเงินมาให้ผม และก็ไม่ต้องฆ่าผม ผมขอแค่ 2 อย่าง แล้วคุณมาทางไหน คุณก็กลับไปทางนั้น นะครับ

ผมไม่จำเป็นเลยนะครับที่จะต้องมาทุจริตเงินที่พี่น้องประชาชนมาบริจาคให้กับผม เพราะคนที่บริจาคเงินมาให้ผมเขาเอาเงินที่บริสุทธิ์ เขาไม่ได้โกงใคร ผมไม่ได้รับเงินคนโกงครับ (ปรบมือ) และผมก็บริสุทธิ์ใจ ในการทำงานผมไม่เคยสร้างภาพหลอกใคร

ผมไม่เคยไปเสแสร้ง สิ่งที่ผมทำผมเล่าให้ท่านฟังในเบรกแรก ผมทำด้วยความตั้งใจผมทำอย่างดีที่สุด อย่างมีคุณภาพ ไม่ได้ทำเพื่อต้องการอะไร นะครับ ดังนั้นผมไม่จำเป็นเลยครับ ในเมื่อท่านบริสุทธิ์ใจให้ผม และก็ไม่เคยมีใครนะที่ให้เงินผม และก็มีข้อต่อรองกับผมว่า คุณวีระ คุณเอาเงินไปคุณต้องไปทำอย่างนี้นะ ต้องอย่างนี้ อย่างนี้นะ คุณต้องมารายงานฉันนะ ไม่มีเลยสักรายหนึ่ง และถ้ามีอย่างนั้น ผมก็ไม่รับ ผมก็จะบอก พี่เอาเงินคืนไปเถิดครับ เพราะผมไม่รับจ้างทำงานครับ ผมทำเพราะผมอยากทำ (ปรบมือ) นะครับ

อันนี้ก็คือสิ่งที่ผมอยากบอกให้ทุกท่านเข้าใจ นะครับ ว่าผมไม่จำเป็นต้องมาโกงตัวผมเองหรอกครับ ถ้าอยากจะโกง ผมก็ควรจะรับเงินจากไอ้คนโกง ซึ่งมันจะได้เป็นร้อยล้าน แล้วกฏหมายทำอะไรผมไม่ได้ด้วย นะครับ

อันนี้ก็อยากจะบอกให้ทุกท่านเข้าใจว่า คนอย่างผมไม่เลวหรอกครับ นะครับ ผมไม่เลวอย่างนั้นหรอกครับ ถ้าผมเลว ผมไม่อยู่มาถึง 20 กว่าปีหรอกครับ โดยที่คนที่ผมตรวจสอบนี่ ที่ควรจะแฉผมเนี่ย ไม่เคยมีแม้แต่คนเดียวมาแฉผมได้เลย นะครับ (ปรบมือ)

แล้วก็เรื่องเขาพระวิหารเนี่ย ต้องบอกกับทุกท่านเลยครับว่า ยูเนสโกเนี่ยแอบไปขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2551 แล้วครับ เราไม่เคยรู้เลยครับ หลักฐานนี้ผมเพิ่งรู้มาเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ก่อนมานี่ เพิ่งรู้มาเมื่อสองอาทิตย์นี้เองครับ ตัวปราสาทนี่ยูเนสโกขึ้นทะเบียนไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่พื้นที่โดยรอบที่เรากำลังต่อสู้กันอยู่ แล้วยูเนสโกก็ทำผิดระเบียบของตัวเอง เพราะว่าการไปขึ้นทะเบียน แอบไปขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารนี่ มันก็ผิดกับกฏบัตรของตัวเองที่บอกว่า ถ้ามรดกโลกชิ้นใดนั้นมันอยู่ในอีกประเทศหนึ่ง ต้องได้รับการยินยอมจากประเทศนั้นก่อน

ผมก็ไม่รู้ว่าใครไปยินยอมให้กัมพูชา ถามรัฐบาล ๆ บอกไม่ได้ยินยอม ถามกระทรวงการต่างประเทศ ๆ บอกไม่รู้เรื่อง แล้วใครมันไปยินยอมยกให้ ผมถามหน่อยเถอะ แล้วการที่จะไปยินยอมนี่มันต้องผ่านรัฐสภา เห็นไหมครับ ยูเนสโกก็เป็นองค์กรที่หาประโยชน์ แล้วก็เอาเปรียบประเทศเล็กๆ นี่ก็คือสิ่งที่ผมต้องต่อสู้ต่อไป นะครับ ไม่ได้หยุดครับ หลังจากที่ผมพยายามเปิดโปงมาโดยตลอดเนี่ย ผมกลับประเทศไทยไป ผมต้องรีบกลับไปทำวีซ่า เพื่อที่จะเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส เพราะเขาจะประชุมครั้งสุดท้ายวันที่ 25-4 มิถุนายน นะครับ ที่ประเทศบราซิล แต่เราจะไม่ไปประเทศบราซิล เราจะไปที่สำนักงานใหญ่ของยูเนสโกที่ประเทศฝรั่งเศส

ทำทุกอย่างครับ และการไปนี่ ผมก็ไม่ได้ไปขอเงินใครด้วย ผมก็เอาเงินที่พ่อแม่พี่น้องบริจาคให้ผมไว้แล้วเนี่ย เอาเป็นทุนในการทำงานครับ แล้วทุกครั้งก็เป็นเงินของพ่อแม่พี่น้องทั้งสิ้นนี่แหละครับ (ปรบมือ) แล้วถ้าใครบอกว่าผมนี่ร่ำรวยอะไรเนี่ย ผมจะบอกหน่อยเถอะนะ เวลาจัดขบวนรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไปทำเรื่องเขาพระวิหารนี่ ผมต้องหมดเงินไปเจ็ดแสนบ้าง สามแสนบ้าง เพราะผมต้องรับผิดชอบ

อย่าไปคิดว่าทุกคนไปแล้วนี่นะ ต่างคนต่างดูแลตัวเอง อันนั้นส่วนหนึ่ง แต่เรื่องเครื่องเสียงละครับ เรื่องความปลอดภัยที่ผมต้องจ้างการ์ด การ์ดที่ต้องเป็นพวกมืออาชีพ ไม่ใช่พวกท่านนะครับ ที่จะไปสู้กับไอ้พวกทหารเขมรหรือพวกตำรวจที่ท่านต้องฝ่าด่าน หรืออันธพาลที่เขาจัดมาทำลายเรา เราต้องใช้มืออาชีพ แล้วพวกนี้เราต้องตอบแทนเขา ไหนจะค่าน้ำมันรถ ไหนจะค่าอาหารส่วนกลาง ที่พักส่วนกลาง

เราก็ต้องสนับสนุนให้กับสีสรรค์อโศกที่เราไปใช้สถานที่พัก ผมต้องใช้เงินทั้งนั้นครับ แต่ก็เป็นเงินที่พ่อแม่พี่น้องบริจาคมาให้ นะครับ ผมก็ไม่เคยที่จะได้เงินมาแล้วก็เก็บมาหาความสุขใส่ตัว เพราะผมไม่มีโอกาส

อยู่เมืองไทยผมไม่มีโอกาสไปหาความสุขส่วนตัวที่ไหนครับ ออกจากบ้านไปทำงาน ไปยังจุดต่างๆ แล้วกลับบ้าน ผมไม่มีโอกาสไปเดินถนน ไม่มีโอกาสไปไหนหรอกครับ เพราะว่าผมอันตรายครับอยู่เมืองไทย ผมมีโอกาสเดินไปไหนมาไหนอย่างสบายใจก็เฉพาะที่นี่แหละครับ (ปรบมือ)

แต่ที่ประเทศไทย ผมหมดโอกาสแล้ว ดังนั้นผมจะไปเสพสุขที่ไหนเนี่ย มันไม่มีที่ให้ผมไปเสพสุขหรือแอบไปหาความสุขอะไรเลยครับ ไม่มีหรอกครับ นะฮะ

เอาเรื่องรายการค้นคนโกง ก่อน คือคุณสนธิเนี่ยเรียกผมไปคุยก่อน เรื่องที่มีคนกล่าวหาผม แล้วแกก็หาทางออกให้โดยที่บอกว่าผมนี่ควรจะออกจากองค์กรของผม แล้วมาอยู่กับมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2552 นะครับ ผมก็บอกว่า “พี่ธิ ผมตัดสินใจเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรอก ผมต้องกลับไปคุยกับกลุ่มของผมก่อน ว่าเขาจะมีความเห็นอย่างไร นะ แล้วผมค่อยให้คำตอบ เพราะเรื่องนี้ ผมเหมือนคนที่ร่วมกันทำมาตั้ง 20 กว่าปี เสร็จแล้วผมจะออกจากองค์กรของผม เพียงแค่ผมหวั่นไหวกับคำกล่าวหาที่เลื่อนลอย แล้วมาอยู่ภายใต้ร่มมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินนี่ ผมว่ามัน มันต้องคิด คิดให้ดี”

แต่ผมยังไม่ทันกลับมาพูดคุยเลย คุณสนธิ ก็สั่งให้ผู้อำนวยการสถานี ASTV บอกโปรดิวเซอร์รายการค้นคนโกงว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในรายการค้นคนโกง ห้ามประกาศเบอร์บัญชีรายการค้นคนโกง ผมก็รู้สึกว่าเอ๊ะผมถูกบีบแล้วเหรอ ทั้งๆ ที่มันเป็นเงื่อนไขในการทำรายการ

ผมได้เวลาจาก ASTV นี่ โดยคุณสนธิไม่คิดค่าเวลา นะครับ แต่มีเงื่อนไขว่าผมต้องผลิตให้ นะครับ และผมก็ต้องรับผิดชอบค่าผลิตเองทั้งหมด จะแลกเปลี่ยนให้โดยทางสถานีจะประกาศเบอร์บัญชีสนับสนุนรายการเพียงครั้งเดียวตอนจบ โดยให้กาญจน์ จอมอินทา เป็นคนพูด

ผมได้เงินจากการผลิตรายการก็จากคนที่บริจาค เพราะอยากเห็นรายการนี้อยู่ต่อไป นะครับ นี่คือเงื่อนไขที่ตกลงกัน แต่ปรากฏว่าผมถูกคุณสนธิบอกให้หยุดประกาศ มันก็เหมือนกับการตัดแขนขาผม ผมก็ทนทำมาตั้งแต่เดือนตุลา แล้วผมมาหยุดโดยทุกอย่างหมด หมดทั้งเงินที่รับบริจาคมาไม่เพียงพอ และผู้ที่ร่วมงานในการผลิตรายการค้นคนโกง เขาก็ถอนตัวหมด เพราะเขาไม่พอใจที่ผมถูกทำอย่างนี้

ผมทนทำมาอีกตั้งหลายเดือนจนถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ นะครับ ที่ไปออกรายการเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีใครถอดรายการ แต่มันต้องหยุด หยุดโดยความจำเป็น นะครับ เพราะมันไม่สามารถทำต่อไปได้ ท่ามกลางการที่ผมถูกกดดัน จากทางสถานีและจากกลุ่มที่ร่วมทำงานกับผม ผมถูกกดดันทั้งสองด้าน นะครับ และรายการอื่นๆ เนี่ย ไม่มีใครเชิญผมออกครับ จะมาบอกว่า ผมเนี่ยประท้วงหรือผมไม่มาออก ไม่ใช่

เมื่อก่อนเขาเชิญผมทั้งวันทั้งคืน ผมไม่เคยขัดเลย และผมไม่เคยได้ค่าตัวจากการออกรายการ ASTV แม้แต่รายการเดียว บาทหนึ่งไม่เคยได้เลย ค่าน้ำมันรถทุกอย่างผมก็ต้องอุทิศให้หมด ไม่เคยเรียกร้องด้วย แต่ที่ผมไม่ได้ออกก็เพราะเขาไม่เชิญให้ออก แล้วผมจะมาออกได้อย่างไร การที่ผมไม่ได้มาออก ASTV เนี่ย ท่านก็เข้าใจด้วยครับว่า เขาไม่เชิญผมออก

และการที่ผมต้องหยุดรายการค้นคนโกงก็ไม่ได้ถูกถอด มันออกโดยสภาพที่ผมเรียนให้ท่านทราบนะครับ นะครับว่าผมก็ไม่สามารถที่จะทำรายการไปท่ามกลางที่ไม่มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับรายการ และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือเพื่อนร่วมงานผมไม่ยอมทำกับผมแล้ว ครับ

ผมก็ต้องเปลี่ยนไปอยู่ช่องอื่น นะครับ ก็ไปทำอยู่ช่อง 13 สยามไท แล้วทางสันติอโศกเขาก็ให้ผมไปทำรายการเพิ่มอีกหลายรายการ แต่การไปทำรายการให้กับสันติอโศกมันเป็นรายการธรรมะ เอ๊ยไม่ใช่ มันเป็นช่องธรรมะ ที่พ่อท่านโพธิรักษ์เนี่ยห้ามเรี่ยไร ห้ามบอกอะไรทั้งสิ้น ทุกคนที่มาทำต้องทำแบบ อะไรล่ะ ทำแบบเหมือนทำบุญน่ะ นะ มาทำฟรีหมด นะครับ แต่เขามีเวลาให้ ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดนี่ผมมีรายการใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 รายการ

นอกจากรายการค้นคนโกง นะครับที่เราต้องยังทำอยู่ทุกวันนี้ แล้วเงินที่มา ก็มาจากพวกท่านนี่แหละครับ ที่ยังบริจาคให้ผมอยู่ ผมมีแรงทำเท่าไหร่ มีแรงสนับสนุนให้การบริจาคเท่าไหร่ ผมก็ทำเท่าที่ผมทำได้เต็มที่นะครับ นะครับ อันนี้ก็เป็นคำตอบที่อยากจะบอกให้ท่านทราบครับว่ารายการค้นคนโกงไม่ได้ถูกถอด ********************************************************************************************
หมายเหตุ คุณอรรคเดช ศรีพิพัฒน์ / บก.นสพ.สยามมีเดีย ลอสแองเจอลิส สหรัฐอเมริกา