วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขมรจับ 7 คนไทย ส่งท้ายปีเก่า - นายกไทย แยกเขี้ยว !


“กษิต” พบ “ฮอร์ นัม ฮง” เจรจา “ไทย-เขมร” ล้มเหลว อ้างคดี 7 คนไทยรุกล้ำเขตแดน อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ปล่อยตัวไม่ได้ ต้องให้นอนในเรือนจำรอคำพิพากษา “กษิต” เข้าพบคนไทยทั้งหมดในเรือนจำแล้ว จัดทีมทนายความช่วยเหลือทันที เผย โทษหนักติดคุก 18 เดือน “นายกฯอภิสิทธิ์” ถกเครียดฝ่ายความมั่นคง ลั่น ต้องปล่อยตัวตามข้อตกลงสองประเทศ “รองฯสุเทพ” ระบุ “พนิช” กับคณะ ล้ำเขตจริง 300-400 เมตร ตชด.ตามไปห้ามไม่ทันจึงถูกจับที่ “วัดโจ๊กเจีย” เผย ช่วงโดนรวบเจรจาใกล้สำเร็จ แต่ฝั่งกัมพูชาพบชื่อ “วีระ สมความคิด” เคยโดนจับเคยเตือนแล้ว ทำผิดซ้ำเลยเจอยัดเข้าคุก ขณะที่กองเขตแดน ลุยพื้นที่ พบล้ำเข้าเขตจริง เจอทหารเขมรตรึงกำลังเพียบ กองกำลังบูรพา สั่งเตรียมพร้อมเต็มที่ พ่อค้าแม่ค้า-แรงงานเขมร เศร้าต้องอพยพกลับประเทศ พธม.ขู่เคลื่อนไหวกดดันแล้ว

จากกรณีทหารกัมพูชาจับกุมนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์และอดีตผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศ นายวีระ สมความคิด และคณะ รวมทั้งสิ้น 7คน เป็นชาย 5 คน และหญิง 2 คน บริเวณรอยต่อแนวชายแดน บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ขณะเข้าไปพิสูจน์ปัญหาการรุกล้ำอธิปไตย หลังจากมีชาวบ้านร้องเรียนว่าถูกทหารกัมพูชา ยึดพื้นที่นาที่มีเอกสารถูกต้อง เป็นเวลานาน เบื้องต้นนายพนิช ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่าถูกจับกุมจริง ทั้งๆที่แสดงตัวว่าเป็นส.ส.มาตรวจสอบพื้นที่ แต่ทหารไม่ฟัง โดยแจ้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเหลือแล้ว เบื้องต้นทหารกัมพูชาได้ส่งตัวไปยังสำนักงานตำรวจจังหวัดบันเตียเมียนเจย เพื่อสอบสวนและดำเนินคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายนั้น


มาร์คเครียดถกช่วยพนิช
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 30 ธ.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงการช่วยเหลือนายพนิช และคนไทยอีก 6 คนว่า ทั้งนายกรัฐมนตรี และพวกตนได้พยายามที่จะติดต่อประสานงานกับฝ่ายกัมพูชาตลอดทั้งวัน เดิมทีคิดว่าเขาจะผ่อนผันปล่อยคนไทยทั้ง 7 คนในตอนเย็นของวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าเขาไม่สามารถดำเนินการตามที่เราร้องขอได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้เรียกตน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมกันเพื่อหาทางแก้ปัญหานี้
“เราต้องดูหลายเรื่อง 1.จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าพื้นที่ที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมไปนั้นอยู่ตรงบริเวณไหนและเหตุการณ์เกิดขึ้นมาอย่างไร 2.ต้องหาลู่ทางเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาผ่านทางช่องทางต่างๆที่มีอยู่ และพอจะพูดจากันได้ 3.หากในที่สุดกัมพูชายังคงยืนยันที่จะนำคนไทยทั้ง 7 คน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และขึ้นศาล เราก็ต้องให้สถานทูตไทย และกระทรวงการต่างประเทศจัดหาทนายความไปช่วยเหลือ นอกจากนั้นก็ต้องหาวิธีอย่างอื่นว่าจะมีเงื่อนไขอะไรพิเศษที่จะใช้ในการเจรจาคราวนี้ได้บ้าง เมื่อเราได้พูดคุยกับเขา เจรจากับเขา และได้หาวิธีการทำทุกลู่ทางแล้ว ถ้าสำเร็จก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ค่อยปรึกษากันต่อไป” นายสุเทพ กล่าว

ล้ำเข้าเขมร300-400ม.
เมื่อถามว่าสาเหตุที่การเจรจาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ล้มเหลวเป็นเพราะอะไร นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเรื่องของฝ่ายกัมพูชา เราก็เจรจาตั้งแต่ระดับล่าง ๆ เพราะปกติเจ้าหน้าที่ที่อยู่ชายแดนจะมีความคุ้นเคยกัน และพูดจากันได้ ทั้งระดับผู้ว่าฯ ผู้นำทหาร เวลานี้เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเราก็เจรจากันทางช่องนี้ แต่ถ้าช่องทางนี้ยังมีปัญหา เราก็พยายามเจรจาในระดับสูงขึ้นตามขั้นตอน และพยายามใช้ทุกช่องทาง เมื่อถามว่า นายพนิชเข้าไปลึกระดับไหน นายสุเทพ กล่าวว่า จากรายการผ่านด่านตำรวจตระเวนชายแดนไป เจ้าหน้าที่พยายามที่จะขับรถตามไปบอกให้กลับ แต่คณะทั้งหมดได้หลุดเข้าไปในเขตพื้นที่ของกัมพูชาก่อนแล้ว 300-400 เมตร ทำให้ระงับยับยั้งไม่ทัน
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามจะให้เจ้าหน้าที่นำแผนที่แสดงจุดเกิดเหตุมาแสดงสื่อมวลชนได้รับทราบ เราจะว่ากันไปตามข้อเท็จจริง ถ้าฝ่ายเราไม่ผิด แต่เกิดเหตุในเขตที่เป็นของเรา หรือก้ำกึ่ง การต่อสู้ของเราก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเมื่อถามว่าระดับแกนนำรัฐบาลได้คุยกับสมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชาหรือยัง เพราะออกมาประกาศว่าไม่ใช่เรื่องการแก้แค้น นายสุเทพ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้พูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน และยังไม่ได้ติดต่อประสานกันถึงระดับนั้น เมื่อถามว่าพฤติกรรมของนายวีระ บริสุทธิ์ใจเพียงใด เพราะที่ผ่านมาก็พยายามเข้าไปป้วนเปี้ยนบริเวณนั้นเพื่อให้ถูกจับ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ทราบจริงๆว่า เขามีเจตนาอย่างไร แต่การที่นายวีระเคยถูกจับ เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้การเจรจาขอตัวในครั้งนี้ทำได้ยากขึ้น

วีระทำซวยเจอยัดคุก
“ตอนแรกผมดีใจว่าเขาจะปล่อยอยู่แล้ว แต่พอเขาตรวจรายชื่อกัน และพบว่ามีชื่อคนที่เคยถูกจับมาก่อน เขาก็เลยมีปัญหา สำหรับตัวนายพนิช ที่อยู่ๆร่วมคณะเดินทางไปกับเขาด้วยนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน เมื่อคืนวานก็นั่งอยู่กับผม ประชุมกันอยู่ดี ๆ เช้าก็ไปเสียแล้ว ตอนนี้ก็พยายามตรวจสอบอยู่ว่าไปในฐานะอะไร เพื่ออะไร เพราะเขาไม่ได้บอกใครไว้ด้วย ส่วนทีมีข่าวว่านายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายพนิช เป็นผู้ไปเจรจาเป็นการภายในกับกลุ่มพันธมิตร อย่าเอาข่าวลือมาพูด ในสถานการณ์ที่เกิดเหตุแบบนี้ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรามันลุ่ม ๆ ดอน ๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดี และก็มีเหตุทางการเมืองเข้ามาแทรก พอ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปอยู่ในกัมพูชาก็เกิดความแข็งกร้าว มีปัญหากับเราไปพักหนึ่ง ตอนนี้ก็เริ่มผ่อนคลายลงและทำท่าจะดีอยู่แล้ว แต่ก็มีคนเข้าไปทำให้เกิดเหตุอีก เราก็ต้องระมัดระวัง”

บัวแก้ว-ทหารเร่งช่วย
นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ กล่าวเพียงสั้นๆก่อนเข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงการช่วยเหลือนายพนิช ว่า กำลังดำเนินการเจรจา ตอนนี้ทราบเพียงว่าจะขึ้นศาลแต่ยังไม่รู้ข้อหาใด
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องดูในรายละเอียดว่าการเข้าไปของคนไทยทั้ง 7 คนไทยนั้นผิดกฎหมายหรือไม่ หากไม่ผิดกฎหมายก็ต้องปล่อย เรื่องดังกล่าวต้องถามนายกษิต เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่ ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวถึงการช่วยเหลือว่า ไม่ต้องห่วง ขณะนี้กำลังเจรจากับทางกัมพูชา เพราะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการของกฎหมาย เรากำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาอยู่ ส่วนพล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้ขอให้ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงหารือกันอีกครั้งให้เคลียร์กันก่อน

พนิชไปตามคำสั่งนายกฯ

ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์ เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ นายสุเทพ นายกษิต พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สมช. เพื่อหารือเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือ 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับกุมโดยใช้เวลาหารือกว่า 1 ชั่วโมง
หลังจากนั้นนายกรัฐบาล พร้อมคณะ ร่วมแถลงข่าว โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายพนิช ได้รับมอบหมายให้ไปประสานงานกับกลุ่มคนที่มีความคิดในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา และได้แจ้งให้ตนทราบก่อนที่จะเดินทางลงไปดูพื้นที่ชายแดน เพราะมีประชาชนร้อนเรียนแต่ไม่ทราบเส้นทาง จนกระทั่งมาปรากฏเป็นข่าว ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องข้อเท็จจริงบริเวณนั้น จึงได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปในพื้นที่เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร

ลั่นต้องปล่อย-กษิตไปคุย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากฝั่งใดก็ควรได้รับการปล่อยตัวโดยเร็วที่สุด เพราะรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารือและเห็นพ้องต้องกันแล้วว่ากรณีที่ประชาชนของทั้งสองฝ่ายรุกล้ำเขตแดนเข้ามานั้นไม่ควรถูกจับกุมและเข้าสู่กระบวนการศาล ตนได้มอบหมายให้นายกษิต เดินทางไปกัมพูชาในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้เพื่อพบกับนายฮอ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศกัมพูชาที่กรุงพนมเปญ เพื่อยืนยันท่าทีและข้อตกลงร่วมกัน นอกจากนั้นขณะนี้ยังมีการประสานงานในทุกระดับ ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องเขตแดนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องมีกระบวนการเจรจาพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง

ต้องพิสูจน์โดนจับจุดใด
นายสุเทพ กล่าวหลังหารือว่า เป็นประเด็นที่ทางกัมพูชาอ้างอย่างนั้นว่าจับ 7 คนไทยได้ที่วัดโจ๊กเจีย ซึ่งวัดดังกล่าวอยู่เลยเขตของไทยเข้าไปแล้ว ซึ่งถ้าความจริงปรากฏว่าถูกจับที่วัดโจ๊กเจียจริง ๆ เราก็เถียงไม่ได้เลยว่าล้ำหรือไม่ล้ำ เพราะวัดโจ๊กเจียอยู่ในเขตของเขา ดังนั้นก็ต้องไปพิสูจน์กันว่าถูกจับที่วัดโจ๊กเจียจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ไม่ต้องเถียงเขา การเจรจาช่วยเหลือก็ต้องไปพูดกันด้วยวิธีการอื่น ขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ และทหาร ไปพิสูจน์จุดที่ถูกจับแล้ว
เมื่อถามว่าหากพิสูจน์แล้วพบว่า 7 คนไทยเข้าไปในพื้นที่กัมพูชาจริง โทษหนักขนาดไหน นายสุเทพ กล่าวว่า เท่าที่ทราบมีโทษ 3-5 ปี แต่เราก็จะพยายามพูดคุยกันว่า เป็นประเทศเพื่อนบ้านด้วยกัน และคนเหล่านี้ไม่ได้เข้าไปด้วยเจตนามุ่งร้ายต่ออธิปไตยของประเทศ ไม่มีการถืออาวุธเข้าไป เมื่อถามย้ำว่าแล้วกัมพูชาจะเชื่อหรือ เพราะเข้าไปพร้อมกับนายวีระ ที่เคยถูกจับกุมแล้ว นายสุเทพ กล่าวว่า “นั่นก็เป็นปัญหา” เมื่อถามว่ารู้สึกเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า “เป็นธรรมดา มันงานเข้า” ด้านนายกษิต กล่าวว่า จะพยายามเดินหน้าประสานกับกัมพูชา เมื่อถามว่า เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ 7 คนไทยจะต้องถูกติดคุกในช่วงปีใหม่หรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ไม่มีคำว่าปีใหม่ ไม่มีหยุด

อุทาหรณ์สส.เข้าเขมร
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือนายพนิชว่า การแก้ปัญหาอาจต้องใช้วิธีการที่นิ่มนวล เพื่อไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งนี้จากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องพบว่านายพนิช เดินทางไปทำหน้าที่ส.ส. และนายพนิช เป็นหนึ่งในกรรมาธิการเจบีซี.ด้วย เมื่อได้รับการร้องเรียนจึงต้องไปหาข้อเท็จจริง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการหารือในที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯดังกล่าว อยากให้ส.ส.นำเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ว่า ต่อไปคนที่เกี่ยวข้องกับงานเหล่านี้ขอให้พึงระมัดระวังด้วย ส่วนที่มีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติที่เตรียมเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลนั้นอยากให้ให้เวลากับรัฐบาลในการแก้ปัญหาก่อน ไม่อยากให้มีการขยายผลจนกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
เมื่อถามว่านายพนิช เป็นอดีตเลขานุการรมว.ต่างประเทศ ไม่ทราบหรือว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดที่อ่อนไหว และต้องใช้ความระมัดระวัง นายเทพไท กล่าวว่า นายพนิช เดินทางไปส่วนตัว ถ้าเดินทางไปในนามตัวแทนขององค์กรก็จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยรับทราบ ส่วนที่มองกันว่าเรื่องนี้เป็นการตบหน้ารัฐบาลไทย ที่เคยประกาศว่าความสัมพันธ์ของสองประเทศพัฒนาขึ้นแล้วนั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องแยกกัน

ฟ้องศาลพนมเปญ7คนไทย
สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาว่า ทางการกัมพูชาได้ควบคุมตัวคนไทยทั้ง 7คน ซึ่งมีทั้ง นายพนิช นายวีระ และคณะ ไปยังศาลเทศบาลพนมเปญ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของกัมพูชาประกบตัวอย่างใกล้ชิด หลังลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยถูกจับกุมที่จังหวัดบันเตีย เมียนเจย ในเขตแดนของกัมพูชา
สำหรับความผิดทั้งสองข้อหานี้ หากศาลตัดสินว่าผิดจริงแล้ว ต้องรับโทษสูงสุดคือ จำคุก 18 เดือน และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ศาลนัดไต่สวนนัดหน้าเมื่อใด หลังการพิจารณาคดีแล้ว ทั้งนายพนิชและคนไทยอีก 6 คน มีท่าทีเสียใจขณะถูกตำรวจคุมตัวออกจากศาล และถูกนำตัวไปยังเรือนจำเปร ซาร์ ชานกรุงพนมเปญ
นายสก โรอุน รองอัยการศาลเทศบาลพนมเปญ เปิดเผยว่า ศาลได้แจ้งข้อหา 7 คนไทยว่า ลอบข้ามเขตแดนเข้ามาโดยผิดกฎหมายและรุกล้ำพื้นที่ทหารโดยมีเจตนาร้าย โดยระหว่างการพิจารณาคดี ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าทำข่าว และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศตึงเครียดขึ้นไปอีก หลังจากที่มีข้อพิพาทเรื่องดินแดนมานาน

ไม่ได้ล้ำ-หวั่นติดคุกยาว
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายพนิช ถูกจับกุม ว่า เดิมตนก็มีกำหนดการเดินทางไปกับนายพนิช ด้วย แต่บังเอิญติดภารกิจจึงไม่ได้ไป ทั้งนี้ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวเป็นการลงพื้นที่เพื่อดูข้อเท็จจริงเพื่อแก้ปัญหาข้อขัดแย้งตามที่ประชาชนแจ้งเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบ นายพนิช ในฐานะที่เป็นกรรมาธิการร่วมพิจารณากรอบเจบีซี จึงเดินทางไป ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการลุกล้ำพื้นที่ของประเทศกัมพูชา เบื้องต้นคาดว่าอาจจะเป็นความเข้าใจผิดเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถือว่าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้พิสูจน์สิทธิ์ หรือ เรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน
“หากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทับซ้อน ทางการของกัมพูชาไม่มีสิทธิที่จะมาจับตัวคนไทย แต่หากเป็นการเข้าใจผิดก็สามารถที่จะคุยกันได้ โดยไม่ต้องส่งขึ้นศาล ซึ่งการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวทั้งหมดขึ้นอยู่กับสมเด็จฯฮุนเซน เพียงคนเดียว คาดว่าเรื่องดังกล่าวอาจจะมีลักษณะคล้ายกับกรณีที่นายศิวรักษ์ โชติพงษ์ วิศวกรชาวไทยที่ถูกจับกุมฐานจารกรรมข้อมูลการเดินทางเยือนกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ผู้ที่ถูกจับจะถูกกักตัวระยะหนึ่ง และนำขึ้นสู่ศาลเพื่อรับฟังข้อกล่าวหาต่อไป” นายอรรถวิชช์ กล่าว

กษิตเจรจาเหลวฮอร์ นัมฮอง
ส่วนนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศของไทยได้เดินทางมาถึงกรุงพนมเปญแล้ว เพื่อหารือกับนายฮอร์ นัมฮอง รมว.ต่างประเทศของกัมพูชาในเรื่องนี้ แต่นายฮอร์ นัมฮอง เปิดเผยภายหลังการหารือว่า ตนได้แจ้งให้นายกษิตทราบว่าจะยังไม่มีการปล่อยตัวคนไทยทั้ง 7 คนในขณะนี้ ขอให้ศาลได้ทำหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงอะไรได้

บัวแก้วลงพื้นที่ดูจุดจับกุม
ต่อมาเวลา 13.30 น. นางวาสนา ห่อนบุญเหิม ผอ.กองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะฯ เดินทางมาตรวจสอบบริเวณชายแดนบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น มีนายศานิตย์ นาคสุขศรี ผวจ.สระแก้ว พ.ต.อ.ณัฐ สิงห์อุดม ผกก.ตชด.12 และ พ.ต.อ.สุบิน บุญเล็ก ผกก.สภ.โคกสูง ให้การต้อนรับและนำตรวจพื้นที่
ทั้งนี้นายศานิตย์ นำคณะไปดูหลักเขตแดนที่ 46 บ้านหนองจาน ซึ่งเป็นจุดที่ 7 คนไทยถูกทหารเขมรจับกุม โดยเมื่อเดินลงพื้นที่ห่างจากถนนศรีเพ็ญ (ถนนเลียบแนวชายแดน) ประมาณ 600 เมตร ซึ่งเป็นแนวลวดหนามของศูนย์อพยพบ้านหนองจานเก่า เมื่อพ้นแนวลวดหนามเป็นชุมชนชาวกัมพูชาที่ปลูกบ้านรวมกว่า 500 หลังคา เมื่อถึงแนวลวดหนามมองห่างจากแนวลวดหนามประมาณ 600 เมตร เป็นถนนเคห้า มีทหารกัมพูชาจำนวนมากมีอาวุธครบมือยืนเรียงราย แล้วส่งสัญญาณห้ามเจ้าหน้าที่รุกล้ำเกินแนวลวดหนาม ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องถอยกลับมายังถนนศรีเพ็ญ

จับเขตเขมร-เป็นจุดพิพาท
หลังจากนั้นนางวาสนา ตรวจสอบพื้นที่ซึ่งเป็นทุ่งนาของชาวบ้านคนไทย นำแผนที่มาประกอบการและมีการสอบถามพยานที่เดินทางมากับกลุ่ม 7 คนไทยที่ถูกจับ และสรุปได้ว่าคนไทยทั้ง 7 คน เดินข้ามแนวลวดหนามเข้าไปจนถึงถนนเคห้า ซึ่งเป็นถนนของกัมพูชาคู่ขนานกับถนนศรีเพ็ญของไทย และถูกจับกุมตัวบริเวณหน้าวัดวัดโจ๊กเจีย หรือวัดโชคชัย ในหมู่บ้านโจ๊กเจีย ซึ่งอยู่ห่างจากถนนศรีเพ็ญประมาณ 1,200 เมตร
นางวาสนา กล่าวว่า หลักเขตที่ 4647 และ 48 บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว คณะกรรมการเขตแดนยังไม่ได้เข้ามาสำรวจพื้นที่ในการปักปันเขตแดน ทำให้ประชาชนทั้งไทยและกัมพูชา เข้าใจคลาดเคลื่อนกรณีเขตแดน แต่ประชาชนทั้งสองประเทศต่างทำมาหากินกันในพื้นที่โดยไม่มีปัญหาใดๆ

กษิตพบ7คนไทยจี้ช่วยคดี
ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวง ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือระหว่างนายกษิต และนายฮอร์ นัมฮง ว่า จากข้อมูลที่ทั้งสองฝ่ายได้ตรวจสอบ ชัดเจนว่า ทั้ง 7 คนล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชา โดยน่าจะพลัดหลงเข้าไป เรื่องดังกล่าวได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยก็ให้ความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมดังกล่าว และหวังว่าจะมีการพิจารณาคดีโดยเร็ว โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ทั้งนี้นายกษิต มีโอกาสเข้าเยี่ยมคนไทย 7คนที่เรือนจำเปร ซาร์ ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จัดหาทนายความเพื่อสู้คดีให้แล้ว

พท.ติงพนิชขาดวุฒิภาวะ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายพนิช ถูกจับกุมพร้อมนายวีระ ว่า ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่คนระดับนายพนิช ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศถูกจับตัว เพราะน่าจะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎหมาย และสถานการณ์ที่ทั้ง 2 ประเทศกำลังมีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกันอยู่ การเดินทางเข้าไปโดยไม่มีการประสานกับทางกัมพูชาก่อนน่าจะเป็นเรื่องผิดปกติ ไม่แน่ใจว่ามีนัยยะทางการเมืองหรือไม่ และการที่นายพนิชเป็นส.ส.นั้น ยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะกระทำดังกล่าวของนายพนิช มันอาจส่งผลกระทบถึงประเทศไทยโดยรวม ถือว่าขาดวุฒิภาวะทางการเมืองอย่างมาก
“ส่วนตัวคิดว่านายพนิช คงมีเจตนาที่ดีที่จะเข้าไปหาข้อมูลเพื่อนำมาพิจารณาประกอบการเจรจา แต่การดำเนินการไม่เหมาะสม ในเรื่องนี้รัฐบาลต้องชี้แจงถึงการกระทำของนายพนิชให้ชัดเจน ถ้าหากรัฐบาลอยากให้ฝ่ายค้านประสานช่วยอีกแรงก็ยินดี เรามีความเป็นห่วงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฝ่ายค้านรู้สึกเป็นห่วงคือ เหตุการณ์ครั้งนี้นายวีระถูกจับกุมไปด้วย เกรงว่าจะคนบางกลุ่มปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นมาอีก อาจทำให้เกิดเรื่องบานปลายกระทบต่อปัญหาอื่นๆอีก” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

เจริญอัดอย่าขยายผล
นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมมาธิการร่วมพิจราณากรอบ เจบีซี กล่าวเรียกร้องให้นักการเมืองฝ่ายค้านยุติการนำประเด็นปัญหาชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชามาขยายผลเป็นประเด็นทางการเมือง เนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นบทสะท้อนของความขัดแย้งภายในประเทศ ดังนั้นควรที่จะร่วมสนับสนุนหรือร่วมระดมสมองเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา

พันธมิตรกดดันรัฐบาล
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 16.30 น. กลุ่มพันธมิตรฯ ประมาณ 20 คน นำโดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ เดินทางมายื่นหนังสือเร่งรัดให้รัฐบาลดำเนินการให้กัมพูชาปล่อยตัวคนไทยทั้ง 7 คน โดยไม่มีเงื่อนไขภายในเวลา 3 วัน และให้รัฐบาลดำเนินการเอาผิดกับทหารกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาจับคนไทยทั้ง 7 คนในดินแดนของไทย หากไม่มีคำตอบที่ชัดเจน วันที่ 31 ธ.ค.นี้จะเริ่มเคลื่อนไหวไปที่หน้ายูเอ็น และสถานทูตกัมพูชาต่อไป

ตอบโต้ไล่เขมรพ้นไทย
นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่และแกนนำพันธมิตรฯ เปิดเผยว่า แกนนำพันธมิตรฯทั้งหมดได้ประชุมด่วนที่บ้านพระอาทิตย์ ในกรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยขึ้นศาลกัมพูชา โดยพันธมิตรฯเตรียมออกแถลงการณ์นัดชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อกดดันรัฐบาลไทย ให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือโดยไม่จำเป็นต้องขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม หากรัฐบาลกัมพูชา ไม่ปล่อยตัวคนไทย รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการผลักดันชาวเขมรที่ลุกล้ำพื้นที่รอบเขาพระวิหารออกไปให้หมดโดยเร็วเพื่อเป็นการต่อรองและกดดันรัฐบาลกัมพูชาบ้าง
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะกัมพูชาไม่มีความเกรงใจรัฐบาลไทยและไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ การเดินพลัดหลงเข้าเขตแดนที่ชายแดนติดต่อกันเป็นเรื่องปกติที่ประเทศทั่วโลกอื่นๆที่ชายแดนติดกันก็มีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้นเสมอ แต่ไม่มีประเทศใดดำเนินการโหดเหี้ยมอย่างนี้เพราะทุกประเทศในโลกถือว่าเป็นเรื่องต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลด้วย ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่ดำเนินการอย่างใดพันธมิตรฯจะออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ก่อนวันที่ 25 ม.ค.54 ที่ได้นัดชุมนุมให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยูปี 43” นายสมศักดิ์ กล่าว

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สู้เพื่อชาติ อย่างผิดวิธี ก้อมีสิทธิ์ ติดคุก !!! แบบแกนนำ ทำไม่รู้ไม่เห็น ไม่ให้เป็นข่าว ...

ศาลอาญาสั่งจำคุก 85 นักรบศรีวิชัยบุกสถานี NBT โดย 6 รายที่เป็นเยาวชนให้รอลงอาญา 2 ปี

ม็อบพันธมิตร
กลุ่มพันธมิตร

ศาลอาญารัชดา นัดอ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธเนศร์ คำชุม กับพวก รวม 85 คนซึ่งเป็นกลุ่มนักรบศรีวิชัยของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นจำเลยในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานเป็นช่องโจร ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือ จำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้เกิดความกลัวที่จะเกิดอันตรายต่อร่างกายเสรีภาพ หรือ ทรัพย์สิน และข้อหาอื่น รวมอีก 8 ข้อหา ตามคำฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 22-25 ส.ค. 2551 จำเลยทั้ง 82 คน กับพวกอีก 3 คน ซึ่งเป็นเยาวชนร่วมกันบุกอาคารสำนักงาน สถานี NBT พร้อมพกพาอาวุธจำนวนมาก จากนั้น จำเลย ได้ร่วมกันทำลายทรัพย์สิน รวมค่าความเสียหายกว่า 600,000 บาท ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของทางราชการ ในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ในข้อหาพกพาอาวุธ ส่วนจำเลยที่ 39 ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหาที่มีใบกระท่อมไว้ในครอบครอง แต่ภายหลังกลับให้การปฏิเสธ ส่วนข้อหาอื่น จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษา ในวันนี้เวลา 10.00 น.

ล่าสุด ศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว โดยพิพากษาให้จำเลยที่ 1-41 และ 43-85 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 วรรคแรก 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364 ,83 ขณะกระทำผิด ส่วนจำเลยที่ 30,47,81 อายุยังไม่เกิน 20 ปี เห็นสมควรลดโทษมาตราส่วนโทษ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 จำเลยที่ 83-85 อายุต่ำกว่า 18 ปี เห็นสมควรละโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 ฐานเป็นซ่องโจร

ดังนั้น จึงตัดสินจำคุกจำเลยที่ 1-29 ที่ 31-41 ที่ 43-46 ที่ 48-80 ที่ 82 คนละ1 ปี จำคุกจำเลยที่ 30 ที่ 47 ที่ 81 คนละ 8 เดือน สั่งจำคุกจำเลยที่ 83-85 คนละ 6 เดือน ฐานบุกรุก จำคุกจำเลยที่ 1-29 ,31-41 ,43-46,48-80 และที่ 82 คนละ 1ปี จำคุกจำเลยที่ 30 ,47,81 คนละ 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 83-85 คนละ 6 เดือน

ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 มีความผิด ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ.2490 เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน จำคุก 1 ปี และความผิด พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 และ 23 สั่งจำคุก 1 ปี

จำเลยที่ 2 มีความผิด ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน สั่งปรับ 1 พันบาท จำเลยที่ 39 และ 80 มีควมผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 สั่งปรับ 1 พันบาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 24 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 92 รวมเป็นจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน

ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1-41 และ 43-85 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จากกรณีร่วมกันบุกรุกอาคารสำนักงานสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืน

ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 และ 2 รับสารภาพความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม จำเลยที่ 1 รับสารภาพ ความผิดตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ จำเลยที่ 39 และ 80 ให้การรับสารภาพ จึงมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จึงคงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี 18 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 500 บาท

ส่วนจำเลยที่ 3-29 ,31-38 ,40,41,43-46 ,48-79 และ 82 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 39 และ 80 มีกำหนด 1ปี 6 เดือน ปรับ 500 บาท จำเลยที่ 30,47 และ 81 มีกำหนด 12 เดือน จำเลยที่ 83-85 มีกำหนด 9 เดือน จำเลยที่ 24 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 30 ,47,81,83,85 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน

ทั้งนี้ สำหรับจำเลยที่ 30,47 และ 81 อายุยังไม่เกิน 20 ปี ส่วนจำเลยที่ 83 และ 85 ยังเป็นเยาวชน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี และให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ,39 ,80 หากไม่ชำระค่าปรับ ให้ริบของกลางไว้ใช้ในงานราชการของสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความทรงจำ - สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ความทรงจำ
พระนิพนธ์
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ที่ทรงค้างไว้ ๕ ตอน

สำนักพิมพ์สมาคมสัมคมศาสตร์แห่งประเทศไทย

ลองอ่านกันในรูปแบบ ของ eMagazine
www.boonchoo.org/taksin/remember/remember.html


วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

งานกู้ชาติในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


เข้าถึงแบบ eMagazine
พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช - http://www.boonchoo.org/taksin/Taksin2/Taksin2.html
พงศาวดารกรุงธนบุรี - http://www.boonchoo.org/taksin/taksin.html
จาก http://www.oknation.net/blog/deksendsnews/2009/09/20/entry-12
ใครที่คิดว่าเรื่องของพระเจ้าตากสินจบลงที่ท่านถูกท่อนไม้จันทน์ตีจนสิ้นพระชนม์นั้นคิดผิด !!

ความจริงคนที่ถูกตีเป็นพี่น้องต่างมารดาของท่าน ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายท่านมาก ตัวท่านเองหลบไปอุปสมบทอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในถ้ำแห่งหนึ่งจนมรณภาพ

นี่คือความลับที่ไม่มีเขียนในพงศาวดาร จริงหรือไม่!

เหตุผลที่พระเจ้าตากต้องหนีหนี้
1.ไม่มีเงินใช้เค้า พระเจ้าตากต้องไปยืมเงินมาจากที่ประเทศจีน
เนื่องจากเพื่อนบ้านไม่มีคนมีเงินและพระเจ้าตากเป็นคนที่มีเชื้อสายจีน
ทำให้ยืมเงินจากจีนได้ง่าย แต่ผลจาการเสียกรุงศรีนั้นทรัพย์สินของประเทศได้เสียหายไปมาก รวมทั้ง นาไร่ด้วยทำให้ไม่มีข้าวกิน รวมทั้งเงินที่จะอามาทำการบูรณะบ้านเมืองนั้นก็ต้องใช้เป็นจำนวนมากจึทำให้ต้องยืมเงินจากจีน เมื่อยืมเงินมาไม่มีใช้จีนก็จะเอาทรัพย์สินในเมืองไทยไปขัดดอก พระเจ้าตากไม่สามารถรบกับจีนได้เพราะเสี่ยงแพ้สูง
เนื่องจากจีนในช่วงนั้นก็แข็งแกร่งไม่น้อย คนก็เยอะกว่า จึงเสี่ยงที่จะทำสงครามด้วย จึงยอมหนีหนี้
เพราะตัวเองเป็นคนทำสัญญาถ้าตัวเองตายไปสัญญาก็จะเป็นโมฆะ (ไม่เช่นนั้นเมืองไทยเราคงต้องถูกเป็นเมืองขึ้น)
2.แกล้งสร้างเรื่องกบฎในไทยเพื่อให้พม่าคิดว่าไทยมีปัญหา แล้วให้
ร.1 มาปราบเพราะเห็นว่าร.1เป็นคนเดียวที่สามารถเป็นกษัตริย์ได้
จึงให้ ร.1 มาปราบกบฎ เมื่อพม่าเห็นก็คิดว่า ร.1มีความสามารถมาก จะเกรงกลัวร.1มากขึ้นทำให้ป้องกันประเทศได้ง่าย

....ทั้งพระเจ้าตากและร.1 ทั้งสองพระองค์ดุจสหายร่วมสายเลือด ที่ไม่มีวันฆ่ากันได้ ทั้งสองพระองค์ต้องกล้ำกลืนฝืนทนไม่แพ้กันกับประวัติศาสตร์ที่จะบันทึกต่อไปในภายภาคหน้า
....ต่างคนยอมสละเกียรติได้เพื่อบ้านเมืองและประชาชน เพราะนั่นคือทศพิธราชธรรมแห่งวีรกษัตริย์
...พระองค์หนึ่งต้องถูกบันทึกเป็นผู้ที่วิกลจริตจากการปฏิบัติธรรม ทั้งที่พระองค์ทรงลึกซึ้งในวิปัสนากรรมฐานที่ไม่ทำให้ใครเสียสติได้เพราะเป็นธรรมแห่งสติปัญญา(มิใช่สมถะกรรมฐาน)
...อีกพระองค์หนึ่งจะต้องถูกบันทึกเป็นกบฏชิงราชบัลลังค์ ฆ่าผู้มีพระคุณ ซึ่งไม่มีวันที่นักรบผู้เปี่ยมกตัญญูจะทำได้ .....
...แต่ทั้งสองพระองค์เต็มใจรับข้อกล่าวหานี้ที่จะมีขึ้นไปอีกยาวนานหลายร้อยปี นั่นก็เพราะเป็นทางเดียวที่ทำให้สยามประเทศคงอิสระภาพอยู่ได้....
...ทหารนับแสนได้พลีชีพเพื่อแผ่นดิน..ทั้งสองพระองค์ก็ทรงเป็นทหารที่หลั่งเลือดเพื่อแผ่นดินเหมือนกัน เรื่องราชสมบัติ เกียรติยศล้วนเป็นเรื่องเล็ก หากเทียบกับผืนแผ่นดินที่จะยั่งยืนต่อไปในภายภาคหน้า ...
...ถึงลูกหลานจะเข้าใจท่านทั้งสองผิดไปเพราะประวิติศาสตร์ที่ท่านทั้งสองจำใจสร้างขึ้น ก็ดีเสียกว่าไม่มีแผ่นดิน ไม่มีอิสระภาพ หรือไม่มีลูกหลาน มาให้นึกถึงท่านไม่ว่าทางใดก็ตาม.
...เปรียบเสมือนที่ในหลวงของเราเคยดำรัสไว้ ว่าการปิดทองหลังพระเป็นการทำความดีที่ไม่จำเป็นให้ใครต้องรู้ ซึ่งหากไม่มีผู้ที่ปิดทองหลังพระแล้ว พระจะเป็นพระที่เรืองรองทั้งองค์ได้อย่างไร....

...นี่คือวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งยิ่งของมหาบุรุษทั้งสองพระองค์....

...กระผมขอยกตัวอย่างคำจารึก แห่งองค์พระเจ้าตาก มีใจความว่า \\"ตัวเรารู้ดีว่า มิใช่คนสยามหากแต่เป็นคนจีน แต่ก็เกิดในแผ่นดินนี้ต้องรักในแผ่นดินนี้ บัดนี้ ได้กอบกู้อิสระภาพคืนแก่แผ่นดินนี้ จะปกปักรักษา และฟื้นฟูพระพุทธศาสนากลับมารุ่งเรือง แต่ยังไม่ลืมว่าแผ่นดินนี้เป็นของชาวสยาม หากมีชาวสยามผู้ใดสามารถดูแลรักษาแผ่นดินนี้แลพระพุทธศาสนาได้ดียิ่งกว่าเราแล้วไซร้ เราเต็มใจยกแผ่นดินที่เรากู้มานี้ให้โดยมิเสียดาย......\\"

***นี่เป็นเรื่องจริงที่ถูกบิดเบือน ทุกคนจงอย่าเข้าใจผิดคิดว่าไม่ภูมิใจที่พระเจ้าตากสินมหาราชหนีหนี้แต่ขอจงอ่านเหตุผลให้ออก ที่พระองค์ทรงทำก็เพื่อประเทศชาติไทย...

***กระทู้นี้มีไว้เพื่อให้ลูกหลานของท่านและชาวไทยทั้งหลายรู้ว่าพวกเราเป็นหนี้บุญคุณท่านอยู่ ดังนั้นขอจงสามัคคีกัน อย่าทะเลาะกันอีกเลยถือว่าให้เกียรติท่านเถิด ขนาดอ่านเท่านี้เรายังน้ำตาคลอเลยเพราะเราไม่เคยรู้มาก่อน

** ดังนั้น 2กษัตริย์ที่เราไม่ควรลืมพระคุณก็คือ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1(ร.๑) และ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

งานกู้ชาติในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/taksin/taksin.htm


สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้ชาติไทยจากพม่า เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในขณะที่เมืองไทยอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะพม่าทำสงครามกับไทยครั้งนี้ ไม่ได้คิดจะรักษาเมืองเมืองไทยไว้เป็นเมืองขึ้น หมายแต่จะเอาทรัพย์สมบัติ กับกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย เพื่อเอาไว้ใช้สอยในเมืองพม่า เมื่อพม่าตีเมืองไหนได้ จึงเผาเสียทั้งเมืองน้อยเมืองใหญ่ ตลอดจนกรุงศรีอยุธยา แล้วเลิกทัพกลับไป คงทิ้งกำลังไว้ส่วนหนึ่งเพื่อคอย แสวงหาทรัพย์สมบัติและผู้คนที่ตกค้างอยู่ เพื่อรวบรวมส่งไปเมืองพม่าต่อไป ด้วยเหตุนี้พม่าจึงยังมีอำนาจอยู่ในพื้นที่กรุงศรีอยุธยา และหัวเมืองใกล้เคียง ส่วนหัวเมืองที่ไม่ได้เสียแก่พม่า เมื่อไม่มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองก็กลายเป็นเมืองอิสระ ที่เป็นเมืองเล็กก็ยอมอ่อนน้อม ไปขึ้นอยู่กับเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง ผู้ที่เป็นเจ้าเมืองใหญ่ก็คิดตั้งตัวเป็นเจ้า ด้วย หวังจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินไทยต่อไป เมืองไทยในครั้งนั้นจึงแตกออกเป็นกลุ่มเป็นพวก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นอกจากจะกู้ประเทศไทยกลับคืนจากพม่าอันเป็นภารกิจหลักแล้ว ยังต้องทรงรวบรวมเมืองไทย ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นแต่ก่อน ตลอดรัชสมัยของพระองค์ และทรงทำได้สำเร็จด้วยพระอัจฉริยภาพ และพระปรีชากล้าหาญของพระองค์ จนประสพผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ นำประเทศไทยกลับมามีเอกราชและยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย


การรวมตัวกันเป็นชุมนุมต่าง ๆ

ในเวลานั้นเมืองไทยได้แตกออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ รวมแล้วได้ 5 ชุมนุมด้วยกัน แต่ละชุมนุมมีขนาดและกำลังไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน และครอบครองพื้นที่ครอบคลุมเมืองไทยไว้ทั้งหมด ดังนี้

ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก
ตั้งตัวเป็นเจ้าอยู่ที่เมืองพิษณุโลก มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัยลงมาถึงเมืองนครสวรรค์ เจ้าพระยาพิษณุโลกชื่อเรือง เป็นผู้ทีมีความสามารถสูง เมื่อรบกับพม่าครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาก็ปรากฎว่ามีฝีมือเข้มแข็งไม่แพ้พม่า จึงมีผู้นิยมนับถือมาก แม้ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยา ก็หนีไปเข้าด้วยกับเจ้าพระยาพิษณุโลกเป็นจำนวนมาก

ชุมนุมเจ้าพระฝาง
ตั้งตัวเป็นเจ้าทั้งที่เป็นพระอยู่ที่เมืองสวางคบุรี ขณะที่เป็นสังฆราชเมืองสวางคบุรี อยู่ที่วัดพระฝาง เจ้าพระฝางชื่อเรือน แรกบวชได้ลงมาเล่าเรียนอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา จนเป็นที่พระพากุลเถร เป็นพระราชาคณะฝ่ายอรัญวาสีอยู่ที่วัดศรีอโยธยา ได้กลับไปอยู่ที่วัดพระฝาง ตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ เมืองสวางคบุรีอยู่เหนือเมืองพิชัย มีอาณาเขตต่อแดนเมืองแพร่ เมืองน่าน และเมืองหลวงพระบาง ผู้คนพลเมืองเป็นลาวโดยมาก เจ้าพระฝางมีชื่อเสียงในทางวิทยาคม ผู้คนนับถือว่าเป็นผู้วิเศษ

ชุมนุมเจ้านคร
ตั้งตัวเป็นเจ้าที่เมืองนครศรีธรรมราช ตัวเจ้านครเป็นพระปลัดผู้รั้งเมืองนครศรีธรรมราช ชื่อหนู ชุมนุมนี้มีอาณาเขตตอนใต้ต่อแดนมลายู ทางเหนือถึงเมืองชุมพร เจ้านครเป็นเชื้อสายเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้เข้ามาถวายตัวทำราชการอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ได้เป็นที่หลวงสิทธิ์นายเวรมหาดเล็ก แล้วจึงได้กลับไปเป็นปลัดเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาพระยาราชสุภาวดี ซึ่งได้เป็นเจ้าพระยานคร ฯ มีความผิดต้องออกจากตำแหน่ง พระปลัดผู้นี้จึงได้รั้งราชการเมืองนคร ฯ จนถึงคราวเสียกรุงศรีอยุธยา

ชุมนุม กรมหมื่นเทพพิพิธ หรือเจ้าพิมาย
ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองพิมาย มณฑลนครราชสีมา กรมหมื่นเทพพิพิธ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระเจ้าบรมโกศ ได้ออกทรงผนวชในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ แล้วคิดร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน จึงถูกนำตัวไปปล่อยที่เกาะลังกา เมื่อพระเจ้าอลองพญายกทัพมาตีเมืองไทย จึงได้หนีมาอยู่ที่เมืองมะริด และถูกคุมตัวไว้ที่เมืองนั้น เมื่อพม่ามาตีเมืองมะริด จึงได้หนีไปอยู่เมืองเพชรบุรี แล้วถูกคุมตัวไว้ที่เมืองจันทบุรี เมื่อพม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา กรมหมื่นเทพพิพิธได้รวบรวมชาวหัวเมืองชายทะเลตะวันออก ยกกำลังเข้ามาจะช่วยรบพม่า โดยมาตั้งทัพอยู่ที่เมืองปราจีนบุรี ให้กองทัพหน้ามาตั้งอยู่ที่ปากน้ำโยทะกา พม่ายกกองทัพเข้าตีกองทัพหน้าแตก กรมหมื่นเทพพิพิธจึงหนีไปทางเมืองนครราชสีมาไปตั้งกำลังอยู่ที่ด่านโคกพระยา แล้วไปเกลี้ยกล่อมพระยานครราชสีมาให้เข้าด้วย แต่ไม่สำเร็จ จึงคิดอ่านให้ลอบฆ่าพระยานครราชสีมาเสีย แล้วชิงเมืองนครราชสีมาได้ แต่อยู่ได้ไม่กี่วัน หลวงแพ่งน้องพระยานครราชสีมาไปเกณฑ์กำลังคน จากเมืองพิมายซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองนครราชสีมา มาตีเมืองนครราชสีมาได้ จับได้กรมหมื่นเทพพิพิธกับพวกข้าในกรมได้ จะให้ประหารชีวิต แต่พระพิมายขอไว้ ให้ไปอยู่ที่เมืองพิมาย เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า พระพิมายนับถือราชตระกูล จึงยกกรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็นใหญ่ และได้คิดอุบายจับหลวงแพ่งฆ่าเสีย กรมหมื่นเทพพิพิธก็ได้อาณาเขตคลอดมณฑลนครราชสีมา


ชุมนุมพระยาตาก (สิน)

ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองจันทบุรี มีอาณาเขตตั้งแต่ต่อแดนกัมพูชามาจนถึงเมืองชลบุรี พระยาตากเดิมอยู่กรุงศรีอยุธยา แล้วขึ้นไปรับราชการที่เมืองเหนือ จนได้เป็นเจ้าเมืองตาก ครั้นพม่าเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยา พระยาตากถูกเกณฑ์มาช่วยรักษาพระนคร มีฝีมือรบพุ่งเข้มแข็ง ได้รับบำเหน็จความชอบ ให้เลื่อนเป็นพระยากำแพงเพชร แต่ไม่ทันได้มีโอกาสไปครองเมือง เนื่องจากต้องสู้ศึกติดพันอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา การต่อสู้เพื่อรักษาพระนครหลายครั้ง มีเหตุการณ์ที่ทำให้พระยาตากเกิดท้อใจ กล่าวคือ ครั้งหนึ่ง พระยาตากนำกำลังออกไปรบชนะพม่า ตีค่ายพม่าได้ แต่ขาดกำลังหนุนจากพระนคร จำต้องถอยกำลังกลับมา ครั้งที่สอง พระยาตากได้รับมอบให้ไปคอยสกัดกำลังพม่าที่วัดใหญ่ พร้อมกันกับพระยาเพชรบุรี เมื่อเดือน 12 ปีจอ ฝ่ายพม่ายกกำลังทางเรือลัดทุ่งนามา พระยาตากเห็นว่าเหลือกำลังที่จะต่อสู้ได้ แต่พระยาเพชรบุรีขืนยกกำลังออกไปรบ จึงเสียทีแก่พม่า พระยาตากก็ถูกกล่าวหาว่าทิ้งให้พระยาเพชรบุรีเป็นอันตราย และครั้งหลังสุด ก่อนจะเสียกรุงศรีอยุธยาประมาณ 3 เดือน วันหนึ่ง พม่ายกกำลังเข้ามาทางด้านตะวันออกของพระนคร ที่พระยาตากรักษาอยู่ ได้ใช้ปืนใหญ่ยิงโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน จึงต้องถูกภาคทัณฑ์ เนื่องจากมีหมายสั่งว่า ถ้ากองไหนจะยิงปืนใหญ่ ต้องขออนุญาตที่ศาลาลูกขุนก่อน

พระยาตากเห็นว่า ถ้าอยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไป ก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ครั้นถึงวันเสาร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือนยี่ ปีจอ พ.ศ. 2309 พระยาตากเห็นพม่าตั้งล้อมกระชั้นเข้ามาจวนถึงคูพระนคร จึงรวบรวมพรรคพวกได้ประมาณ 500 คน พอตกค่ำก็ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย ตีฝ่าวงล้อมของพม่าไปทางทิศตะวันออก ฝ่ายพม่าก็ไล่ติดตามไปทันที่บ้านโพธิสังหาร (โพธิสาวหาญ) ครั้นรุ่งเช้าพระยาตากก็นำกำลังเข้าต่อสู้กับพม่า จนพม่าแตกกลับไป แล้วจึงนำกำลังไปตั้งพักที่บ้านพรานนก ขณะนั้นมีกองกำลังพม่าอีกกองหนึ่ง มีกำลังพลเดินเท้า 200 คน กับพลม้าอีก 30 ม้า ยกมาจากบางคาง แขวงเมืองปราจีนบุรี พระยาตากนำกำลังเข้าตีแตกหนีไป พวกชาวบ้านที่หลบหนีพม่าอยู่ ทราบเรื่องพระยาตากต่อสู้มีชัยชนะพม่าก็ดีใจ พากันมาเข้าด้วยเป็นจำนวนมาก พระยาตากนำกำลังไปทางนาเริง และเมืองนครนายก แล้วไปทางด่านกบแจะข้ามลำน้ำเมืองปราจีนบุรีไปตั้งพักอยู่ทางชายดงศรีมหาโพธิฟากตะวันออก
ฝ่ายพวกพม่าที่แตกหนีไปนั้น ก็ได้แจ้งเรื่องให้นายทัพพม่าซึ่งตั้งอยู่ที่ปากน้ำเจ้าโล้ ทางใต้ของเมืองปราจีนบุรี นายทัพพม่าจึงแบ่งกำลัง ยกติดตามกองกำลังของพระยาตากไป ทั้งทางบก และทางเรือ พระยาตากรู้ว่าพม่าตามมา จึงให้กองครัวและพวกที่หาเสบียงอาหารรับล่วงหน้าไปก่อน แล้วเลือกชัยภูมิใช้พงไม้กำบังแทนแนวค่ายซุ่มกำลังไว้ แล้วใช้กำลังพลประมาณ 100 คน ออกไปรบล่อข้าศึกให้รุกไล่เข้าไปในพื้นที่ที่ซุ่มกำลังไว้ เมื่อได้ทางปืนแล้ว ก็ให้โจมตีพร้อมกัน กองกำลังพม่าก็แตกหนีไป ตั้งแต่นั้นมาพม่าก็มิได้ติดตามต่อไปอีก

พระยาตากยกกำลังผ่านเขตเมืองฉะเชิงเทราเมืองชลบุรีไปจนถึงบ้านนาเกลือ แขวงเมืองบางละมุง กิตติศัพท์ที่พระยาตากต่อสู้เอาชนะพม่าได้หลายครั้งนั้น เป็นที่เลื่องลือ จึงมีผู้คนมาเข้าด้วยเป็นจำนวนมาก จนสามารถจัดกำลังเป็นกองทัพได้ จากนั้นจึงได้ยกกำลังไปถึงเมืองระยอง เมื่อวันข้างแรม เดือนยี่ ปีจอ นั้น เพื่อที่จะใช้เมืองระยองเป็นที่ตั้งมั่นรวบรวมกำลังที่จะทำการต่อไป
ฝ่ายพระระยอง เห็นว่าเหลือกำลังจะสู้ได้จึงพาผู้คนมาอ่อนน้อมถึงกลางทาง พระยาตากจึงยกกำลังไปตั้งค่ายอยู่ที่วัดลุ่ม นอกบริเวณค่ายเก่า พวกกรมการเมืองได้คบคิดกัน เข้าปล้นค่ายพระยาตากเวลากลางคืน แต่พระยาตากรู้ตัวก่อน จึงวางกำลังตั้งรับอยู่ในค่าย เมื่อฝ่ายเมืองระยองยกกำลังเข้าปล้นค่าย จึงเสียทีหนีกลับไป พระยาตากก็ยกกำลังเข้าตามตี จนได้เมืองระยองในคืนวันนั้น เมื่อตั้งมั่นอยู่ที่เมืองระยองได้ คนทั่วไปจึงพากันเรียกพระยาตากว่า เจ้าตาก ตั้งแต่นั้นมา


การสร้างความเป็นปึกแผ่น

จากนั้นเจ้าตากจึงแต่งให้ทูตถือศุภอักษรไปยังพระยาจันทบุรี ขอให้มาช่วยกันปราบปรามพม่า เพื่อกู้กรุงศรีอยุธยา ตอนแรกพระยาจันทบุรีก็สนองด้วยด้วยดี ได้มอบเสบียงอาหารมาช่วยก่อน ต่อมาเกิดไม่ไว้ใจจึงไม่ได้มาพบเจ้าตากตามที่ตกลงกันไว้ ครั้นต่อมา กองทัพเจ้าตากจับหนังสือเนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่าที่ค่ายโพธิสามต้น ที่มีไปถึงพระยาจันทบุรี ให้เข้าไปอ่อนน้อมพม่าแต่โดยดี จึงเห็นว่าเป็นการดี ที่พระยาจันทบุรีจะได้ตัดสินใจว่าจะเข้ากับฝ่ายใด ขั้นต่อมา เจ้าตากได้แต่งทูตให้ถือศุภอักษรไปถึงพระยาราชาเศรษฐี เจ้าเมืองบันทายมาศ ขอให้ยกกองทัพมาช่วยกันกู้กรุงศรีอยุธยา พระยาราชาเศรษฐีก็ตอบรับด้วยดีโดย แต่งทูตให้ถือศุภอักษร มายังเจ้าตาก ขอผลัดว่า พอให้สิ้นฤดูมรสุมแล้วจะยกกองทัพมาช่วย
ครั้นถึงเดือน 5 ปีกุน พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่ข้าศึก ความคิดของผู้ที่มีกำลัง และอำนาจอยู่ตามหัวเมืองก็เปลี่ยนแปลง พระยาจันทบุรีก็นิ่งเฉยอยู่ ฝ่ายขุนรามหมื่นซ่องกรมการเก่าเมืองระยอง ซึ่งเคยปล้นค่ายพระยาตากแล้วหนีไปนั้น ก็ไปตั้งกำลังซ่องสุมอยู่ที่เมืองแกลง อันเป็นเมืองขึ้นของเมืองจันทบุรี ก็ได้คุมสมัครพรรคพวกมาปล้น แย่งชิงช้างม้าพาหนะของเจ้าตากในหมู่นั้นด้วย เจ้าตากจึงยกกำลังไปกำราบ ขุนรามหมื่นซ่องสู้ไม่ได้จึงหนีไปอยู่กับพระยาจันทบุรี
เจ้าตากเห็นว่า การที่จะทำกำลังให้เป็นปึกแผ่นในพื้นที่ภาคตะวันออก จะต้องดำเนินการเป็นขั้นตอน ในขณะนั้น เมืองชลบุรี มีนายทองอยู่นกเล็กตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ เจ้าตากจึงยกกำลังมายังเมืองชลบุรี ตั้งอยู่ที่หนองมนต่อแดนเมืองบางละมุง แล้วยกกำลังต่อไปยังเมืองชลบุรี ไปตั้งอยู่ที่วัดหลวง จากนั้น ได้ส่งคนไปเกลี้ยกล่อมนายทองอยู่นกเล็กให้อ่อนน้อม เมื่อนายทองอยู่นกเล็กเข้ามาอ่อนน้อมแล้ว เจ้าตากจึงตั้งให้เป็นที่พระยาอนุราชบุรี ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองชลบุรี แล้วเจ้าตากก็ยกกำลังกลับไปเมืองระยอง
ฝ่ายพระยาจันทบุรี เห็นว่าเจ้าตากมีกำลังเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ เกรงอันตรายจะมาถึงเมืองจันทบุรี จึงได้นิมนต์พระสงฆ์ 4 รูป ให้เป็นทูตมาเชิญเจ้าตากลงไปที่เมืองจันทบุรี พร้อมกับแจ้งว่า เต็มใจที่จะช่วยเจ้าตากกู้บ้านเมือง แต่เนื่องจากระยองเป็นเมืองเล็ก จึงขอเชิญเจ้าตากไปตั้งที่เมืองจันทบุรี เจ้าตากทราบดังนั้นจึงยกกำลังไปเมืองจันทบุรี เมื่อไปถึงบางกระจะหัวแหวนซึ่งอยู่ห่างจากเมืองจันทบุรี 200 เส้น พระยาจันทบุรีก็ให้หลวงปลัดมารับและแจ้งว่า พระยาจันทบุรีได้จัดที่ไว้ ให้ตั้งทำเนียบที่พักริมน้ำข้างฟากใต้ ตรงเมืองข้าม เจ้าตากไม่ไว้วางใจ จึงให้นำกำลังไปทางเหนือ เข้าไปตั้งอยู่ที่วัดแก้ว ห่างจากประตูท่าช้างเมืองจันทบุรี ประมาณ 5 เส้น พระยาจันทบุรีเห็นดังนั้น จึงให้ไพร่พลเข้ารักษาหน้าที่เชิงเทิน แล้วให้ขุนพรหมธิบาล ซึ่งเป็นพระท้ายน้ำ ออกไปหาเจ้าตากเชิญเจ้าตาก ไปพบพระยาจันทบุรีที่ในเมือง เจ้าตากจึงสั่งขุนพรหมธิบาล ให้กลับไปบอกพระยาจันทบุรี มีความว่า เดิมพระยาจันทบุรีเชิญให้มาปรึกษาหารือ เพื่อจะช่วยกันคิดอ่านกู้กรุงศรีอยุธยาโดยสุจริต ตัวเราเดิมก็เป็นเจ้าเมือง ถือศักดินาหมื่น มียศใหญ่ เป็นผู้ใหญ่กว่าพระยาจันทบุรี (เมืองกำแพงเพชรเป็นหัวเมืองชั้นโท เมืองจันทบุรีเป็นหัวเมืองชั้นตรี) ครั้นมาถึงเมือง พระยาจันทบุรีมิได้ออกมาหาสู่ต้อนรับตามฉันผู้น้อยผู้ใหญ่ กลับเรียกระดมพลเข้าประจำรักษาหน้าที่เชิงเทิน และยังคบหาขุนรามหมื่นซ่องซึ่งได้ทำลายเราถึง 2 คราวเข้าไว้เป็นมิตร ทำตัวเหมือนหนึ่งว่าเป็นข้าศึกกับเราเช่นนี้ จะให้เราเข้าไปหาถึงในเมืองได้อย่างไร ถ้าจะให้เราเข้าไป ก็ให้พระยาจันทบุรีออกมาหาเราก่อน หรือมิฉะนั้น ก็ส่งตัวหมื่นซ่องออกมาทำสัตย์สาบาน ให้เราวางใจได้ก่อน เพื่อให้เห็นความสุจริตของพระยาจันทบุรี แต่พระยาจันทบุรีก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม เจ้าตากจึงสั่งไปบอกพระยาจันทบุรีว่า เมื่อไม่เห็นแก่ไมตรี ก็จงรักษาเมืองให้ดีเถิด
เจ้าตากพิจารณาแล้วเห็นว่า การตีเมืองจันทบุรีต้องชิงกระทำให้เสร็จโดยเร็ว เนื่องจากปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดแคลนเสบียงอาหาร ดังนั้น เมื่อได้สั่งการตีเมืองจันทบุรีในตอนค่ำ เมื่อทหารกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว จึงให้ทิ้งอาหารที่เหลือ และทุบหม้อข้าวทิ้งเสีย หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันในเมืองวันพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในคืนวันนี้ ก็ให้ตายด้วยกันทั้งหมด เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว พอได้เวลาดึก 3 นาฬิกา เจ้าตากก็ขึ้นช้างพังคีรีบัญชร ยิงปืนเป็นสัญญาณให้ทหารเข้าตีเมืองพร้อมกันทุกหน้าที่ ส่วนเจ้าตากก็ขับช้างที่นั่งเข้าพังประตูเมือง ทหารที่รักษาหน้าที่ก็ระดมยิงปืนใหญ่น้อยระดมมาเป็นอันมาก นายท้ายช้างที่นั่งเห็นดังนั้น เกรงว่าจะถูกเจ้าตาก จึงบังคับช้างให้ถอยออกมา เจ้าตากขัดพระทัยชัก พระแสงหันมาจะฟันนายช้าง นายช้างตกใจทูลขอชีวิตไว้ แล้วไสช้างกลับเข้ารื้อบานประตูพังลง พวกทหารก็เข้าเมืองได้ พระยาจันทบุรีก็พาครอบครัวลงเรือ หนีไปเมืองบันทายมาศ เจ้าตากตีเมืองจันทบุรีได้เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 7 ปีกุน พ.ศ. 2310 หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา แล้ว 1 เดือน

เมื่อเจ้าตากได้เมืองจันทบุรีแล้ว ก็เกลี้ยกล่อมผู้คนให้กลับคืนภูมิลำเนา แสดงความเมตตาอารีให้ปรากฎ มิได้ถือโทษผู้ที่ได้เป็นคู่ต่อสู้มาก่อน เมื่อจัดการเมืองจันทบุรีเรียบร้อยดีแล้ว จึงยกทัพลงไปเมืองตราด พวกกรมการและราษฎรก็พากันยอมอ่อนน้อม ขณะนั้นมีสำเภาจีนมาจอดทอดสมออยู่ที่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำ เจ้าตากให้ไปเรียกนายเรือมาเฝ้า พวกจีนขัดขืนและยังทำการต่อสู้ เจ้าตากจึงคุมเรือรบไปล้อมสำเภาไว้ มีการต่อสู้กันอยู่ครึ่งวันก็ยึดสำเภาไว้ได้ทั้งหมด เมื่อจัดการเมืองตราดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยกกำลังกลับมาตั้งที่เมืองจันทบุรี ตั้งแต่นั้นมา เจ้าตากก็มีอำนาจสิทธิขาด ตลอดทุกหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออก จึงตั้งต้นเตรียมการกอบกู้กรุงศรีอยุธยาต่อไป ขณะนั้นเจ้าตากอายุ 34 ปี


สงครามกู้ชาติ ตีค่ายพม่าที่โพธิสามต้น

หลังจากได้เมืองตราดแล้วก็ล่วงเข้าฤดูฝน ต้องหยุดยั้งการรบพุ่ง ในระหว่างนั้นก็ให้ลงมือต่อเรือรบ และรวบรวมเครื่องศัตราวุธ และยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ หมายจะยกมาชิงกรุงศรีอยุธยาจากพม่าในฤดูแล้ง ในระหว่างนั้น ข้าราชการเก่าในกรุงศรีอยุธยาที่หลบหนีพม่ามาได้ เมื่อทราบว่า เจ้าตากกำลังรวบรวมผู้คนที่จะกู้กรุงศรีอยุธยา ก็พากันมาเข้าด้วยเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญมีหลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก และนายสุดจินดาหุ้มแพร มหาดเล็ก ท่านผู้นี้ต่อมาคือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ครั้นถึงเดือน 11 ปีกุน พ.ศ. 2310 สิ้นมรสุม เจ้าตากต่อเรือรบได้ 100 ลำ รวบรวมกำลังพลได้ 4,000 คน ก็ยกกำลังจากเมืองจันทบุรี มาถึงเมืองชลบุรี พวกราษฎรพากันกล่าวโทษนายทองอยู่นกเล็ก ซึ่งเจ้าตากตั้งให้เป็นพระยาอนุราฐ อยู่รักษาเมืองชลบุรีว่าประพฤติเป็นโจร เมื่อชำระได้ความเป็นสัตย์ เจ้าตากก็ให้ประหารชีวิตเสีย เมื่อจัดการทางเมืองชลบุรีเสร็จแล้ว เจ้าตากก็ยกกองทัพเรือมาเข้าปากน้ำเจ้าพระยา ในวันข้างขึ้น เดือน 12


ฝ่ายนายทองอิน คนไทยซึ่งพม่าตั้งให้รักษาเมืองธนบุรี รู้ว่าเจ้าตากยกกองทัพเรือเข้ามาทางปากแม่น้ำ ก็รีบแจ้งให้สุกี้แม่ทัพพม่าที่ค่ายโพธิสามต้น แล้วให้จัดกำลังขึ้นรักษาป้อมวิชัยประสิทธิ์ และเข้ารักษาหน้าที่เชิงเทินเมืองธนบุรี เตรียมต่อสู้ เมื่อกองทัพเจ้าตากยกขึ้นมาถึง พวกรี้พลเห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกัน ก็ไม่เป็นใจที่จะต่อสู้ เจ้าตากจึงยึดได้เมืองธนบุรี จับตัวนายทองอินได้ให้ประหารชีวิตเสีย แล้วเร่งกองทัพขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยา สุกี้จึงให้มองย่านายทัพรองคุมกำลังพลมอญและไทยที่มาอยู่ด้วย ยกลงมาทางเรือมาตั้งสกัดอยู่ที่เพนียด พวกคนไทยที่มาในกองทัพมองย่า รู้ว่าเป็นกองทัพไทย ก็รวนเรหนีไปบ้าง มาเข้ากับเจ้าตากบ้าง มองย่าเห็นดังนั้น ก็รีบหนีเอาตัวรอดกลับไปค่ายโพธิสามต้น เจ้าตากก็ยกกำลังตามขึ้นไปถึงค่ายโพธิสามต้น ก็สั่งให้เข้าตีค่ายพม่าข้างฟากตะวันออกในตอนเช้า พอเวลา 9 นาฬิกาก็ตีได้ แล้วให้ทำบันได สำหรับปีนค่ายพม่าข้างฟากตะวันตก พอตกค่ำก็ให้พระยาพิพิธ พระยาพิชัย คุมกองทหารจีน ไปตั้งประชิดค่ายสุกี้ทางด้านวัดกลาง พอรุ่งเช้าก็ให้กองทหารไทย จีน เข้าระดมตีค่ายสุกี้พร้อมกัน ตั้งแต่เช้าจนเที่ยง ก็เข้าค่ายพม่าได้ สุกี้แม่ทัพพม่าตายในที่รบ ไพร่พลก็แตกหนีไปได้บ้าง ที่ยอมอ่อนน้อมก็มีเป็นอันมาก กรุงศรีอยุธยาก็กลับคืนมาเป็นของไทย
เจ้าตากตั้งทัพอยู่ที่ค่ายโพธิสามต้น พวกข้าราชการไทยที่พม่าจับเอาไว้หลายคน คือ พระยาธิเบศรบดี จางวางมหาดเล็กเป็นต้น พากันมาเฝ้าเจ้าตาก ทูลให้ทราบถึงเรื่องที่พระเจ้าเอกทัศสวรรคต สุกี้ให้ฝังพระบรมศพไว้ในพระนคร และทูลว่า ยังมีเจ้านายที่พม่าจับได้ ยังกักขังอยู่หลายพระองค์ พม่ายังไม่ได้ส่งไปเมืองอังวะ เจ้าตากทราบก็มีความสงสารจึงได้อุปการะไว้ สั่งให้จัดที่ให้เจ้านายประทับตามสมควร และปล่อยคนทั้งปวงที่พม่ากังขังไว้ ให้ปลูกเมรุที่ท้องสนามหลวง ให้สร้างพระโกศกับเครื่องประดับ สำหรับงานพระบรมศพ แล้วให้ขุดพระบรมศพพระเจ้าเอกทัศ เชิญลงพระโกศ เที่ยวหาพระสงฆ์ซึ่งยังมีเหลืออยู่ มารับทักษิณานุปทาน และสดับปกรณ์ตามประเพณี แล้วจึงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพ


เจ้าตากคิดจะปฏิสังขรณ์พระนครเพื่อตั้งเป็นราชธานีดังเดิม จึงขึ้นช้างเที่ยวสำรวจตรวจดูสภาพของกรุงศรีอยุธยา เห็นว่าถูกข้าศึกเผาทำลายเสียเป็นอันมาก ที่ยังดีอยู่นั้นน้อยก็สังเวชสลดพระทัย เห็นว่าเกินที่จะปฏิสังขรณ์ได้ จึงให้อพยพผู้คนลงมาตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองธนบุรี การที่เจ้าตากไม่ใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีต่อไป นั้นมีเหตุผลทางด้านยุทธวิธีอยู่มาก เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองใหญ่ กำลังพลของเจ้าตากที่มีอยู่ในขณะนั้นไม่เพียงพอที่จะรักษาอยู่ได้ เมืองธนบุรีตั้งอยู่ริมลำน้ำลึก ใกล้ทะเล ง่ายต่อการป้องกันตนตามกำลังที่มีอยู่ และเป็นทำเลทางหนีทีไล่ที่ดีกว่าเมืองอื่น นอกจากนั้น ยังมีเหตุผลทางด้านยุทธศาสตร์กล่าวคือ เมืองธนบุรีตั้งปิดปากน้ำ ที่บรรดาหัวเมืองเหนือทั้งปวง จะติดต่อไปมากับต่างประเทศเช่นเดียวกับกรุงศรีอยุธยา .-

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“ประชาวิวัฒน์” แทน “ประชานิยม” นโยบายภาครัฐ ที่สร้างความยั่งยืนให้กับสังคมหรือ หาเสียง


มีความเห็นจากหลายส่วนว่า การเรียนฟรี ไม่ใช่เป็นการเพิ่มมาตรฐานการศึกษา ภาคประชาชน แม้จะเป็นการเพิ่มโอกาส ในการเข้าถึง ที่ไม่ต่างกับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งต่างคนก้อต่างจับแนวคิดของตนเป็นหลัก ... จะทำอะไร นโยบายแบบไหน ถ้าเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง จะไม่ใช่ การจัดการปัญหาแบบลูกโซ่ที่นับวันยิ่งจะโยงใยสับสนมากขึ้น นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งควรจะนำมาปฏิบัติให้เกิดผลอย่างจริงจัง จะเป็นดังเสาเข็มที่ตอกยึดให้สังคมมีความเข้มแข็งและยั่งยืน

เหมือนปรเทศไทยซึ่งเป็นเกษตรสังคม แต่เราทิ้งผลผลิตให้เสียหาย มากถึง 25-35% เพราะขาดการบริหารจัดการ หรือไม่มีนโยบายที่ต่อเนื่อง ผมเคยจำลองระบบโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ ซึ่งเรามีเกือบครบแต่ ต้องลงทุนเพิ่มในส่วนคลังสินค้า ที่จะทำอย่างไรให้ ผลผลิตเสียหายน้อยที่สุด เพราะประชากรบนโลกใบนี้ ยังคงอยู่ในสภาวะขาดแคลนอาหาร - http://www.boonchoo.org/foryou/tapl.ppsx

December 17, 2010

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ว่าโครงการระดมสมอง “คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ” ที่รัฐบาลเริ่มมาตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ จะสิ้นสุดในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ โดยนายกรัฐมนตรีจะแถลงปิดโครงการ และประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาลช่วงต้นปีหน้า

นายกรณ์เลือกใช้คำอธิบายโครงการนี้ว่า “โครงการปฏิรูปการประชาภิวัฒน์” แทนคำว่า “ประชานิยม” ที่มักมีภาพไปผูกกับนโยบายของพรรคไทยรักไทยเดิม

โครงการนี้แบ่งออกเป็น 5 ด้าน

นโยบายทั้ง 5 ด้านประกอบด้วย

  1. การกระจายที่ดินทำกินและโฉนดชุมชน
  2. ลดภาระค่าครองชีพของคนที่มีรายได้น้อย
  3. แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ
  4. ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น
  5. ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

ในส่วนที่นายกรณ์ดูแลคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ ประกอบด้วย 3 เรื่องย่อย คือ

  • การขยายระบบสวัสดิการเพื่อแรงงานนอกระบบ
  • มาตราการสนับสนุนอาชีพอิสระ เช่น แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ หาบเร่
  • การจัดระบบสถาบันการเงินเพื่อพัฒนาชุมชน

จากคำสัมภาษณ์ของนายกรณ์บอกว่าจะสร้างประโยชน์ให้ประชาชน 10 ล้านคน มีเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น 10,000 ล้านบาท ส่วนแนวทาง “คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ” นำแนวคิดมาจากรัฐมนตรีคลังของมาเลเซีย

ที่มา – ไทยรัฐ

หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เผยข้อมูลจากแหล่งข่าวในกระทรวงการคลังว่า สำหรับนโยบายรัฐสวัสดิการของรัฐบาลอภิสิทธิ์ หากมองโดยภาพรวม ๆ แล้วแทบจะไม่ค่อยมีอะไรที่แตกต่างนโยบายประชานิยมของอดีตรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะส่วนใหญ่จะเป็นมาตรการที่หวังผลสัมฤทธิ์ในระยะสั้น และเน้นทุ่มเม็ดเงินลงไปที่กลุ่มคนในระดับฐานราก นอกจากนี้มีหลายมาตรการที่เป็นการสานต่อนโยบายของรัฐบาลชุดก่อน

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ว่า รัฐบาลมีเหตุผลความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องมีมาตรการเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจในปีนี้โตกว่า 7% และไม่ได้มีปัญหาเรื่องการหดตัวของเศรษฐกิจ

นายอารีพงศ์ ตอบว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเจริญเติบโต แต่ประชาชนที่จะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจยังมีน้อยอยู่ โดยเฉพาะเศรษฐกิจในระดับฐานรากซึ่งยังมีช่องว่างอยู่มาก ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเข้าไปดูแลและแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้การกระจายรายได้มีความเป็นธรรมมากขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าการดำเนินมาตรการต่าง ๆ สุดท้ายแล้วจะกลับมาเป็นภาระงบประมาณ ขณะนี้ทางกระทรวงการคลังได้ร่วมมือกับสำนักงบประมาณ ตั้งเป้าหมายที่จะทำงบประมาณแบบสมดุลให้ได้ภายใน 5 ปี

ดร.ตีรณ พงษ์มฆพัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มาตรการช่วยลดค่าครองชีพเป็นมาตรการช่วยเหลือเฉพาะหน้าเป็นการชั่วคราว แก้ไขปัญหาค่าครองชีพสูงและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ตอนนี้ผ่านช่วงนั้นมาแล้วก็ไม่ควรจะต่ออายุออกไปอีก โดยเฉพาะ 4 มาตรการแรกดูแล้วไม่ค่อยได้ผลเท่าไร น่าจะนำเงินส่วนที่ชดเชยนี้ไปปรับปรุงคุณภาพและบริการให้จะดีกว่า เพื่อให้ประชาชนหันมาใช้บริการสาธารณะมากกว่ารถยนต์ส่วนตัว

“มาตรการ ลดค่าครองชีพส่วนใหญ่น่าจะหมดอายุขัยแล้ว แต่ในส่วนของก๊าซหุงต้มสำหรับครัวเรือน อาจยังพอชะลอช่วยพยุงราคาต่อไปอีก แต่สุดท้ายแล้วก็จะต้องยกเลิกให้หมด”

ด้านนายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เห็นสอดคล้องกันว่าไม่ควรต่ออายุออกไปอีก เพราะจะยิ่งเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด ทำให้การใช้ทรัพยากรดังกล่าวผิดปริมาณไป และเม็ดเงินที่ใช้สำหรับอุดหนุนมาตรการค่าครองชีพเหล่านี้ก็ควรนำไปจัดทำ สวัสดิการอื่น ๆ อย่างจริงจังน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า

“หากจะทำรัฐสวัสดิการ น่าจะทำเรื่องสวัสดิการแบบตรง ๆ ให้ดี มีประสิทธิภาพจริง ๆ เช่น การศึกษาฟรี ก็ต้องฟรีจริง ๆ หรือไปทำสวัสดิการเกี่ยวกับประกันการว่างงาน หรือการฝึกอบรมอาชีพ เพราะถ้าสวัสดิการพื้นฐานดีแล้ว คนจนหรือผู้มีรายได้ น้อยก็จะดูแลตัวเองได้” ดร.สมชัยกล่าว

ที่มา – ประชาชาติธุรกิจ

คมชัดลึก : ศัพท์ใหม่ "ประชาวิวัฒน์" ประชาวิวัฒน์นั้นคือการขยายผลของอภิมหาประชานิยมภายใต้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะเป็นราคาหมู ไก่ ไข่ ไปจนถึงการกระชับพื้นที่หาบเร่ ช่วยเหลือมอเตอร์ไซค์ ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้กรอบของประชานิยมยี่ห้ออภิสิทธิ์ ที่เรียกว่าประชาวิวัฒน์ทั้งสิ้น คุณกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง บอกว่า รัฐบาลเตรียมจะออกโครงการปฏิบัติการประชาวิวัฒน์ "คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ" เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน

17 ธันวาคม นี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะรับฟังข้อสรุปของทีมนักวิชาการและหน่วยงานกว่า 30 แห่ง ก่อนจะประกาศใช้วันที่ 8 หรือ 9 มกราคม 2554

คุณกรณ์บอกว่า โครงการนี้จะช่วยเหลือคนที่อยู่นอกระบบกว่า 10 ล้านคน เช่น กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หาบเร่ แผงลอย ให้มีสิทธิ์ประกันสังคมเข้าถึงแหล่งทุนลดค่าครองชีพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร เรื่องส่วย หรือหัวคิวรายเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ และนั่นยังไม่รวมถึงมาตรการลดค่าครองชีพที่จะเน้นไปที่โครงสร้างราคาอาหาร เช่น ไข่ไก่ ไก่ สุกร รวมไปถึงพลังงาน ทั้งแก๊สแอลพีจี และค่าไฟฟ้า

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีคลังก็จะเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ต่ออายุมาตรการรถเมล์ และรถไฟฟรี รวมถึงค่าไฟฟ้าออกไป 1-2 เดือน จากเดิมสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2553 ทั้งสิ้นทั้งปวงนี้ถ้าออกมาในลักษณะช่วยเหลือคนยากคนจน คนไร้โอกาส ถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาล

แต่ขณะเดียวกัน ถ้าออกมาเป็นชุดอย่างนี้ใกล้กับการเลือกตั้งอย่างนี้ หนีไม่พ้นว่าจะถูกมองว่าเป็นอภิมหาประชานิยม เอาภาษีประชาชนไปเอาใจคนบางกลุ่ม เพื่อคะแนนเสียงของพรรคตัวเองหรือไม่

ฉะนั้นเส้นแบ่งระหว่างการหาเสียงกับการทำเพื่อคนไร้โอกาส คนด้อยโอกาสนั้นเบาบาง ต้องพิสูจน์กันตรงที่ว่าทำด้วยความจริงใจและจะลงไปถึงมือของประชาชนมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งจะต้องไม่เป็นภาระกับสถานะทางการเงินการคลังของบ้านเมือง

นั่นก็แปลว่าการกระทำนี้จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า นี่เป็นการทำเพื่อคนที่เขาต้องการความช่วยเหลือ มิใช่ยื่นไปเพื่อจะสร้างให้เกิดความรู้สึกต้องพึ่งพารัฐบาลตลอดไป ไม่สามารถสร้างพลังของสังคมให้ช่วยเหลือตัวเองเพื่อพัฒนาให้เป็นอำนาจของประชาชนอย่างยั่งยืนที่แท้จริง

นักการเมืองต้องพิสูจน์ว่า ไม่ใช่เพียงเพื่อเสียงของการเลือกตั้งคราวหน้า แต่เพื่อสร้างประชาชนให้แข็งแกร่งสามารถต่อรองกับนักการเมืองได้อย่างแท้จริง

สุทธิชัย หยุ่น


"ประชาวิวัฒน์"คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ คือนโยบายใหม่ของรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งวันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมารับมอบข้อเสนอของ 5 กลุ่ม เพื่อนำไปกลั่นกรองและสรุป ก่อนประกาศออกมาเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่คาดว่าจะประกาศในวันที่ 9 ม.ค. 2554 ซึ่งคาดว่านโยบายดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ประมาณ 10 ล้านคนคิดเป็นมูลค่าทางการเงินที่เพิ่มขึ้นหลักหมื่นล้านบาท


"ประชาวิวัฒน์ มีความคิดขึ้นมาหลังจากได้เจอกับเพื่อนสมัยเรียนและเขาทำงานกับรัฐมนตรีคลังมาเลเซียและยังได้แลกเปลี่ยนกับรมว.คลังมาเลเซียด้วย ซึ่งเขามี 12 ยุทธศาสตร์ชาติ ดังนั้นเราเองน่าจะมีแผนพัฒนา ช่วยเหลือที่ชัดเจน จึงมาปรึกษาท่านนายกฯซึ่งก็เห็นด้วย จึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาเป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์แล้วก่อนจะส่งมอบให้นายกฯ วันนี้" นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว
ส่งมอบประชาวิวัฒน์ให้นายกฯ วันนี้


โดยวานนี้ นายกรณ์ นำคณะสื่อมวลชนร่วมดูการทำงานของกลุ่มงานต่างๆ ตามนโยบาย ประชาวิวัฒน์ คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ ที่ศูนย์ราชการ ซึ่งนายกรณ์ กล่าวว่า หลังจากทำงานร่วมกันกว่า 5 สัปดาห์ในวันนี้ (17 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ จะมารับมอบข้อเสนอของ 5 กลุ่ม เพื่อนำไปกลั่นกรองและสรุป ก่อนประกาศออกมาเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่คาดว่าจะประกาศในวันที่ 9 ม.ค.2554
ประชาวิวัฒน์ 5 กลุ่ม
นายกรณ์ กล่าวว่า ประชาวิวัฒน์ คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ เป็นวาระเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศไทย แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม

1.การกระจายที่ดินทำกินและโฉนดชุมชน แนวทางดำเนินการ จะเร่งรัดกระบวนการออกโฉนดชุมชนให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ กระจายการถือครองที่ดินโดยเร่งรัดการใช้พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและมาตรการอื่นๆ
2. ลดภาระภาษีค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อย มีทั้งการขยายการเข้าถึงบริการสาธารณะของรัฐ ลดรายจ่ายพื้นฐานของผู้มีรายได้น้อย เช่น ค่าน้ำ ไฟ และค่าเดินทาง และจัดระบบสนับสนุนปัจจัยสี่ที่เหมาะสม
ตั้งวงเงินปล่อยกู้นอกระบบมากกว่า5พันล้าน
3.เศรษฐกิจนอกระบบ ได้แก่การขยายระบบสวัสดิการเพื่อแรงงานนอกระบบ มาตรการสนับสนุนอาชีพอิสระ เช่น แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ และหาบเร่แผงลอย และการจัดระบบสถาบันการเงินเพื่อพัฒนาชุมชน และองค์กรการเงินชุมชน
"เศรษฐกิจนอกระบบเราหวังให้เขามีหลักประกันที่ดี ลดรายจ่ายที่ไม่ควรจ่าย และเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น และที่สำคัญคนขับแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และแม่ค้า พ่อค้า จะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินจากสถาบันการเงินของรัฐ ที่ไม่ได้จำกัดว่าจะแค่ 5 พันล้านบาท แบงก์รัฐพร้อมสนับสนุนมากกว่าอยู่แล้ว"นายกรณ์ กล่าว
กลุ่มที่ 4 การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ปรับระเบียบและกลไกต่อต้านการทุจริตของรัฐ เปิดเผยข้อมูลสำคัญของรัฐผ่านอินเทอร์เน็ต และสร้างความมีส่วนร่วมเอกชนและประชาสังคม เพื่อสร้างเครือข่ายต่อต้านการทุจริต
กลุ่มที่ 5 การดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยจะกวดขัน และการปรับใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงอย่างเป็นระบบ และพัฒนากลไกการเฝ้าระวังภาคประชาชนผ่านเครือข่ายสื่อชุมชน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และระบบโทรทัศน์วงจรปิด

นายกรณ์ กล่าวว่า ในส่วนของตนเองในฐานะเลขาของคณะทำงานชุดนี้ จะรับผิดชอบ 3 มาตรการ คือลดค่าครองชีพ คือ อาหาร ไข่ หมู ไก่ พลังงาน ได้แก่เชื้อเพลิง ไฟฟ้า เศรษฐกิจนอบระบบ และการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ส่วนอีก 2 มาตรการ ที่ดินทำกิน และการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ดำเนินการโดยนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี


ยันไม่ใช่งบประมาณ
นายกรณ์ กล่าวว่า ประชาวิวัฒน์ คิดนอกกฎ บริหารนอกกรอบ เป็นการปฏิรูปการทำงานและแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนและรวมศูนย์ ความจำเป็นในการใช้งบประมาณจึงไม่มี อาจจะมีเพียงเล็กน้อยที่ต้องจัดสรรงบประมาณให้กรุงเทพมหานคร ในการจัดหาสถานที่ค้าขายให้แก่พ่อค้าและแม่ค้า รวมถึงการตีเส้นเหลือให้เป็นจุดจำหน่ายสินค้าได้ ส่วนสินเชื่อที่ให้แก่แท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ และพ่อค้านั้น ธนาคารของรัฐจะเป็นหน่วยงานสนับสนุนทางการเงิน
"แบงก์รัฐทุกแห่งได้เข้าแลปส์กับเราด้วยตลอด 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องเงินไม่มีปัญหา แต่จะทำอย่างไรให้เงินถึงมือผู้ต้องการเร็วขึ้น โดยมองเป้าหมายเป็นตัวตั้ง และมาแก้อุปสรรคทีหลัง อะไรที่จำเป็นต้องแก้ระเบียบ แก้กฎ หรือแก้กฎหมาย ก็ต้องทำเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย"นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลคาดหวังว่า มาตรการทั้งหมดที่จะประกาศเป็นแผนปฏิบัติการนั้น จะมีประชาชนได้รับประโยชน์มากกว่า 10 ล้านคน และคิดเป็นมูลค่าทางการเงินในหลักหมื่นล้านบาท

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ศาลปล่อยผี"จตุพร"คำสั่งที่ไม่ธรรมดา! - ไม่ต่างกับให้ประกัน เสธ.แดง ก่อน เหตุจลาจลเผากรุง ที่เสียหายใหญ่หลวง!!!

หลังคำสั่งยกคำร้องขอถอนประกัน"จตุพร พรหมพันธุ์"จำเลยคดีก่อการร้าย...ทำเอา"ธาริต เพ็งดิษฐ์"อธิบดีดีเอสไอ เกิดอาการเครียด!ที่ลงทุนลงแรง เดินขึ้นบันไดศาลเพื่อยื่นขอถอนประกันตัวด้วยตนเอง หลังผิดหวังในยกแรก กรณีอัยการไม่ยื่นถอนประกันตามที่ส่งหนังสือร้องขอไป

เหตุผลของศาลที่ว่า "ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงยกคำร้อง"...ถือเป็นเหตุผลสั้นๆและได้ใจความ กล่าวคือ"จตุพร พรหมพันธุ์"ยังไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขประกันตัว และ"จตุพร พรหมพันธุ์"ไม่ได้มีพฤติการณ์ตามที่ พนักงานสอบสวนดีเอสไอ กล่าวหา จึงถือว่า ยังไม่มีเหตุที่จะสั่งถอนประกัน"จตุพร"เพื่อนำตัวเขาเข้าไปคุมขังในเรือนจำ เหมือนกับจำเลยคนอื่นๆอีก 18 คน

มองมุมบวก...การที่ศาลมีคำสั่งเช่นนั้น ถือเป็นการให้ความเป็นธรรม กับตัว"จำเลย"หลังจากศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอ เสนอแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะทำให้เชื่อได้ว่า จำเลย ได้กระทำความผิด หรือ ทำผิดเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การถอนประกันตัวได้ จึงยกคำร้อง ...

ส่วนผลที่จะตามมาคือ"จตุพร พรหมพันธุ์"ส.ส.สายพันธุ์ดุ!!!...จะยังคงได้รับอิสระภาพนอกคุก การเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนเสื้อแดง ยังคงดำเนินต่อไปอย่างอิสระ ตารางเวลาการเคลื่อนม็อบ ของคนเสื้อแดง ยังคงดำเนินอยู่ โดยเฉพาะวันที่ 10 ธ.ค.นี้ ที่"จตุพร พรหมพันธุ์"ได้แถลงถึงกิจกรรมการชุมนุมของ นปช.ในวันดังกล่าวไว้ชัดเจนว่า...จะเริ่มในเวลา 17.00-20.00 น.ภายใต้หัวข้อการชุมนุม “8 เดือนผ่านฟ้า 78 ปี รัฐธรรมนูญ”โดยตำรวจคาดว่าจะมีผู้ร่วมกิจกรรมประมาณ 5,000 คน

แต่หากปฎิทินการเมืองในวันที่ 9 ธ.ค.วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพร้อมคู่ความคดียุบพรรคประชาธิปัติย์ 258 ล้าน และหากศาลวินิจฉัยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องอำนาจนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามที่ ทนายของพรรคประชาธิปัติย์ ยื่นให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาด และศาลวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว โดยเป็นคุณกับฝ่ายผู้ถูกร้อง คือ"ให้ยกคำร้องยุบพรรค" การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 10 ธ.ค.จะเป็นการเพิ่มเงื่อนไขเสริมแรงบวกให้ก่อความรุนแรงขึ้นได้หรือไม่ เมื่อ"จตุพร พรหมพันธุ์"จำเลยคดีก่อการร้าย ยังมีอิสระในฐานะแกนนำคนสำคัญ....

มองมุมลบ...จากคำสั่งศาลไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง จะเป็นการ สร้างแรงจูงใจให้กับ กลุ่มจำเลยแกนนำแดงที่นอนอยู่ในคุก ใช้เป็นช่องทาง นำมายกอ้างเป็นเหตุผลในการขอยื่นประกันตัวชั่วคราวอีกครั้ง ได้หรือไม่

กล่าวคือ...เมื่อ"จตุพร พรหมพันธุ์"และ"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ"รวมทั้งเพื่อนร่วมแก๊งที่อยู่ในคุก เขาได้กระทำความผิดและถูกฟ้องในข้อหาเดียวกันคือ ก่อการร้าย...แต่"จตุพร"ได้ประกันตัว เพราะมีเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ คุ้มครอง ขณะที่"ณัฐวุฒิและพวก"ไม่ได้ประกันตัว โดยที่คำสั่งยกคำร้องขอประกันตัวในทุกครั้ง ศาลเน้นย้ำเหตุผลว่า..."ข้อหาร่วมกันหรือใช้ผู้อื่นให้กระทำความผิดฐานก่อการร้าย มีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต และเป็นภัยแก่ประชาชนโดยส่วนรวม หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เกรงผู้ต้องหาหลบหนี ให้ยกคำร้อง"

โดยผลที่ตามมาคือ...ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.53 จนถึงวันนี้ "ณัฐวุฒิ และพวก"ถูกคุมขังในคุก ซึ่งบางเสี้ยวเวลาพวกเขาได้มีโอกาสนอนใช้มือก่ายหน้าผากและคิดว่า สิ่งที่ได้กระทำลงไป ผิดหรือถูก และต่อไปจะทำเช่นนั้นอีกหรือไม่...ขณะที่"จตุพร พรหมพันธุ์"หลังก่อเหตุเผาบ้านเผาเมือง เขายังไม่เคยได้ลิ้มรสชาดคนคุก แต่กลับใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่งตัวหล่อผูกเนคไท ใส่สูท ทำหน้าที่ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติในสภา ด้วยบทบาทลีลายียวนอภิปรายด่ากราด รัฐบาล ดีเอสไอ ทหาร ตำรวจ รวมทั้งศาลในบางกรณี ควบคู่ไปกับ เป็นแกนนำ นปช.ที่พูดปลุกระดมคนเสื้อแดงออกเคลื่อนไหวก่อม็อบอยู่ร่ำไป....

จากเหตุยกคำร้องขอถอนประกัน และหากจำเลยเสื้อแดง"แก๊งณัฐวุฒิ"ขอประกันตัวชั่วคราว ศาลจะอ้างเหตุผลอะไร ที่จะไม่ให้ประกันตัวพวกจำเลยที่ยังอยู่ในคุก!

เพราะหากอ้างเหตุผล เดิมๆคือ...."ข้อหาร่วมกันหรือใช้ผู้อื่นให้กระทำความผิดฐานก่อการร้าย มีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต และเป็นภัยแก่ประชาชนโดยส่วนรวม หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เกรงผู้ต้องหาหลบหนี ให้ยกคำร้อง"...อาจจะไม่ยุติธรรมกับ"แก๊งณัฐวุฒิ"เพราะในเมื่อ"จตุพร"ก็ทำผิดเหมือนกัน แต่ได้รับประกันตัว และเมื่อ ดีเอสไอ เห็นว่า เขาทำผิดเงื่อนไข หมดสมัยประชุมสภาแล้ว ยื่นขอถอนประกัน แต่ศาลท่านกลับ สั่งว่า"ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง".....ปล่อยผี จตุพร เอาแบบดื้อๆ...

ดังนั้นที่มองกันว่า...เหตุไม่ถอนประกัน"จตุพร พรหมพันธุ์"เพราะผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ ต้องการปรองดอง และกลัวจะเป็นการเพิ่มเงื่อนไขในการชุมนุมของคนเสื้อแดง จนนำไปสู่ความรุนแรงในภายหลังนั้น จะเป็นการคิดถูกหรือคิดผิด เพราะหาก กลัวคนชื่อ"จตุพร พรหมพันธุ์"จนเกินเหตุ!ก็จะทำให้กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ได้...นะครับ!

*** ให้ประกัน เสธ.แดง *** ทั้งที่ คนทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่มีใครเห็นด้วย ผบ.ตร. ยังทำหนังสือค้าน กลัวความวุ่นวาย แต่ศาลให้ประกันตัว จนมีการยั่วยุให้มีการจับอาวุธโต้ตอบอำนาจรัฐ - ก่อจลาจล - เผากรุงเผาศาลากลาง สร้างความเสียหายใหญ่หลวง สุดท้าย ... หาคนรับผิดชอบไม่ได้ - คนที่อนุญาตให้ประกัน เฉยทำไม่รู้ไม่เห็น ... !!!

ศาลอนุญาตประกันตัว "เสธ.แดง" กับลูกน้องอีก 6 คน เหลือเพียง "เคทอง" มือ ขวาคนสนิทต้องเข้าไปนอนคุก เนื่องจากหวั่นจะไปกระทำผิดลักษณะเดียวกันอีก นายพลทหารคนดังฉะแหลก รอง ผบก.ป.หักหลังจับสมุนมือทำเว็บไซต์ ส่วนกรมการขนส่งทางบกเช็กทะเบียนกงจักรที่ติดรถตู้แล้วพบเป็นของปลอม เตรียมหาเจ้าของรถแจ้งปลอมแปลงอีกกระทง ด้านน้าหลานคดีลอบปาบึมแบงก์บัวหลวง ถูกส่งเข้าเรือนจำ หลังไม่มีญาติขอปล่อยตัวชั่วคราว

คดี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ถูกจับดำเนินคดีพร้อมกับพวกข้อหาร่วมกันช่วยผู้ต้องหาโดยการให้ที่พำนัก หรือช่วยไม่ให้ถูกจับกุม มีและพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ หลังพานายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือ "เคทอง" ลูกน้องคนสนิท ผู้ต้องหาตามหมายจับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่โพสต์ข้อความก่อให้เกิดความตื่นตระหนกทางอินเตอร์เน็ต ซ่อนไว้ในรถตู้ติดแผ่นป้ายตรากงจักรระหว่างเดินทางไปสอบถามความคืบหน้าของคดีนายพรวัฒน์ที่กองปราบปราม กระทั่งทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาและควบคุมตัวอยู่ในห้องขังกองปราบฯ

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 8 มี.ค. พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทน ผบก.ป. พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ รอง ผบก.ป. พร้อมกำลังตำรวจหน่วยคอมมานโด กองปราบปรามอาวุธครบมือ ควบคุมตัว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทอง และลูกน้องอีก 6 คน ออกจากห้องขังเตรียมไปผัดฟ้องฝากขังที่ศาลอาญา โดยพนักงานสอบสวนจะยื่นคำร้องขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมด

กระทั่งเวลา 08.00 น. พ.ต.ท.วรทัศน์ วัฒนชัยนันท์ พนักงานสอบสวน บก.ป. นำคำร้องไปยื่นฝากขังครั้งแรก พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อายุ 59 ปี ว่าที่ ร.ต.สุรภัศ จันทิมา อายุ 27 ปี นายมงคล สารพัน อายุ 43 ปี นายจักรชลัส คงสุวรรณ อายุ 37 ปี นายเริงฤทธิ์ ตุ้มทองคำ อายุ 50 ปี นายจรัญ ลอยพูล อายุ 40 ปี นายสุวิทย์ คีรีรักษ์ อายุ 39 ปี และนายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทอง อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาที่ 1-8 ในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, มาตรา 189 และมาตรา 371 เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 8-19 มี.ค.นี้ เนื่องจากต้องสอบสวนพยานอีก 7 ปาก รอผลตรวจพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหาและอาวุธปืน

คำร้องระบุว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 53 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมผู้ต้องหาที่ 1-8 พร้อมปืนสั้น เครื่องกระสุนปืน และมีดรวม 8 รายการ รถตู้โตโยต้า สีขาว ทะเบียน ตรากงจักร 2481 อีก 1 คัน พล.ต.ขัตติยะ ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นนายทหารสัญญาบัตรอยู่ระหว่างพักราชการตามคำสั่งกระทรวงกลาโหม ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง นำความเสื่อมเสียมาสู่สถาบันกองทัพ สร้างความแตกแยกในหมู่คณะและสังคมส่วนรวม กับพวกนั่งรถตู้ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอมให้เข้าใจเป็นรถที่ใช้ในราชการทหาร และบังอาจพกพาอาวุธปืน 5 กระบอก เข้าไปยังกองบังคับการปราบปราม ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย ตำรวจยังตรวจพบว่าผู้ต้องหาที่ 1-7 ช่วยเหลือซ่อนเร้นนายพรวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 8 ซึ่งถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับอยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุม ซ่อนไว้ในรถตู้ จึงจับกุมทั้งหมดดำเนินคดี ชั้นจับกุมและสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัว ผู้ต้องหาทั้งหมด เนื่องจาก พล.ต.ขัตติยะเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่กองปราบปรามมีความเห็นสั่งฟ้องในคดีที่มีการกล่าวหาว่ากระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และมียุทธภัณฑ์ 16 รายการไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คดีดังกล่าวผู้ต้องหาเลื่อนนัดหลายครั้ง มีพฤติการณ์จะหลบหนี เพราะเดินทางเข้าออกต่างประเทศหลายครั้ง ประกอบกับ พล.ต.ขัตติยะมีพฤติการณ์ให้ข่าวลักษณะที่มีการข่มขู่ผ่านสื่อมวลชนหลายครั้งว่าจะมีการประทุษร้ายบุคคลสำคัญ ทรัพย์สิน สถานที่ราชการสำคัญ รวมทั้งผู้ที่จะมาชุมนุม โดยใช้ความรุนแรงในการก่อเหตุร้ายต่างๆ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ และยังมีการประกาศจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธในนาม "นักรบพระเจ้าตาก"มาแล้วในอดีต

วันเกิดเหตุ พล.ต.ขัตติยะยังพาผู้ต้องหาที่ 2-8 พกพาอาวุธปืนและมีดไปในกองปราบปรามโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย ผู้ต้องหาที่ 1-8 ยังเกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดง หรือ นปช. ที่จะมีการชุมนุมในระยะเวลาอันใกล้นี้ จึงอาจสร้างความวุ่นวายและความเสียหายให้ประชาชนและประเทศชาติ หรืออาจก่อเหตุอันตรายในประการอื่นให้สังคมในที่สาธารณะและที่ส่วนบุคคล สำหรับผู้ต้องหาที่ 2-8 จากการสืบสวนทราบเป็นกลุ่มบุคคลที่พยายามใช้ความรุนแรงในการก่อเหตุเพื่อให้เกิดความวุ่นวายภายในประเทศ และยังปรากฏเป็นข่าวตามสื่อมวลชนว่า ผู้ต้องหาที่ 8 พูดจาข่มขู่ผ่านทางอินเตอร์เน็ต หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เกรงว่าผู้ต้องหาจะก่อเหตุอันตราย หรืออาจเป็นอุปสรรค หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวน ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้

ส่วนนายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทอง ยังโดนในคดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลัง พ.ต.ท.สุพจน์ คำวงศ์ษา พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ยื่นฝากขังต่อศาลระบุว่า ระหว่างวันที่ 26-27 ก.พ.53 เวลากลางคืน นายพรวัฒน์จัดรายการเผยแพร่ภาพและเสียงผ่านระบบแคมฟร็อกซ์ทางอินเตอร์เน็ตอยู่ใน เว็บไซต์ www.youtube.com ปรากฏข้อความสร้างความปั่นป่วนก่อให้เกิดความตื่นตระหนกต่อประชาชน ต่อมาเกิดเหตุระเบิดที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม แสมดำ ศรีนครินทร์ พระประแดง รวม 4 จุด กระทั่งผู้ต้องหาถูกจับกุมตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ลงวันที่ 5 มี.ค.53 และหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ลงวันที่ 4 มี.ค.53 ดำเนินคดีความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลนั้นเป็นเท็จ หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ในชั้นจับกุมและสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เกรงว่าจะหลบหนีเนื่องจากถูกดำเนินคดีหลายสำนวน และจะก่อให้เกิดภยันตรายต่อสาธารณชน เพราะผู้ต้องหาประกาศให้เป็นที่ปรากฏแก่ประชาชนว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนมากดดันการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน หรือมาปิดล้อมกองบังคับการปราบปรามซึ่งเป็นสถานที่ราชการในวันที่ผู้ต้องหากับพวกถูกจับกุม ประกอบกับการสอบสวนไม่พบผู้ต้องหาประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งเพียงแต่มีอาชีพรับจ้างเท่านั้น

ต่อมานายณฤเมธ ภูพวงจันทร์ ทนายความยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน จ.นครนายก และจ.นครปฐม ประมาณ 3 ไร่เศษ ราคาประเมิน 1,875,900 บาท ขอประกันตัว พล.ต.ขัตติยะกับพวกรวม 8 คน ศาลพิจารณาคำร้อง และหลักทรัพย์ที่ พล.ต.ขัตติยะกับพวกยื่นประกันแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 200,000 บาท และกำชับ พล.ต.ขัตติยะไม่ให้ข่าวที่มีลักษณะของการข่มขู่ผ่านสื่อมวลชนว่าจะมีการประทุษร้ายต่อบุคคลสำคัญ ทรัพย์สิน และสถานที่ราชการ รวมทั้งผู้ที่จะมาชุมนุมโดยให้ใช้ความรุนแรง แต่รายของนายพรวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 8 ศาลพิเคราะห์แล้วหากปล่อยตัวชั่วคราวเชื่อว่าจะกระทำผิดลักษณะเดียวกันอีก จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ก่อนคุมตัวไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ภายหลังได้รับการประกันตัว พล.ต.ขัตติยะ กับพวกเข้าไปเยี่ยมนายพรวัฒน์ที่ยังอยู่ห้องขังใต้ถุนศาลในช่วงแรกนายพรวัฒน์ยังมีอาการดีอยู่ แต่พอทราบว่าทุกคนได้รับการประกันยกเว้นตัวเอง นายพรวัฒน์ถึงกับมีสีหน้าเศร้าสลดคว้าผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาจน พล.ต.ขัตติยะต้องเข้าจับมือให้กำลังใจ จากนั้น พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า ขอตำหนิการทำหน้าที่ของ พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร รอง ผบก.ป. ที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิตำรวจไทย ถือเป็นการหักหลังตนที่นำตัวนายพรวัฒน์เข้ามอบตัวด้วยการจับกุมดำเนินคดี แถมยังคัดค้านการประกันตัว เรื่องนี้คงต้องปรึกษาทีมกฎหมายว่าจะสามารถดำเนินการฟ้องกลับได้หรือไม่

สายวันเดียวกัน พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ณัฐกร ประภายนต์ รอง ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ต.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ สว.กก.1 บก.ป. นำกำลังชุดสืบสวนค้นห้องเลขที่ 2507 ชั้น 5 อาคารศิริรัตน์แมนชั่น ซอยลาดพร้าว 140 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. ของว่าที่ ร.ต.สุรภัศ จันทิมา ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมพร้อม พล.ต.ขัตติยะ และเป็นเลขานุการส่วนตัวของ พล.ต.ขัตติยะ แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ส่วนนายทหารสังกัดกรมการขนส่งทหารบก 2 นาย เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ไพรินทร์ แจ่มจำรัส พงส. (สบ 3) กก.1 บก.ป. เพื่อนำเอกสารการตรวจสอบรถตู้โตโยต้า สีขาว ทะเบียนตรากงจักร 2481 ที่เสธ.แดง กับพวกใช้เป็นยานพาหนะ ยืนยันว่าแผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวไม่ใช่แผ่นป้ายทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบกออกให้ ส่วนเลขทะเบียนนั้นตรวจสอบแล้วพบเป็นเลขทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบกออกให้กับรถยนต์ที่อยู่ในหน่วยงานของกองทัพบกหน่วยหนึ่ง ไม่ใช่รถตู้คันนี้ จึงเตรียมหาตัวเจ้าของรถเพื่อแจ้งข้อหาตามความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมด้วย

สำหรับคดีสองน้าหลานร่วมกันกับพวกลอบปาระเบิดถล่มธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ วันเดียวกัน พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ควบคุมตัวนายเอกชัย มูลเกษ อายุ 21 ปี และนายไสว ยางสันเทียะ อายุ 42 ปี น้าชาย ไปยื่นคำร้องขอฝากขังที่ศาลครั้งแรก คำร้องระบุ เมื่อวันที่ 27 ก.พ.53 เวลากลางคืน นายไสวชักชวนนายเอกชัย หลานชาย ให้ ขี่รถ จยย.พาผู้ต้องหาอีกรายที่ยังหลบหนีไปขว้างระเบิดใส่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม ทำให้กระจกตู้โทรศัพท์สาธารณะแตก กระจกด้านหน้าธนาคารเสียหาย ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ มีอัตราโทษสูง หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เกรงผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ตามคำร้อง ขณะเดียวกัน ไม่มีญาติมายื่นคำร้องขอประกันตัวทั้งคู่ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำสองน้าหลานคดีปาบึมธนาคารเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทันที

ศาล…บนทางแพร่ง - เจริญ คัมภีรภา

เจริญ คัมภีรภาพ: ศาล…บนทางแพร่ง

Wed, 2010-10-06 21:18

เจริญ คัมภีรภาพ

คนที่คิดและมองว่า “กฎหมาย” “ศาล” และ“ความยุติธรรม” (Justice) เป็นสิ่งเดียวกันหนึ่งหรือ เป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้อีกหนึ่งนั้น มักจะมีกรอบและกระบวนคิดเชิงวิเคราะห์ที่รู้จักกันในแวดวงวิชาการว่าเป็นวิธีคิดแบบเชิงโครงสร้าง (structural analysis) ซึ่งมีหนทางการพิจารณาปัญหาอย่างเป็นเหตุปัจจัยต่อกันในมุมมองที่กว้างขวาง ยืดหยุ่นและ อย่างมีพลวัตเมื่อถึงเวลาที่ต้องให้เหตุผลทางกฎหมายต่อการปรับใช้ “กฎหมาย” และ “ข้อเท็จจริง” ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองจึงมุ่งและให้ความสำคัญไปที่ความเป็นธรรมและยุติธรรมในปลายทาง มากกว่าความต้องการเชิงสัญลักษณ์ตามรูปแบบพิธีเพียงเพื่อให้ได้รู้ว่า มีการบังคับใช้อำนาจจากศาล ให้ปรากฎแก่สังคมถึงการมีอยู่ของกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่ว่านั้น บ้างก็ว่าเพื่อต้องการให้เกิดความศักดิ์สิทธิของกฎหมาย และ การมีอยู่ของกฎเกณฑ์ที่ได้ประกาศใช้ในขณะที่อีกกลุ่มความคิดซึ่งไม่ให้ความสนใจหรือเคร่งครัดพิจารณาใคร่ครวญกับความเป็นกฎหมายที่จะต้องนำมาบังคับใช้ว่าเป็นกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ ที่มีที่มาที่ไปจากสถาบันทางการเมืองที่มีอำนาจหน้าที่โดยถูกต้อง เป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือไม่ วัฒนธรรมทางกฎหมายแบบหลังนี้จึงติดหล่มมัวเมาอยู่แต่ในกับดักทางความคิดทางกฎหมาย เป็นไปตามวาทะกรรมที่บันดากลุ่มนิติบริกรมักอ้างความชอบด้วยกฎหมายในแนวทางของตนเองอยู่เสมอว่า เป็นความยุติธรรมตามกฎหมาย หรือ Justice by Laws ที่จะโอนอ่อนผ่อนตามแบบต้นอ้อลู่ไปตามลมซึ่งขึ้นกับว่าใครมีอำนาจในเวลานั้น ๆ เป็นผู้สร้างกฎหมายนั้นมา เช่นถ้าผู้มีอำนาจเป็นคณะรัฐประหารยึดอำนาจรัฐมาโดยวิธีนอกรัฐธรรมนูญฯ ประกาศ คำสั่งใด ๆ ออกมาก็จะถือว่า ประกาศหรือคำสั่งนั้น ๆ เป็น “กฎหมาย” เทียบเคียงกับกฎหมายที่ตราขึ้นจาก“รัฐสภา” ซึ่งเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีอำนาจหน้าที่ที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทำนองเดียวกันกับการประกาศ คำสั่ง ฉุกเฉินใด ๆ ที่ประกาศใช้จากสถานการณ์พิเศษใด ๆ ก็คงยึดถือเป็น “กฎหมาย” อยู่อย่างนั้น ผลผลิตของวัฒนธรรมทางความคิดในการใช้กฎหมาย (Legal Culture) เช่นนี้ส่งผลอย่างมีนัยะสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวิทยาการเมือง จากการไม่ยอมรับรู้และยินดียินร้ายต่อกกฎหมายหรือคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม หรือ เป็นกฎหมายที่มีที่มาที่ไม่ถูกต้องที่คงเป็นเรื่องยากที่จะหาความยุติธรรม ๆ ได้ ในประการสำคัญการใช้กฎหมายตามวัฒนธรรมตามความคิดดังกล่าวนี้ ยิ่งกลับมีส่วนช่วยบ่มเพาะและสร้างเผด็จการอำนาจนิยมพลเรือนขึ้นมาในสังคม ซึ่งมักใช้วาทะกรรมเพื่อแอบอ้างซ่อนเร้นอำพรางตัวเองแบบข้าง ๆ คู ๆ รองรับการครองอำนาจของตนเองและคณะ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับหรือถูกต้องตามทำนองคลองธรรมว่าเพื่อปกป้องหลักนิติรัฐ (Legal State) หรือ ปกป้องหลักนิติธรรม Rule of law ซึ่งแท้ที่จริงคือการปกป้อง การกระทำและบรรดากฎหมายและคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมที่พวกตนได้ประกาศใช้ ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับหลักการที่กล่าวอ้างมาทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ชนิดที่เจ้าของทฤษฎีที่วางรากฐานความคิดได้ยินได้ฟังแล้ว ต้องเป็นลมล้มพับที่ได้รู้ได้เห็นการบิดเบือนหลักการของตนเองแบบหน้าตาเฉย ยิ่งถูกนำไปใช้อย่างผิด ๆ จากอำนาจศาล (Judicial power) ด้วยแล้วยิ่งก่อผลกระทบที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น

การปรับและประยุกต์ใช้ กฎหมายภายใต้วัฒนธรรมทางกฎหมายข้างต้นนี้ ไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังของประชาชนและสังคม ที่มักมีความเชื่อที่คล้าย ๆ กันว่า“ศาล” เป็น “สถานที่” ที่ความขัดแย้งมายุติ อย่าง “ยุติธรรม” หรือ“เป็นธรรม”ไม่ใช่ สถานที่ ที่ทำหน้าที่ “ยุติความเป็นธรรม” หรือที่ ๆ ทำให้ความยุติธรรมเป็นธรรมนั้นหมดไป แม้แต่การยกย่องและให้ความสำคัญต่อศาลอยู่ในฐานะที่สูงกว่าสถาบันทางสังคมอื่น ว่าเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนก็ล้วนสะท้อนบทบาทและความสำคัญของศาลว่ามีความสำคัญอย่างไรด้วยเหตุนี้คุณค่าและเยื่อใยของสังคมและประชาชนที่มีต่อศาลจึงอยู่ที่ ความยุติธรรม เป็นธรรม มากกว่า กฎหมายเพราะ กฎหมายอาจจะไม่เป็นธรรมก็ได้ จึงไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความยุติธรรม ความในข้อนี้ผู้เขียนเคยสนทนาแลกเปลี่ยนและได้ฟังเสียงสะท้อนทำนองเดียวกันนี้จาก อดีตท่านประธานศาลฏีกาของอินเดียที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง โดยท่านกล่าวเชิงตำหนิสถานศึกษาด้านนิติศาสตร์ทั่วโลกที่มัวแต่อบรมสั่งสอนกฎหมาย แต่ไม่ได้สอนเกี่ยวกับความยุติธรรม (They study laws but not for justice) เลยทำให้การใช้กฎหมายของรัฐเป็นไปแบบเทคนิคกลไกหลีกหนีออกจากความยุติธรรมและเป็นธรรม (ผู้เขียนเพิ่มเติมเอง)

เมื่อพิจารณาแนวคิดที่มองความยุติธรรมแตกต่างกันในสังคมระหว่างคนที่ใช้กฎหมาย กับสังคมที่ถูกกฎหมายมาบังคับ กลับพบสิ่งที่เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ ประชาชนและสังคมพิจารณากฎหมาย ความยุติธรรมและศาลเป็นแบบองค์รวมเกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในขณะที่มีนักกฎหมายจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นผลผลิตของระบบการศึกษากฎหมายแบบอดีตประธานศาลฎีกาอินเดียท่านว่า กลับมองความยุติธรรมและศาลอยู่ที่ “กฎหมาย” ยิ่งเป็นและมาจากความคิดเห็นที่มาจากศาลด้วยแล้วที่ว่า เมื่อมีกฎหมายกำหนดไว้อย่างไรก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย ประหนึ่งว่าศาลมีบทบาทหน้าที่ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย กฎหมายจะดีเป็นธรรมหรือไม่ก็เป็นคนละเรื่องกับการรักษาบังคับใช้กฎหมาย

ปัญหาวิกฤติบ้านเมืองของเราเวลานี้หลาย ๆ เรื่อง กำลังถูกผลักดันเข้าสู่ข้อพิจารณาทาง“กฎหมาย” ในท้ายที่สุด เพราะสถานการณ์ทางสังคมวิทยาการเมืองกำลังผลักดันปัญหาที่หมักหมมซับซ้อนให้ไปจบหรืออาศัยการวินิจฉัยชี้ขาดโดย“ศาล” ในทุกข้อขัดแย้งโดยไม่สนใจว่าจะเป็นความขัดแย้งในเรื่องอะไร เพื่อหวังอย่างเดียวว่า ให้ทุกอย่างจบลงเอยเสียทีภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้เองจึงเป็นการชักนำ “ศาล” เข้าสู่ขบวนการขัดแย้งที่สลับซับซ้อนหลายเงื่อนปมที่หลายฝ่ายเป็นผู้ก่อขึ้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงปัญหาเรื่อง“เขตอำนาจศาล” และ “ความสามารถของศาล (Competent court)” ก็เป็นปัญหาใหญ่ต่างหากอีกเรื่องที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วย ทำให้สถานะศาลในเวลานี้อยู่บนทางแพร่งที่ศาลต้องต้องเลือกเดินอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง ถึงกับเป็นบทชี้อนาคตของคำว่า “มีมาตรฐาน” และ “ไม่มีมาตรฐาน” ของอำนาจศาลในประเทศไทยว่า จะเดินไปในทิศทางใด

ถึงกระนั้นก็ตามความขัดแย้งที่พัฒนาคลี่คลายมาถึงเวลานี้ แม้การจำต้องพิพากษาตัดสินชี้ขาดข้อขัดแย้งซึ่งศาลยังไม่สามารถสลัดตัวเองออกจากวัฒนธรรมการใช้กฎหมายแบบเก่า ๆ อย่างที่กล่าวมา ที่มุ่งตอบสนองและให้ความสำคัญกับ“กฎหมาย” อันเป็นรากฐานของการระงับข้อขัดแย้งหรือการบังคับใช้กฎหมายก็ตาม ปัญหาที่จะทำให้ศาลไทยหนักอกและเป็นภาระที่ต้องทำมากยิ่งขึ้น เมื่อคู่กรณียกระดับความขัดแย้งโดยใช้สิทธิโต้แย้งหรือขยายขอบเขตประเด็นการต่อสู้คดีถึง ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายหรือกฎหมายที่ว่าจะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จริงไม่มีความถูกต้อง ขาดความสมบูรณ์ ไม่เป็นกฎหมาย หรือ เป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม สอดคล้องกับมาตรฐานสากล (International Standard)หรือ เป็นไปตามพันธะกรณีระหว่างประเทศ (International obligations) ที่ผูกพันธ์ประเทศไทยหรือแม้แต่กฎหมายที่จะนำมาปรับใช้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฯแล้วแต่กรณี ย่อมทำให้กระบวนการใช้ดุลพินิจหรือการพิจารณาพิพากษาของศาลต้องมีความรอบคอบรัดกุมชนิดแบบมั่วไม่ได้เลย ทั้งกระบวนการก่อนมาสู่ศาล (before the court) และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล เพราะแม้ศาลยังอยู่ในวัฒนธรรมการใช้กฎหมายแบบเดิม ๆ แต่คำว่า “กฎหมาย” ที่ศาลต้องนำมาปรับใช้ (must be used) นั้นมีบริบทกว้างขวางมากกว่าไกลกว่า มีมาตรฐานและหลักประกันมากกว่า ในประการสำคัญหากศาลจะต้องเดินตามแนวทางอย่างที่นิติบริกรว่า เป็นความยุติธรรมตามกฎหมาย ศาลต้องเลือกเส้นทางเดินอยู่ดีว่า จะพิพากษาตามกฎหมายที่บังคับใช้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างเดียว หรือต้องพิจารณาควบคู่กับกฎหมายที่ถูกต้องตรงตามหลักมาตรฐานสากล หรือ พันธะกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องยึดถือและปฏิบัติตามด้วย ฟันธงคือ ศาลต้องดูทั้งสองส่วนประกอบกัน โดยมิพักต้องตรวจสอบความสามารถของศาลที่จะพิจารณาพิพากษาข้อขัดแย้งในแต่ละเรื่องอีกด้วย

ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผมจึงเห็นว่า “ศาล” (Court) และ “อำนาจศาล” (Judicial power) ของประเทศไทยเวลานี้กำลังยืนอยู่ท่ามกลางทางแพร่งที่จะต้องเลือกเดิน บนทางแพร่งที่จะเลือกทางหนึ่งทางใดนั้น ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมการใช้กฎหมาย (legal culture) อย่างที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น สังคมไม่อาจล่วงรู้เดาใจศาลได้ว่าในท้ายที่สุดศาลจะเลือกเส้นทางใด ระหว่าง ความยุติธรรม และกฎหมายที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเลือกทางหนึ่งทางใดในแง่เหยื่อผู้ได้รับเคราะห์กรรมจากผลผลิตทางวัฒนธรรมการใช้กฎหมายที่ว่านี้นั้น ยังมีภาระที่ต้องค้นหาความยุติธรรมที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป

ผมดีใจที่ยังมีตุลาการจำนวนหนึ่งที่พยายามตั้งคำถาม ๆ ทำนองเดียวกันนี้ และได้แสดงความสนใจชักชวนให้ช่วยมองอนาคต“ความยุติธรรม” ไปข้างหน้า ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่า ตุลาการตัวเล็ก ๆ อย่างเขาจะไปทำอะไรที่ส่งผลกระเทือนในทางสร้างสรรค์ต่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนาได้ในสถาบันศาลเพราะทั้งสิ้นทั้งปวงเป็นเรื่องที่ฝังรากลึกเข้าถึงวัฒนธรรมการใช้กฎหมาย ที่ไม่รู้จะมีเครื่องมืออะไรมาเปลี่ยนรากทางวัฒนธรรมนี้ได้

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แม่ ... หมอเหวง รักษาการประธาน นปช. - ปล่อยให้สังคมไทยและสังคมโลกพิจารณาเอง กรณี คดียุบ ปชป. หมดอายุความ


นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ เพราะศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องคดีการใช้เงินทุน 29 ล้านบาทนั้น เป็นผลดีต่อการเติบโตของคนเสื้อแดงเพราะทำให้คนเสื้อแดงที่รู้สึกท้อแท้กลับมาฮึดสู้ขึ้นมาโดยที่เสื้อแดงไม่ต้องทำอะไรมาก เนื่องจากคำตัดสินชี้ว่า มีสองมาตรฐานเกิดขึ้นชัดเจน "เราจะไม่ทำอะไรจะไม่เคลื่อนไหวกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้สังคมไทยและสังคมโลกพิจารณาเอง เพราะเราไม่ต้องการสร้างเงื่อนไขหรือทำให้เกิดตัวละครใหม่เพื่อให้เกิดความสับสนและเกิดปัญหาขึ้น"

นางธิดา กล่าวต่อว่า ในวันนี้ได้นัดแถลงข่าวเวลา 13.00 น. ที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว ซึ่งทิศทางของนปช.จากนี้จะเน้นสันติวิธีและใช้เหตุผลต่อสู้ โดยแกนนำต้องการส่งสัญญาณถึงเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ ทั่วประเทศว่า หากจะเคลื่อนไหวอะไรต้องยึดหลักการสันติ และมีสติในการทำงานเพราะเราไม่ต้องการให้เกิดอนาธิปไตย หรือความรุนแรงเพราะหากมีความรุนแรงเกิดขึ้นจะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น

"เราต้องการให้สังคมเข้าใจว่า เสื้อแดงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่มีการใช้ความรุนแรงเหมือนที่รัฐบาลพยายามกล่าวหา"

...... ประวัติ หมอเหวง


7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ฮือฮากันไปแล้ว แต่ทราบไหมคะ เราน่าจะจัดอันดับเรื่องจริงประเภท 'How Come? เป็นไปได้ไง (ฟระ)' บ้างก็จะดีนะคะ เรื่องประเภทไม่น่าเป็นไปได้ ยกตัวอย่าง คนที่เป็นคอมมิวนิสต์หัวรุนแรง จะมาตั้งตัวเป็นแกนนำเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ...เป็นไปได้ไง(ฟระ)
เช่น คนคนนี้ หมอเหวง

ประวัติ

ชื่อตามบัตรประชาชน: นายแพทย์เหวง โตจิราการ

ชื่อจัดตั้งในพรรคคอมมิวนิสต์: สหายเข้ม
ประวัติการศึกษา:
คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
สถานะการสมรส: สมรสแล้ว
ชื่อภริยาตามบัตรประชาชน:
ธิดา ถาวรเศรษฐ
ชื่อจัดตั้งของภริยาในพรรคคอมมิวนิสต์: สหายปูน
ประวัติการทำงาน
: มีคลีนิครักษาโรค 2
แห่ง
รัชดาคลีนิก ที่อยู่ เลขที่ 2003/3 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 02 5612051

กิจกรรมทางการเมือง:
- เป็นแกนนำนักศึกษามหิดล ตำแหน่งประธานพรรคแนวร่วมมหิดลและนายกสหพันธ์นักศึกษามหิดล
- มีความสนิทชิดเชื้อกับสหายเก่า "หมอมิ้ง" น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ "หมอเลี้ยบ" น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คนใกล้ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างยิ่ง
- หมอเหวงเดินทางไปต่างประเทศก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา หลายเดือน ระหว่างทางก็มีการขัดแย้งรุนแรงระหว่างกันเอง เมื่อต้องหลบเข้าป่าไป จึงทิ้งภารกิจการนำนักศึกษามหิดลให้ หมอมิ๊ง

มีบทบาททางการเมืองช่วงเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 โดยก่อตั้งสมาพันธ์ประชาธิปไตยขึ้นมาสนับสนุนการต่อสู้ของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ร่วมกับศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ
มามีบทบาทอีกครั้งในช่วงนี้เมื่อร่วมกับหลากหลายกลุ่มทวงสัญญาให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมาย 11 ฉบับ เข้าใจว่าคงได้พูดคุยกับคนของรัฐบาลระดับหนึ่งแล้ว และเข้าร่วมคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีจัดตั้งขึ้น ที่มีคุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์เป็นประธาน

เคยลงสมัครส.ว. แต่แพ้หวุดหวิด ลงสมัครครั้งที่ 2 เพราะคนอื่นได้ใบเหลือง ก็ยังแพ้หวุดหวิดอีก

- ต้นปี 2525 มีการประชุมสมัชชาพรรคฯครั้งที่ 4 (หน่วยอีสาน) ณ ภูผาแดง ฐานที่มั่นภูพาน ส.เข้ม ได้รับความไว้วางใจให้เป็น "เลขานุการ" การประชุมฯ ซึ่งครั้งนั้นเขาหวังลึกๆว่า พรรคจะทำการผ่าตัดใหญ่ ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ และเลือกคนรุ่นใหม่เข้าไปเป็นกรรมการบริหารพรรค

เดือนสิงหาคม 2525 เมื่อการประชุมใหญ่เสร็จสิ้น และมีการประกาศคำแถลงของคณะกรรมการบริหารกลางชุดที่ 4 ครั้งที่ 1 ซึ่งมีคณะกรรมการพรรคฯที่เป็นปัญญาชนรุ่น 14 ตุลาฯ ได้รับเลือกแค่ 3 คนคือ สหายขวาน (พิรุณ ฉัตรวนิชกุล) , สหายกาวน (ชลธิรา สัตยาวัฒนา) และ สหายปูน (ธิดา ถาวรเศรษฐ์)

"สหายเข้ม"ผู้ที่ฝากความหวังไว้สูงยิ่ง รู้สึกผิดหวังอย่างแรง โดยเฉพาะประเด็นวิเคราะห์สังคมไทย ที่ตัวแทนสมัชชาพรรคฯส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมติของภาคอีสาน แต่กรมการเมือง พคท.บางคนคัดค้านและดั้นเมฆวิเคราะห์สังคมไทย จึงเขียนบทความขนาดยาวเรื่อง "ลัทธิเลนินกับคณะกรรมการบริหารกลางของพรรคเรา" วิพากษ์วิจารณ์องค์การนำชุดใหม่ เป้าแห่งการโจมตีครั้งนั้นคือ สหายธาร หรือ จางหย่วน หรือ "วิรัช อังคถาวร" ผู้ที่ถูกมองว่ามีอิทธพลครอบงำพรรค

ซึ่งก็มีเสียงนินทาลับหลังว่า หมอเหวงไม่ได้เป็นกรรมกลางกลางจึงเคลื่อนไหวโจมตีพรรค

- ปี 2526 สหายเข้มหรือ หมอเหวงประกาศแตกหักกับพรรค ด้วยการเขียนหนังสือ "ป่าแตก" ร่วมกับ ธิดา ถาวรเศรษฐ์ จากหนังสือเล่มดังกล่าว จึงนำมาซึ่งวิวาทะผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ระหว่าง "สหายเข้ม" กับ "สหายขวาน" อยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะเลิกรากันไป หลังจากผู้นำสูงสุด(กลุ่มใหญ่)ของ พคท.ถูกจับกุมตัว

- หมอเหวง มีบทบาทในฐานะนักเคลื่อนไหวมวลชนเพื่อประชาธิปไตย จวบจนถึงวันที่มีการลุกฮือขับไล่ทักษิณ หมอเหวงยังสงวนท่าที เพราะไม่เห็นด้วยกับคำขวัญ "คืนพระราชอำนาจ" ของ สนธิ ลิ้มทองกุล ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หมอเหวงก็ขึ้นเวทีปราศรัยในประเด็นคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

แต่เมื่อถึงจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ เมื่อพันธมิตรฯชูประเด็น "นายกฯมาตรา 7" นั่นคือเป็นจุดเริ่มของความขัดแย้งอย่างรุนแรงในกลุ่มซ้ายเก่า รวมถึงอดีตสมาชิก พคท. ที่แตกขั้วความคิดออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มแรกหนุนให้ล้างระบอบทักษิณ เพราะเชื่อว่า"ศักดินาที่ล้าหลัง ดีกว่าทุนใหม่ที่สามานย์"

เรื่องที่น่าผิดหวังของหมอเหวง

1. ช่วงที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์นั้น หมอเหวงได้เป็นคนใกล้ชิดของลุงธง แจ่มศรี ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรค แม้ว่าจะถูกหมอเหวงนำชื่อไปอ้างก็ตาม แต่ลุงธงก็ไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว

2. เมื่อปี 2525 ที่มีการประชุมสมัชชาครั้งที่ 4 หมอเหวงที่หวังว่าจะเข้าเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็ไม่ได้รับเลือกแต่อย่างใด

3. เมื่อวันที่ 5 - 6 พ.ค. 2550ที่ผ่านมา พคท.ได้จัดงาน เรียกว่า รวมรุ่นนายร้อยเวียดนาม 08 – 09 ที่อนุสรณ์สถานภูพาน อ.เขาวงศ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อรวมกลุ่มสหายนักรบดาวแดงที่ผ่านการฝึกอบรมจากโรงเรียนนายร้อยของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และแจกแถลงการณ์ของพรรคในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ปรากฎว่าเขาพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในแง่บวกมากและเขาไม่ได้เอาด้วยกับกลุ่มคุณทักษิณ ชินวัตร

ความเป็นไปของพคท. (โดยสังเขป)
ปัจจุบันมีสามกลุ่มเป็นอย่างน้อย
กลุ่มแรก คือสายจีนเก่า ของคุณวิรัช อังคถาวร หรือจางหย่วน ที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งป้าผึ้งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง

กลุ่มที่สอง คือสายอีสาณ นำโดยลุงปรีดา หรือวินัย เพิ่มพูนทรัพย์ กับลุงขจัด สมลีพรหมพินิจ

กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มเล็กๆนำโดย สหายเข้ม กับสหายปูน (หมอเหวง กับ ภริยา) รวมทั้งหมอพรหมมินทร์ เลิศสุริยเดชและพวก ซึ่งต้องการจะฟื้นฟูพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาใหม่ตามแนวที่ตนต้องการ โดยเห็นว่าทุนนิยมสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง แต่ทั้งสองสายแรกไม่เอาด้วยกับกลุ่มเล็กๆของหมอเหวง คงเพราะเห็นว่า "ศักดินาที่ล้าหลัง ยังดีกว่าทุนใหม่ที่สามานต์"

ในอดีต เคยมีการเถียงกันตั้งแต่วันก่อนเสียงปืนแตก ปี 2508 ว่าสังคมไทยเหมาะหรือไม่ที่จะเปิดการต่อสู้ด้วยอาวุธขึ้นมา ธงของพรรคคอมมิวนิสต์ควรจะเป็นธงแดงมีตราฆ้อนเขียวหรือควรจะเป็นธงชาติไทยและมีตราฆ้อนเขียวประกอบ และจะติดเหรียญประธานเหมาเจ๋อตุงหรือถือหนังสือคติพจน์ประธานเหมาหรือเปล่า ปรากฎว่าแนวทางปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนซึ่งทำให้คนตายไปจำนวนมหาศาล ประสบชัยชนะ พรรคคอมมิวนิสต์ไทยเลยถูกครอบงำแนวทางซ้ายจัดแนวทางนี้ก็สะท้อนมายังขบวนการนักศึกษาในขณะนั้น

(ประวัตินี้อาจไม่ครบถ้วน หรือ ไม่ละเอียดเท่าใดนัก
เข้าใจว่าไม่มีใครรวบรวมจัดทำไว้มาก่อนละมัง
หรือว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีใครให้ความสนใจแล้วจริงๆ ?)

มุมสะกิดสะเก็ด(แผล)

(1) ที่มา: ความคิดเห็นคุณพรรณชมพูแห่งเสรีไทยดอทคอม http://forum.serithai.net/index.php?topic=14565.msg191274
ณ.แขวงหลวงน้ำทา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
นักศึกษาแพทย์จากประเทศไทยที่เข้าร่วมขบวนการปฎิวัติ ผู้รักและเชิดชูแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เชิดชูประธานเหมา เจ๋อ ตง ประพฤติตนเป็นนักปฎิวัติที่เข้มแข็ง จนได้รับคำยกย่องชมเชยว่า ลูกที่ดีของพรรค และได้รับฉายาเสียดสีจากกลุ่มเพื่อนนักศึกษาและผู้นำแรงงานที่เดินทางเข้าป่าไปด้วยกันว่า ลูกที่รักของจัดตั้ง นักศึกษาแพทย์ผู้นี้ ได้เลือกชื่อจัดตั้งของตนเอง ด้วยคำที่ฟังดูแล้วแข็งขึงขัง สหายเข้ม ลูกไทย

นักศึกษาแพทย์ผูนั้นคือ นพ.เหวง ในวันนี้นั่นเอง และในเวลไล่เรี่ยกันนั้น เสกสรร (ดร.เสกสรร ในวันนี้) ก็ขอเปลี่ยนชื่อจัดั้งของตนเองในทันที โดยเลือกใช้ชื่อว่า สหายไท

สหายเข้ม ลูกไทย

แล้วสหายไท พ่อใคร????

ผู้ที่เข้าป่าไปพร้อมกับสหายเข้ม และผู้ที่เคยได้ร่วมงานปฎิวัติกับสหายเข้ม ปัจจุบันยังเหลือคบกับสหายเข้มอยู่อีกกี่คน ????

พฤติกรรม และ นิสัย อันแท้จริงของสหายเข้ม มีผู้นำมาเล่าไว้ให้หนังสือหลายเล่มแล้ว

สหายเข้ม หาจุดยืนและหลักการมาต้งแต่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ จนจวนจะเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่แล้ว ยังหาไม่ใคร่จะพบเร้ยยยยย

อ้างถีง:

1) http://www2.manager.co.th/Politics/PoliticsQAQuestion.asp?QAID=746
2) http://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=69890
3) http://www.thaioctober.com/forum/index.php?topic=4.msg11573
4) http://www.innnews.co.th/innexct/mar50_v34/p8.php
5) http://forum.serithai.net/index.php?topic=12876.msg173337
6) http://www.spiceday.com/index.php?name=Forums&file=viewtopic&t=8123
7) http://www.thaioctober.com/forum/index.php?topic=4.msg15946
8) http://www.bangkokbiznews.com/2007/04/03/WW65_WW65_news.php?newsid=62522
9)
http://www.prd.go.th/prdboard/view.php?qID=214
10) เสียงหมอเหวงดีเจมะลิ http://www.thaksinfc.org/index.php?showfile=1&fid=3&p=downloads&area=1&categ=6 ไม่ได้เอามาลงให้ฟังกัน แต่สามารถคลิกลิงค์ไปฟังได้เองค่ะ ดีเจมะลินี่ เป็นพิธีกรหลักคนหนึ่งของค่าย นปก เชียวนะคะ
11) http://forum.serithai.net/index.php?topic=14565.msg191274

โห มีคนพูดถึงหมอเหวงเยอะเหมือนกันนะนี่

โดย ปิรันญ่า

ภารกิจอันตรายของ “ธิดาแดง” สิ่งที่ “ฝ่ายมั่นคง”ประมาทไม่ได้
การปรับโครงสร้างเปลี่ยนหัวของคนเสื้อแดงจาก วีระ มุกสิกพงษ์ มาเป็น ธิดา ถาวรเศรษฐ ภรรยาแบบเหวง เหวง เป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดจะประมาทมิได้ เพราะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงสัญลักษณ์ และหมายรวมถึงแนวทางการต่อสู้อีกด้วย

ว่า กันว่า วันที่มีการแถลงข่าวปรับโครงสร้าง นปช.ให้ ธิดา รักษาการประธาน นปช. เป็นวันเดียวกับในอดีตที่เป็นจุดเริ่มต้นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

“สหายปูน” ที่เคยระหกระเหินไปใช้ชีวิตในป่านานกว่า 8 ปี กลับมามีบทบาทชักธงรบอีกครั้งในฐานะหัวหน้ากลุ่ม นปช.

ในวันเดียวกันแม้แตกต่างในห้วงเวลา แต่วิธีคิดยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง

อดีต กรรมการสำรองคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่าง “สหายปูน” ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงอดีตอาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงไม่ใช่คนสมองกลวงที่ใคร ๆ จะดูถูกได้

ที่สำคัญคือ เธอมิใช่สายพิราบ แต่เธอคือ พิราบ ปากเหยี่ยว ที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าสายเหยี่ยวตัวจริงเสียอีก เพราะฉากหน้าอหิงสา สันติ แต่ทุกวันนี้เธอก็ยังจิกกินซากศพไพร่แดงเพื่อหล่อเลี้ยงขบวนการนอกรีตของตัว เองเอาไว้

ใน ขณะที่เธอเรียกหาเสรีภาพให้สามีตัวเองที่ยังนอนในคุก กลับไม่เคยปรากฏถึงความพยายามในการช่วยเหลือไพร่พลแดงที่ยังซุกตัวเงียบ ๆ ไร้คนเหลียวแลอยู่ในตารางอีกกว่าร้อยชีวิต สะท้อนถึงความที่ไม่ควรค่าแก่การยกระดับเป็นผู้นำ

แต่เมื่อเธอคือคนที่ถูกเลือกก็น่าสนใจติดตามดูวิธีคิดว่า “ธิดาแดง”ภรรยาเหวง เหวง จะใช้ยุทธศาสตร์ใดมาขับเคลื่อน นปช. ในยุคที่ คางคกตู่ จะเปลี่ยนบทบาทตัวเองลงเป็นแค่ “เงาอสูร”เท่านั้น

ก่อนที่เสื้อแดงจะเผาเมืองรอบสองในช่วงเมษา-พฤษ ภาที่ผ่านมา “ธิดาแดง” ในฐานะครูใหญ่ของโรงเรียน นปช. เคยแจกจ่ายเอกสารให้กับมวลหมู่สมาชิกในชื่อ “ยุทธศาสตร์สองขาของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” มีเนื้อหาแสดงให้เห็นความยึดโยงระหว่างมวลชนเสื้อแดงกับพรรคการเมืองซึ่งก็ หมายถึงพรรคเพื่อไทย ยืนหยัดเป็นสองขาร่วมกันเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ

แค่ ชื่อของเอกสารที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ใหญ่ในการเคลื่อนไหว “แดงทั้งแผ่นดิน” ก็บ่งบอกชัดแจ้งแล้วว่า “ธิดาแดง” คือ มันสมองของคนเสื้อแดงมาโดยตลอด การเปลี่ยนผ่านผลัดผ้าใหม่เลิกใช้บุคลากรจากฝ่ายการเมืองมาทำงานภาคประชาชน

ด้าน หนึ่งเป็นความพยายามก้าวข้ามทักษิณของฝ่ายซ้าย ที่เปิดเผยตัวเองออกมาหน้าฉากในภาวะที่คิดว่าสถานการณ์เริ่มสุกงอมมากพอโดย ไม่ต้องอาศัยทักษิณมาเป็นตัวชูโรงเพื่อเรียกคนอีกต่อไป

เป็นการแสดงออกว่าคนเสื้อแดงที่มีทักษิณเป็นปานดำติดตัวมาตั้งแต่เกิดตามสำนวนของ จรัล ดิษฐาอภิชัย กำลัง ลอกคราบขูดปานดำออกจากตัว พยายามแสดงบทบาทว่าต่อไปจะไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อทักษิณเพียงคนเดียว แต่ขบวนการนี้จะร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศ

ด้วยการปฏิวัติจากประชาชนโดยกำหนดเวลา 5 ปี ถึงเป้าหมาย ใช้ช่วงเวลาจากนี้ไปนวดสถานการณ์สร้างชุดความคิดใหม่ที่เป็นอันตรายต่อ สถาบันหลักของชาติ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในอนาคต

ใน อดีต “ธิดาแดง” และสหายอีกจำนวนมากต่อสู้ตามอุดมการณ์บนวาทกรรม “ศักดินาล้าหลัง” มาวันนี้ “สหายปูน” และเพื่อนร่วมแก๊งยกระดับจาก “ศักดินาล้าหลัง” มาเป็น “โค่นล้มอำมาตยาธิปไตย” ซึ่งชัดเจนว่า ความหมายของอำมาตย์นั้นไปไกลเกินกว่าที่จะหยุดยั้งอยู่แค่ “สถาบันองคมนตรี”

สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด สกัดให้ทันท่วงที คือ การเผยแพร่ข้อมูลให้ร้ายสถาบันหลักของชาติ ซึ่งจะมีการนำเสนอผ่าน

“เวปซ้าย” หลากหลายชื่อเปลี่ยนสมญานามไปเรื่อย ๆ เพื่อหนีเงื้อมมือของกฎหมาย

เอกสาร ที่มีการเผยแพร่จะมีทั้งที่เขียนในเชิงนิทาน เรื่องเล่า บทความเสียดสี ซึ่งไม่ว่าจะมาในรูปลักษณ์ใดล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ให้ข้อมูลเท็จจาบจ้วงสถาบันหลักของชาติเพื่อสั่นคลอนศรัทธาจากประชาชน

เรา เห็นบทเรียนจากพลานุภาพของโลกในยุคข้อมูลข่าวสารผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มาแล้ว ทั้งจากกรณีคลิปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไปจนถึง การแฉข้อมูลลับของ วิกิลีคส์ ซึ่งแม้แต่ สหรัฐอเมริกาก็ยังปวดเศียรเวียนเกล้าจำนนต่อเครื่องมือไฮเทคที่ตัวเองสร้าง ขึ้น โดยไม่ทันคิดว่าคอมพิวเตอร์ที่ทำเงินมหาศาลให้กับสหรัฐจะกลับกลายมาเป็น อาวุธร้ายทำลายตัวเอง

ถึง เวลาแล้วที่กระทรวงไอซีทีต้องทำงานใกล้ชิดกับฝ่ายความมั่นคง และควรมีชุดเฉพาะกิจแฮคเร็ว คอยติดตามความเคลื่อนไหวบนโลกไซเบอร์ของพวกเวปซ้าย เพื่อปิดช่องทางการทะลุทะลวงส่งผ่านข้อมูลพิษล้างสมองประชาชน

ส่วน กทช. ซึ่งดูแลวิทยุชุมชนก็ต้องประสานงานต่อเนื่องกับฝ่ายความมั่นคงเช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้วิทยุชุมชนไปให้ข้อมูลเท็จ ใส่ร้ายสถาบันหลักของชาติ ปลุกปั่นให้คนไทยหลงผิดคิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองตามที่มีใครบางคนวางแผน ไปสู่ รัฐไทยใหม่

ขณะ เดียวกันก็ต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับประชาชนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของคน กลุ่มนี้ว่า นอกจากจะท้าทาย วอนนอนคุกแล้ว คนเหล่านี้ยังมีพฤติกรรมเข้าข่าย ควรนอนคุก จากความคิดที่เป็นกบฏต่อแผ่นดินอย่างไร

ซี ดีอุบาทว์ที่ไล่แจกกันทุกครั้งระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง มีเนื้อหาอย่างไรไม่ขอสาธยายถึง บอกได้แต่เพียงว่าเป็นความพยายามที่เล็งไปถึงอนาคตซึ่งผูกโยงกับสถานการณ์ สำคัญของบ้านเมือง ที่คนเหล่านี้คิดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนผ่านและเป็นโอกาสให้หน่อเนื้อเชื้อโรค ร้ายแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วกัดกินประเทศไทยไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่อำนาจ เปลี่ยนมือ

จริง อยู่ว่า ทุกสังคมต้องมีการพัฒนาและทุกองค์กรก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ แต่รากฐานของประเทศที่ต้องรักษาไว้ คือ

ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะต้องดำรงอยู่คู่บ้านเมืองต่อไป