วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ร.ศ.112 ฝรั่งปล้นไทย ...ทั้งดินแดนทั้งเงิน

วันนี้...ประเทศไทยตัดสินใจถอนตัวจากการ

เป็นสมาชิกคณะกรรมการ มรดกโลกเพราะเงื่อนปมแผนบริการจัดการปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ที่ผูกโยงกับพื้นที่ที่อยู่ในอธิปไตยไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร

ให้ย้อน ถึงวันวาน...วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ซึ่งผลที่ตามมา สยามมิเพียงเฉือนดินแดนบางส่วนไปอย่างเจ็บปวด แต่ยังต้องเสียเงินสดๆ จำนวน 3 ล้านฟรังก์ให้ฝรั่งเศสไปภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อรักษาอธิปไตยเอาไว้

เหตุการณ์ ร.ศ.112 นั้น ตรงกับวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 ผ่านมาแล้ว 118 ปี เป็นเวลากว่า 100 ปีที่บางบรรทัดประวัติศาสตร์แห่งยุทธนาวีบันทึกไว้ว่า เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสเสมือนหนึ่งสุนัขป่าเจ้าเล่ห์ ต้องการไล่ต้อนกัดกินลูกแกะสยาม

ผู้ไล่ล่าเต็มไปด้วยแสนยานุภาพ ทั้งเขี้ยวเล็บทางทหารอันแหลมคม เกรียงไกร ผู้ถูกล่าตั้งรับอยู่ในบ้านเมืองที่อยู่กันมาอย่างสงบงาม เหมือนลูกแกะที่เพลินอยู่กับยอดหญ้าอันเขียวขจี ท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติอันสมบูรณ์ แต่ก่อนที่คมเขี้ยวหมาป่าจะขยุ้มคออย่างสามหาว ลูกแกะน้อยก็ยังได้ไหวตัวและตั้งรับอย่างเต็มกำลังสามารถ
Pic_182119
เย็นวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 ปรากฏเรือฝรั่งเศส 3 ลำ เข้ามาปิดปากอ่าวสยาม บริเวณปากน้ำเจ้าพระยา ภาพเหตุการณ์วันนั้น ไกรฤกษ์ นานา สอบค้นและบันทึกไว้ว่า...เวลา 18.05 น. หมู่เรือรบฝรั่งเศสผ่านเข้ามาในปากน้ำเจ้าพระยา โดยมีเรือ เจ.เบ.เซ. แล่นนำหน้า ตามด้วยเรือรบติดอาวุธมีเรือ แองกองสตอง และเรือโกแมตเรียงเป็นกระบวนเข้ามา

ระหว่างนั้น “ปืนใหญ่อาร์มสตรองบนป้อมพระจุลฯ ยิงด้วยนัดดินเปล่าไม่บรรจุกระสุนสองนัด เป็นสัญญาณเตือนมิให้เข้ามาแต่ไม่ได้ผล นัดที่ 3 และ 4 จึงถูกยิงออกไป ...”

ยุทธนาวีไทยได้ปกป้องอธิปไตยอย่างเหี้ยมหาญ กระสุนปืนใหญ่ หรือปืนเสือหมอบกระหน่ำออกมาอย่างไม่ระย่อ ภายใต้การบัญชาการของพระยาชลยุทธโยธิน ผู้บัญชาการรบฝ่ายไทยชาวเดนมาร์ก และยังมีปืนชนิดเดียวกันประจำการอยู่ที่ป้อมปืนผีเสื้อสมุทร ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก แต่แรงต้านของสยามหาได้หยุดนักล่าอาณานิคมจากแดนไกลไม่

สิ้นเสียงปืน ทหารไทยพลีชีพไป 8 นาย บาดเจ็บ 40 นาย ส่วนทหารฝรั่งเศสตาย 3 นาย บาดเจ็บอีก 3 นาย การต่อสู้นี้ แม้สยามจะทำเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และยิงเตือนผู้รุกรานไปก่อนตามกติกาสากล แต่ลูกแกะสยามอย่างไรก็เป็นลูกแกะผู้เสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ จึงต้องเป็นฝ่ายชดใช้ค่าปรับสงคราม

ฝรั่งเศสเรียกร้องค่าเสียหาย ด้วยอ้างว่าฝ่ายสยามเป็นผู้เปิดศึกก่อน ไม่ว่าจะเจรจาความกันอย่างไรสยามก็ต้องเสียเปรียบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ต้องเสียเงินให้กับฝรั่งเศสไป 3 ล้านฟรังก์ ภายใน 48 ชั่วโมง

สยาม ไม่มีเงินเพียงพอ ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประชุมเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่างๆ ทั้งหมด เพื่อหาทางที่พระที่นั่งจักรีฯ เป็นการด่วน เนื่องจากเงินสยามไม่ได้มีมากมายในท้อง พระคลัง ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้นำเงินถุงแดงออกมาให้ฝรั่งเศส

คำ ว่าเงินถุงแดง อาจเรียกตามถุงที่เก็บเงินไว้ เป็นพระราชทรัพย์ที่เก็บไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ชนิดของเงินชาวบ้านสมัยนั้นเรียกว่า เงินเหรียญนก เป็นเงินของประเทศเม็กซิโก เงินของสยามแม้จะมี แต่ไม่ได้รับการยอมรับในตลาดค้าขายต่างประเทศ สยามจึงหันไปใช้เงินเหรียญนกของเม็กซิโกเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย กับชาวต่างประเทศ

แน่นอนว่า ฝรั่งเศสไม่รับเงินพดด้วง หรือเงินไทยแน่ๆ

ความ เป็นมาของเงินถุงแดง มีเรื่องเล่าว่า สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงรับสั่งให้เก็บเงินไว้ในถุงแดง มีเจ้านายคนหนึ่งถามว่า จะเก็บเงินส่วนนี้ไว้ทำอะไร ทรงมีพระราชดำรัสเล่นๆ ว่า “จะเก็บเอาไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง” ไม่คาดฝันว่า ในที่สุดก็ได้นำมาไถ่บ้านไถ่เมืองจริงๆ

เมื่อโปรดเกล้าฯให้เอาออกมานับ ปรากฏว่าได้ถึง 3 หมื่นชั่ง หรือประมาณ 2,400,000 ฟรังก์เท่านั้น ส่วนที่ยังขาดอยู่ จำเป็นต้องหามาเพิ่มเติม ถ้าหามาไม่ได้ทันเวลาที่กำหนด บ้านเมืองสยามยามนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า หมาป่าเจ้าเล่ห์จะตะครุบอะไรสวาปามเข้าไปอีก

เมื่อประชุมกันแล้ว ทางออกก็คือ รวบรวมเอาจากพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการฝ่ายใน กลางสถานการณ์คับขัน บ้านเมืองตกอยู่ในมรสุมอันบ้าคลั่ง ทุกคนต่างช่วยผ่อนคลายได้ดี ในที่สุดเงิน 3 ล้านฟรังก์ก็ได้ครบจำนวน

เงินนี้ “ต้องใช้รถม้าบรรทุกกันออกมาจากพระบรมราชวังเป็นขบวนยาวเหยียด ผ่านฝูงชนที่มามุงดูกันที่ประตูวังแน่นขนัด ต่างพากันส่งเสียงร้องไห้กันระงม เซ็งแซ่ ล้อรถม้าบดเป็นทางยาวไปบนหินปูนบนถนนในวังเป็นรอยล้อรถที่ขนเงินจำนวนมาก มหาศาลไปครั้งนั้น ซึ่งหนักมากเพราะเป็นเงินแท้ๆ หลายร้อยถุง”

รอยล้อรถม้าที่บดหินแตกด้วยความหนักของเงิน ไหนเลยจะเท่าความปวดร้าวของใจชาวสยามยามเมื่อ พ.ศ.2436 นั้น แม้เราจะสูญเสียอย่างหนักหน่วง แต่ฝรั่งเศสกลับหาได้เอมอิ่มกับน้ำตาของสยามไม่ ในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส ยังตัดพ้อขุนนางสยามด้วยว่า นำเงินใส่กระสอบป่านคุณภาพไม่ดีเอาไปให้ ทำให้ฝรั่งเศสต้องลำบากในการขนย้าย

ดังปรากฏว่าข้อในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส ฉบับวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1893 ว่า...

“เรือลูแตงของเราได้ขนย้ายเงินอันเป็นสินไหม ค่าปรับในการของเราที่ปากน้ำเป็นเหรียญเงินเม็กซิโกจำนวน 801,282 เหรียญ โดยมีน้ำหนักเหรียญละ 27 กรัม รวมทั้งสิ้น 23 ตัน แล้วในที่สุดเงินก็ถูกขนออกมาจากบางกอกโดยเรือเพียงลำเดียว...

“เมื่อมาถึงนั้น เรือเพียบหนักจนกราบเรือปริ่มน้ำหมด ทุกห้องในเรือใช้บรรทุกกระสอบใส่เงินกองเป็นภูเขาเลากา เสนาบดีคลังของสยามนี้น่าถูกตำหนิที่สุด ได้ใช้กระสอบป่านคุณภาพเลวใส่เหรียญจำนวนมากนี้ทำให้กระสอบขาดชำรุดใน ระหว่างเดินทางมา คนของเรานำขึ้นมาจากเรือไม่ได้ ต้องนำถังตวงนับร้อยใบลงเรือไปขนขึ้นมา”


หลังเหตุการณ์ ร.ศ.112 สยามต้องเสียเงินไป 3 ล้านฟรังก์ ด้วยน้ำตาที่ร่ำไห้ด้วยความเจ็บแค้น เนื่องจากฮึดฮัดอะไรออกมา ก็ต้องเสียเปรียบทุก ประตู ไล่เลียงจากการเสียเงินค่าปรับสงครามเป็นต้นมา สยามต้องเสียการดูแลในลาว เขมรส่วนนอก อันหมายถึงบริเวณพนมเปญเรื่อยไปจดเวียดนาม

ต่อมาก็เสียการดูแล เขมรส่วนใน อันหมายถึง พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ตามสนธิสัญญาที่ตามมาคือ สนธิสัญญา ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907

ปราสาท พระวิหารถูกฝรั่งเศสขีดเส้นไป เมื่อทำแผนที่สยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส หลังสนธิสัญญา ค.ศ.1907 แต่เนื่องจากอยู่ในป่ารกเรื้อ ทั้งสยามและเขมรต่างไม่ได้เข้าไปดูแล สืบมาสยามเข้าไปดูแลก่อน และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทยไว้

ต่อมาปี พ.ศ.2502 เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องศาลโลก ให้สยามที่เป็นไทยไปแล้วคืนปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชา ในที่สุดศาลโลกตัดสินให้ไทยคืนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาไปเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 เป็นที่ชัดเจนว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาไปแล้ว ตามคำตัดสินของศาลโลก นับแต่บัดนั้น

แต่ปัญหาเรื่องเขตแดนระหว่างไทย กับกัมพูชายังดำรงอยู่ เพราะแนวเขตแดนยังมีอยู่หลายจุดที่ยังตกลงกันไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งระหว่างกันเรื่อยมา

อาจกล่าวอย่างรวบรัด ได้ว่า เราต่างมีแผลใจที่นักล่าอาณานิคมเปิดไว้ให้ แผลจะขยายออกหรือสมานเป็นเนื้อเดียวกัน ย่อมขึ้นอยู่กับผู้นำทั้งสองประเทศจะนำพาไปทางไหน

ผู้นำเราเข้าใจประวัติศาสตร์และรู้เท่าทันหรือไม่ สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ควันปืนยังไม่ทันจาง ย่อมเป็นคำตอบได้ดี.

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลิเกรัฐประหาร


ลิเกรัฐประหาร

นับแต่ปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ประเทศไทยมีการรัฐประหาร 18 ครั้ง ประสบความสำเร็จ 10 ครั้ง ทำนายกฯตกเก้าอี้ไป 7 คน แต่ 3 ครั้ง ยังได้นายกฯหน้าเดิม เพราะเป็นการรัฐประหารรัฐบาลตัวเอง

โรม บุนนาค เล่าไว้ในหนังสือการเมืองเรื่องสนุก ตอน รัฐประหารลิเก หลังพลโทผิน ชุณหะวัณ ทำรัฐประหาร 8 พ.ย.2490 ยอมให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกฯขัดตาทัพได้ 4 เดือนกว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็นั่งเก้าอี้นายกฯได้สบาย

ค่ำวันที่ 29 พ.ย.2494 วิทยุกรมโฆษณาการ อ่านแถลงการณ์คณะรัฐประหาร อ้างภัยคอมมิวนิสต์คุกคาม จำเป็นต้องนำเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 นำมาใช้กำราบ

แรกๆชาวบ้านก็ตระหนกตกใจ ใครกล้ายึดอำนาจจอมพล ป. แต่พอมีประกาศรายชื่อนายกฯและรัฐมนตรีหน้าเดิมๆ จึงพอเข้าใจ เหตุรัฐประหารเพราะรัฐบาลรำคาญวุฒิสภา ที่แม้แต่งตั้งกันมาเอง แต่ก็หาเรื่องตีรวนกวนใจไม่หยุดหย่อน

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 มีสภาเดียว ส.ส.ประเภทที่ 2 พอควบคุมได้จึงต้องนำมาใช้อีกครั้ง

รัฐประหารตัวเองครั้งที่สอง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ บินไปผ่าตัดม้ามที่อเมริกา ให้ พล.ท.ถนอม กิตติขจร เป็นนายกฯแทน ส.ส.รัฐบาลพรรคร้อยพ่อพันแม่ ก่อเรื่องขุ่นเคืองใจ จะออกกฎหมายควบคุมการใช้เงินของกองสลากฯ

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังมีข่าวกองสลากจ่ายเงิน 3 ล้าน ให้จอมพลสฤษดิ์ ไปผ่าตัดม้าม

9 ต.ค.2501 จอมพลสฤษดิ์ ผ่าตัดเสร็จก็บินเงียบกลับไทย ค่ำวันนั้น มีประกาศ พล.ท.ถนอม ลาออกจากนายกฯ รุ่งขึ้น 20 ต.ค. ก็ออกแถลงการณ์คณะรัฐประหาร ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุบสภาผู้แทน ประกาศกฎอัยการศึก

ระหว่างที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ ก็ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2502 ...20 มาตรา

มาตราที่ 17 มาตราเดียว “...ให้นายกรัฐมนตรี โดยมติคณะรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใดๆได้ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำเช่นนั้น เป็นคำสั่งหรือการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

จอมพลสฤษดิ์ใช้ ม.17 สั่งยิงเป้าผู้ต้องหาวางเพลิง คอมมิวนิสต์ ผลิตเฮโรอีน และผีบุญ ไป 11 คน

ไม่รวมก่อนหน้านั้น ลุยค้นหนังสือพิมพ์ กวาดนักหนังสือพิมพ์น้อยใหญ่เอาไปเข้าคุก อีกหลายสิบคน

8 ก.ย. 2506 จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรม จอมพลถนอม กิตติขจรครองอำนาจใช้กฎอัยการศึกต่อ 20 มิ.ย.2511 ทนเสียงรบเร้าไม่ไหว ยอมให้มีพรรคการเมือง มีการเลือกตั้ง

พรรครัฐบาลได้เสียงไม่พอ ต้องเกณฑ์ ส.ส.ร้อยพ่อพันแม่มาผสมพันธุ์ จอมพลถนอมเป็นนายกฯได้แต่นั่งเก้าอี้ไม่ค่อยสบายก้น เพราะเจอแต่ ส.ส.ตีรวนกวนใจ

17 พ.ย. 2514 จอมพลถนอม ทนไม่ไหวต้องใช้แม่ไม้เก่า ประกาศรัฐประหารตัวเอง

นี่คือกระบวนการทำรัฐประหารตัวเอง 3 ครั้ง ที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

โรม บุนนาค เขียนว่า หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 ประชาธิปไตยแบ่งบาน ภาคประชาชนตื่นตัว กระบวนการรัฐประหารลิเก คงไม่เกิดขึ้นอีก

การเมืองเมืองไทยก้าวหน้ามาได้ถึงปัจจุบัน แม้จะมีรัฐประหารจริงเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งทหารก็รู้สึกถึงแรงกดดันของประชาคมโลก และประชาคมชาติ ทำทีเหมือนว่าเผลอทำ แล้วก็มักรีบคืนอำนาจให้ชาวบ้าน จัดแจงการเมืองกันเอง

ครั้งนี้ ผมเชื่อของผมว่า คงไม่มีอะไร...ถ้าไม่มีทางเลือกให้ทหาร ลุ้นพรรคที่แอบรักแอบชอบกัน เพราะลงเรือลำเดียวกันไม่ไหว ทางเลือกต่อมา ก็คือหันไปเจรจาหย่าศึกกับพรรคคู่ศึก...ต่างคนต่างอยู่ อยู่กันจนได้แหละน่า!

ทหารยอมรับผลการเลือกตั้ง คนต่างพรรคต่างสียอมรับผลการเลือกตั้ง ประชาชนส่วนใหญ่เบื่อสงครามเต็มที เต็มที่อยู่แล้วกับผลการเลือกตั้ง

คราวนี้ไอ้หน้าไหน แหลมออกมาตั้งม็อบ ยุให้รำตำให้รั่วอีก ก็ช่วยๆกันตบกะโหลกมัน อย่าให้มันได้ผุดได้เกิด กลับมาอาละวาดฟาดงวงฟาดงาได้ การเมืองแบบไทย มาได้แค่นี้ ดีหนักหนาแล้ว.

กิเลน ประลองเชิง

ไทยรัฐออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ผลทางนิตินัย ของบัตรเลือกตั้งกาโหวตโน


ผลทางนิตินัย ของบัตรเลือกตั้งกาโหวตโน

ผู้คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง จะเกิดขึ้นได้เฉพาะกรณีที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียวในเขตเลือกตั้งนั้นเท่านั้น มิฉะนั้น กกต.จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นใหม่

สังคมไทยมีประสบการณ์จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2549 ซึ่งหลายเขตเลือกตั้งมีผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยเพียงพรรคเดียว เพราะพรรคประชาธิปัติย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ได้บอยคอตการเลือกตั้ง จนนำไปสู่ปรากฏการณ์พรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก และถูกคณะตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย เพราะถือว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2540 มาตรา 66 (1) และเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา 66 (3) (คำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ 3 - 5/2550)

แท้จริงแล้ว แม้ในเขตเลือกตั้งใดมีผู้สมัครมากกว่าหนึ่งคน ผู้สมัครจะเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องเป็นผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุด ยังจะต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งอีกด้วย

ทั้งนี้ เป็นไปตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 89 ประกอบมาตรา 88 ซึ่งบัญญัติไว้ ดังนี้

มาตรา 89 ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเท่ากันหลายคน ให้ใช้วิธีการจับสลากซึ่งต้องกระทำต่อหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

มาตรา 88 ในเขตเลือกตั้งใด ถ้าในวันเลือกตั้งมีผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งคนเดียวผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งต่อเมื่อได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง
ในกรณีที่ผู้สมัครได้รับคะแนนเลือกตั้งน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นหรือไม่มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งนั้น โดยให้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ และให้นำความในมาตรา 9 มาใช้บังคับ
ในการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคสอง ถ้ามีผู้สมัครคนเดียวให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม และถ้าผู้สมัครได้คะแนนเลือกตั้งน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นอีกหรือได้ไม่มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยให้ดำเนินการตามวรรคสองอีกครั้งหนึ่ง

ในการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคสาม ถ้ามีผู้สมัครคนเดียวให้ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้ได้รับเลือกตั้งภายในระยะเวลาตาม มาตรา 8

ในกรณีที่มีการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคสาม หากปรากฏว่าไม่มีผู้สมัครให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม เพื่อให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและให้นำความในวรรคสอง และ วรรคสาม และความในส่วนที่ 5 ผู้สมัคร และการสมัครรับเลือกตั้ง 2. การสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งมาใช้บังคับโดยอนุโลม

จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า มาตรา 89 บัญญัติให้อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 88 ซึ่งเป็นเทคนิกการร่างกฎหมายที่ต้องการให้มาตรา 89 นำหลักการตามมาตรา 88 มาใช้บังคับด้วยโดยไม่ระบุซ้ำลงไปในมาตรา 89 อีก จึงหมายความว่า ในเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครหลายคน ผู้สมัครที่จะถือว่าเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง จะต้องผ่านองค์ประกอบของกฎหมายทั้งมาตรามาตรา 88 และมาตรา 89 กล่าวคือ

1.ได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต
เลือกตั้งนั้น
2.ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง และ
3.ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้น

ทั้งนี้ เนื่องจากหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย คือการถือเสียงข้างมากของ
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเกณฑ์มาตรฐานเสียงข้างมากขั้นต่ำตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ก็คือไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง

ดังนั้น จำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) จึงมีผลทางนิตินัยตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว และหากในเขตเลือกตั้งใดมีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งมากกว่าคะแนนเลือกตั้งของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้น ผู้สมัครผู้นั้นก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งนั้น โดยให้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ตามมาตรา 88 วรรคสองถึงวรรคห้า

การที่ มาตรา 61 ของกฎหมายเลือกตั้งดังกล่าวบัญญัติไว้ให้บัตรเลือกตั้งมีช่องทำเครื่องหมายว่าไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้งด้วยนั้น ก็เพื่อเป็นหลักประกันแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะสงวนสิทธิ์ไม่เลือกผู้ใด ในกรณีที่เห็นว่าไม่มีพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใดมีคุณสมบัติดีเพียงพอที่จะได้รับเลือกให้เป็นส.ส.

ยิ่งถ้าบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีอยู่และลงสมัครรับเลือกตั้งในปัจจุบันได้พยายามสื่อสารกับสังคมว่าขอให้เลือกพรรคหรือผู้สมัครที่เลวน้อยที่สุด

กรณีมีการรณรงค์ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกาบัตรเลือกตั้งในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน (VOTE NO) ด้วยเหตุผลว่าระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถสร้างพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ดีได้ ด้วยวาทะที่ว่า "อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา" และ "มีแต่พรรคการเมืองเผาบ้านเผาเมืองจาบจ้วงล้มเจ้า พรรคการเมืองปล่อยคนเผาบ้านเผาเมืองขายชาติหลอกเจ้า และพรรคการเมืองโกงชาติกินเมืองโหนเจ้า" จึงสามารถกระทำได้โดยชอบ และมีผลต่อการเลือกตั้งตามกฎหมายดังกล่าว

หากมีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) มากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดจำนวนมากๆ หรือแม้แต่คะแนนของจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) รวมกับคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนในลำดับรองๆลงไป มากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุด ก็อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะได้ เพราะผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดย่อมไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนเสียงข้างมากไปในตัว และน่าจะต้องถือว่าขัดต่อหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ต้องยอมรับเสียข้างมาก แต่มีหลักประกันสำหรับเสียงข้างน้อย เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่กกต.เพียงแต่จัดการเลือกตั้งโดยหันคูหากลับด้านทำให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเลือกตั้งที่จัดคูหาให้ผู้เลือกตั้งหันหน้าเข้าคูหาและหันหลังให้กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งและประชาชน ไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 93 วรรคสอง) เป็นเหตุให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ

(คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2549) แล้ว การเลือกตั้งกรณีนี้อาจจะต้องถือว่านั้นเป็นโมฆะยิ่งกว่าบรรทัดฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิฉัยไว้ดังกล่าวเสียอีก ทั้งหากพรรคการเมืองใดยังฝืนส่งคนไม่ดีที่ประชาชนปฏิเสธลงสมัครรับเลือกตั้งอีก อาจถึงขั้นถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การถูกยุบพรรคการเมืองนั้นก็เป็นได้ (รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 68)

ท้ายที่สุดนี้ ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง (VOTE NO) มีผลทางนิตินัยตามกฎหมายดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้นอย่างแน่นนอน

อนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล
เลขานุการแผนกคดีอาญาของ
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

"โลกแตก โลกาวินาศ" นสพ.ไทยรัฐ ลงข่าวบ่อยๆ เพื่ออะไร หรือเพื่อให้ ผู้คนลืมไปซะความผิดความชั่ว ของบางคนบางกลุ่ม

หลายวันที่ผ่านมา นสพ. ไทยรัฐลงข่าวแนวนี้บ่อยมาก เพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึก ของผู้คนหรือไม่ว่า จะไปยึดติดทำไม กับความผิดความชั่วของนักการเมือง เพราะไม่ช้านานโลกก็อาจแตกดับ สรรพชีวิตก็แตกสลาย จะไม่ยึดมั่นทำไมอย่างไร ลืมๆกันไปอะไรไม่ถูกไม่ดี ของคนบางคนบางกลุ่ม แม้ที่วันนี้เอง โพลหลายสำนักออกมาตรงกันแล้วว่า "ประชาชน ถีบส่ง นายกอภิสิทธิ์ ที่ตระบัดย์ ขายชาติ" ที่เมื่อ 20 ปีก่อน พ.ค. 2535 ประชาชนเคยเคาะขวดพลาสติกกับพื้นถนน เพื่อไล่ พลเอกสุจินดา นายกเสียสัตย์ กันมาแล้ว ... และวันนี้เองผลงาน นายกอภิสิทธิ์ ไม่มีอะไร ที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น แม้มีโครงการประชานิยม แจกฟรีมากมาย แต่ไม่ประทับใจประชาชนได้เลย เพราะยังกินแพงอยู่แพง จากการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพื่อเอาเงินไปใช้แจกจ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ตัวอย่างผลงานที่อ้างว่า ทำสำเร็จเช่น เรื่อง มาบตาพุด แต่ก้อทิ้งความเสี่ยงมหาศาลให้ผู้คนชาวบ้าน รอเหตุหายนะ จากกรณี ปตท. ไม่ตอกเสาเข็มฐานราก โรงแยกก๊าซใหม่ 2 แห่ง และโรงงานสารเคมีอันตราย ของ ปตท. จำนวนมาก ผลงานแบบนี้ ยังเอามาติดโบว์ประกาศ คงจะเป็นโบว์สีดำ มากกว่า ที่การทรุดพัง ก๊าซแอลพีจีรั่ว บึ้มเละ นอกจากการเจ็บตายของประชาชน ชาติก้อคงเสียหายมหาศาลไปด้วย ... อีกทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีการคอรัปชั่นแบบเอาผิดไม่ได้มากมาย ทั้งในส่วนคนของพรรค ปชป. เอง และคนของพรรคร่วม ที่ตะกละตะกลาม โกงกินกันมโหฬาร ไม่เว้นเงินเยียวยาประชาชน ทั้งหอการค้าก้อออกมาประโคมว่า คอรัปชั่น มากถึง 50% ของมูลค่า เท่ากับตีแสกหน้าอภิสิทธิ์ ซึ่งในสมัยทักษิณ ตัวเลขคอรัปชั่น กินหัวคิว อยู่ที่ 30% ... การกลับเข้ามาของอำนาจทักษิณ กับกระแสโหวตโน ที่จะสร้างความตีบตันทางการเมืองของประเทศหรือไม่นั้น ... ข่าวโลกแตก สร้างความรู้สึกให้ประชาชน ลืมๆมันไปซะ ความเลวความชั่ว ของนักการเมือง แบบนั้นหรือไม่ หรืออย่างไรกัน

'วิทยาศาสตร์'ไขปริศนา10ข่าวดังระดับโลกทำให้'โลกแตก'ได้จริงเหรอ...?

มีข่าวลือที่นักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศมากมายสันนิษฐานว่าจะสามารถทำให้โลกแตกในอนาคตได้..!!! ไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยังนายบุญรักษา สุนทรธรรม ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เพื่อใช้วิทยาศาสตร์อธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ไขปริศนาทั้งหมด ...?

หลังจากที่นำเสนอเรื่องโลกแตก (www.thairath.co.th/content/life/176984) กับปฏิทินชาวมายัน ของชนเผ่ามายา ผู้เลื่องชื่อด้านอารยธรรมแห่งอเมริกากลาง ที่ระบุชัดว่า วันที่ “21 ธันวาคม ค.ศ. 2012” ที่ถือเป็น วันสุดท้ายตามปฏิทิน 5,125 ปี (Mesoamerican Long Count calendar) แล้ว

สิ่งที่น่าสนใจและมีคนไถ่ถามมามากมาย โดยเฉพาะข้อมูลที่เว็บไซต์ต่างประเทศกล่าวถึงสาเหตุการที่จะทำให้โลกแตกในวันดังกล่าวได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์


เรื่องการเชื่อว่าโลกจะแตกเพราะมีการเปลี่ยนแปลงด้านฟิสิกส์อย่างรวดเร็วฉับพลันของจักรวาล ...?
เชื่อว่าโลกจะแตกเพราะการเคลื่อนตัวของหลุมดำ (black hole ) เข้าใกล้ระบบสุริยจักรวาล ...?
เชื่อว่าโลกจะแตกเพราะการระเบิดของรังสีแกมมาครั้งใหญ่นอกโลก ...?
เชื่อว่าโลกจะแตกเพราะการลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของพลังงานในดวงอาทิตย์ ...?
เชื่อว่าโลกจะแตกเพราะการสลับขั้วอย่างฉับพลันของแกนโลกและขั้วแม่เหล็กโลกจากเหนือเป็นใต้-จากใต้เป็นเหนือ ...?
เชื่อว่าโลกจะแตกเพราะการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะผ่าน "ฝุ่นผงคอสมิก" ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรุนแรงบนโลก ...?
เชื่อว่าโลกจะแตกเพราะการที่โลกถูกพุ่งชนอย่างรุนแรงจากอุกกาบาตหรือวัตถุอื่นๆในอวกาศ ...?
เชื่อว่าโลกจะแตกเพราะการเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ สึนามิครั้งใหญ่ ...?
เชื่อว่าโลกจะแตกเพราะแพลเน็ต เอ็กซ์ หรือ นิบิรู กระทั่งเชื่อว่าโลกจะแตกเพราะ มนุษย์ต่างดาว” ...?

นักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศมากมายสันนิษฐานว่าสิ่งเหล่านี้นั่นแหละจะทำให้โลกแตกในอนาคตได้..!!! ไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยัง นายบุญรักษา สุนทรธรรม ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เพื่อใช้วิทยาศาสตร์อธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ไขปริศนาทั้งหมด ...?

Q : โลกจะแตกเพราะการเปลี่ยนแปลงด้านฟิสิกส์อย่างรวดเร็วฉับพลันของจักรวาล

A : ไม่จริงแน่นอน ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ทางกายภาพอย่างฉับพลัน ซึ่งระบบสุริยะ หรือกาแล็กซี ทางช้างเผือก หรือเอกภพมันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแต่ช้ามาก ที่สำคัญวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเป็นตัวบ่งชี้ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันดังที่กล่าวอ้างกัน

Q : โลกจะแตกเพราะจะมีการเคลื่อนตัวของหลุมดำ (black hole ) เข้าใกล้ระบบสุริยจักรวาล


ตามหลักวิชาการหลุมดำมี 2 ประเภท คือหลุมดำที่เกิดจากซากของดาวอย่างดวงอาทิตย์ ซึ่งปัจจุบันเขามีอายุราว 5,000 ล้านปีแล้ว อีกราว 5,000 ปีข้างหน้าดวงอาทิตย์จะตาย หากดวงอาทิตย์ตายเปลือกนอกเขาจะระเบิดแล้วเหลือแต่แกนกลาง หลายคนเชื่อว่ามันจะกลายเป็นหลุมดำได้ แต่จริงๆ ไม่มีความน่าจะเป็นได้ เพราะความหนาแน่นมันมีไม่เพียงพอ หลุมดำจะมีอีกประเภทหนึ่งที่เกิดพร้อมกับบิ๊กแบง เมื่อราว 12,000 ล้านปีมาแล้ว เอกภพมีการระเบิดใหญ่เรียกว่าบิ๊กแบง พอตูมออกมามันก็จะมีระเบิดมาก และก็จะมีแรงบีบอัดของสสารช่วงแรกๆ ของการเกิดเอกภพเมื่อประมาณ 12,000 ล้านปีที่แล้ว ทำให้เกิดหลุมดำเล็กๆ เต็มไปหมด เราเรียกว่าหลุมดำขนาดจิ๋วกระจายเต็มไปหมด

แต่ไม่มีใครเคยค้นพบหลุมดาวขนาดนี้ เป็นเพียงทฤษฎีของ สตีเฟน ฮอว์คิงที่กล่าวว่ามีหลุมดำขนาดจิ๋วเกิดขึ้นมาพร้อมกับ บิ๊กแบง และก็กระจายออกไป ระบบสุริยะวิวัฒนาการ โลกเราเกิดขึ้นมา ตัวหลุมดำขนาดจิ๋วก็อาจจะลอยอยู่ในอวกาศได้ แต่ก็ยังไม่มีใครเคยค้นพบ และมีหลักฐานหรือใครเคยทำนายว่ามันตกลงใส่โลกจริงๆ

อย่างไรก็ดี ผมย้ำตรงนี้ว่า หลุมดำขนาดใหญ่ที่คนหวาดวิตกกันไม่มีแน่นอน แต่ว่าหลุมดำเล็กตามทฤษฎีของ ฮอร์คิง บอกว่าอาจจะมีก็ได้ แต่ว่าเนื่องจากอวกาศนี้มันกว้างใหญ่มาก ดังนั้นโอกาสที่โลกเราจะโคจรไปเจอกับหลุมดำแบบนี้โอกาสแทบจะเป็นศูนย์

Q: โลกจะแตกเพราะมีการระเบิดของรังสีแกมมาครั้งใหญ่นอกโลก


A : ต้องทำความเข้าใจความหมายของรังสีแกมมา คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงานสูงมากมันน่าจะเกิดจากการระเบิดของดาวใหญ่ๆ จะปล่อยรังสีแกมมาออกมาหรืออาจจะเป็นการชนกันของดาวในอวกาศอะไรต่างๆ อย่างแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งแต่พลังงานต่ำ รังสีแกมมาเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงานสูงสุด อันตรายมากๆ เพียงแต่ว่าการระเบิดของรังสีแกมมาไกลมากๆ ต้องใช้กล้องส่องลึกมากในอวกาศ แต่บริเวณใกล้กับระบบสุริยะจักรวาลเราไม่มีแหล่งกำเนิดรังสีแกมมาซึ่งก็กำลังศึกษาและเฝ้าระวังอยู่การเกิด การระเบิดของรังสีแกมมาเกิดขึ้นได้อย่างไรซึ่งมีหลายทฤษฎีและกำลังหาองค์ความรู้ในเรื่องที่เกิดขึ้น

ในอนาคตสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ของไทยจะร่วมกับสหรัฐอเมริกา ตอนนี้กำลังจะติดตั้งกล้องที่ประเทศชิลีเพื่อศึกษาการระเบิดของรังสีแกมมาในอวกาศ แต่รังสีแกมมาที่ระเบิดอยู่ไกลจากโลกมากเป็นล้านปีแสง ฉะนั้นการระเบิดของรังสีแกมมาก็ยังไม่ทราบว่าระเบิดได้อย่างไร นักดาราศาสตร์กำลังศึกษาอยู่ แต่รู้ว่ารังสีแกมมาที่ระเบิดแหล่งกำเนิดอยู่ไกลมาก มีการระเบิดจริง แต่ในบริเวณระบบสุริยะจักรวาล ที่ระเบิดใกล้ๆ โลกไม่มีครับสบายใจได้

Q: โลกจะแตกเพราะมีการลดลงหรือเพิ่มขึ้นของพลังงานในดวงอาทิตย์


A : ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์เย็นๆ มีแสงในตัวเองดาวที่เห็นเป็นเม็ดเล็กๆ ใจกลางของดาวฤกษ์รวมถึงดวงอาทิตย์ของเราจะมีปฏิกิริยาเรียกว่าเทอโมนิวเคลียร์เพราะใจกลางมันหนาแน่นมาก ดวงอาทิตย์มีบรรยากาศห่อหุ้มอยู่ พลังงานที่ออกมาจึงไม่มากนัก ทั้งนี้พลังงานในดวงอาทิตย์ก็สามารถเพิ่มขึ้นได้และลดลงได้ โดยสังเกตได้จากจุดบนดวงอาทิตย์ ถ้าเราใช้กล้องส่องดวงอาทิตย์จะเห็นว่ามีซันสปอต” (จุดบนดวงอาทิตย์) เกิดขึ้น ตั้งแต่ศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์และขึ้นไปจนถึงละติจูดสูงสุดแล้วมันจะมีจำนวนมากน้อยต่างกัน ซึ่งช่วงเวลาในทุกๆ 11 ปี จุดซันสปอตจะมีมากที่สุดครั้งหนึ่ง โดยครั้งต่อไปในช่วงกลางปี ค.ศ. 2013 จะมีจุดบนดวงอาทิตย์มากที่สุด

หลังจากนั้นก็จะลดลง เมื่อปี ค.ศ.2000 ก็เคยมากที่สุดครั้งหนึ่งแล้ว จุดบนดวงอาทิตย์สามารถบ่งชี้ได้ถึงความเข้มของสนามแม่เหล็กสูง สนามแม่เหล็กสูงมันจะเป็นแรงผลักพลังงานออกมาจากดวงอาทิตย์มากผิดปกติ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์พายุสุริยะ ซึ่งพายุสุริยะส่วนมากจะส่งผลกระทบให้กับสิ่งที่อยู่ชั้นสูงๆ บรรยากาศของโลก แล้วไม่สามารถทำให้โลกแตกได้แน่นอน

Q : โลกจะแตกเพราะจะมีการสลับขั้วฉับพลันของแกนโลก และขั้วแม่เหล็กโลกจากเหนือเป็นใต้-จากใต้เป็นเหนือ


A : จริงๆ แล้วทุกๆ 11 ปี เกิดสนามแม่เหล็กเยอะ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เกิดการสลับขั้วได้สนามแม่เหล็กเป็นดวงอาทิตย์ จะกลับขั้นทุกๆ 11 ปี คนก็กลัวสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์เกิดการกลับแล้วสนามแม่เหล็กของโลกเกิดการสลับด้วยหรือไม่ โลกกับดวงอาทิตย์อยู่ไกลกัน 150 ล้านกิโลเมตร การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์กลับไม่สามารถส่งผลถึงโลกได้

นอกจากลมพายุสุริยะ แล้วสนามแม่เหล็กโลกสามารถกลับขั้วได้ตอนนี้ขั้วใต้ของสนามแม่เหล็กโลกชี้ทิศเหนือ แล้วขั้วเหนือชี้ทิศใต้อยู่ ตอนนี้ซีกโลกเหนือกำลังจะเป็นซีกโลกใต้ ขั้วโลกใต้เป็นเหนือของโลกสลับกัน สนามแม่เหล็กโลกเราทำหน้าที่ป้องกันรังสี ประจุกไฟฟ้าที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์สู่โลก ถ้าไม่มีสนามแม่เหล็กโลกที่มากันเอาไว้ โลกเราก็จะถูกอนุภาครังสีคอสมิกจากดวงอาทิตย์พุ่งเข้าชนจนคนอยู่ไม่ได้ บรรยากาศโลกก็สำคัญมากซึ่งจะป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมาจะถูกบรรยากาศโลกป้องกันไว้ และอานุภาคที่มีประจุไฟฟ้าก็จะถูกสนามแม่เหล็กป้องกันไว้ แต่ถ้าสนามแม่เหล็กเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ซึ่งจะมีบางเวลาที่สนามแม่เหล็กหายไปฉับพลันนี้ก็จะอันตรายมาก และแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดการสลับขั้วได้แต่เป็นแสนๆ ปีไม่มีใครรู้ว่าจะสลับเมื่อใด แต่ขณะนี้ขั้วแม่เหล็กทางด้านเหนือที่เป็นขั้วใต้ตอนนี้ก็เลื่อนมาจับขั้วโลกเหนือมากพอสมควร ซึ่งสนามแม่เหล็กโลกเกิดจากข้างในโลกของเราเอง โลกของเราข้างในโลกร้อนมาก

เมื่อโลกเราหมุนประจุไฟฟ้าก็หมุนด้วยข้างใน การหมุนของ ประจุไฟฟ้าทำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลกตอนนี้ข้างในโลกเป็นของเหลวและหมุนไปเรื่อยๆตามแรงโลกหมุน เพราะฉะนั้นขั้วเหนือของแม่เหล็กโลกกับขั้วโต้ก็จะค่อยๆเลื่อน แต่ไม่มีนักดาราศาสตร์หรือนักธรณีวิทยาสามารถทำนายได้ว่าแกนโลกจะกลับโดยสมบูรณ์เมื่อไร แต่ขณะนี้มีตัวบ่งชี้ว่ามันค่อยๆ กลับ

Q: โลกจะแตกเพราะมีการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะผ่าน ฝุ่นผงคอสมิกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรุนแรงบนโลก

ฝุ่นผงคอสมิก เกิดจากดวงอาทิตย์จะปล่อยอนุภาคเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวรังสี อนุภาค ฝุ่นผงอะไรต่างๆ มีทั้งมีประจุไฟฟ้าและไม่มีประจุไฟฟ้า แต่สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นปกติ เพราะตอนนี้โลกเราก็เคลื่อนตัวผ่านฝุ่นผงคอสมิก อย่างดาวห่างเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ก็ทิ้งเศษที่เรียกว่า ฝุ่นผงไว้ เวลามันตกก็เป็นฝนดาวตกอะไรอย่างนี้ เป็นเพราะโลกเราเคลื่อนที่ผ่านฝุ่นผงคอสมิก ระบบสุริยะของเราเป็นส่วนหนึ่งกาแล็คซีทางช้างเผือกก็วนอยู่ในกาแล็คซีทางช้างเผือก เพราะฉะนั้นระบบสุริยะก็เคลื่อนที่ไปในฝุ่นผงคอสมิก แต่ไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก ที่สภาพอากาศแปรปวรเป็นเพราะแวดล้อมของเราที่เปลี่ยนไปด้วยกระทำของมนุษย์มีผลต่อระบบนิเวศในทะเล เช่นปรากฏการณ์เอลนินโญและลานินญา เนื่องจากกระแสน้ำร้อน กระแสน้ำอุ่นในแปซิฟิกผิดปกติ ผลที่เกิดในอวกาศและผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์เทียบกันไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศไม่ได้ทำให้คนตาย แต่ทำให้เรารู้สึกแปลกขึ้นเรื่อยๆ เพราะในหนึ่งวันจะมีถึง 3 ฤดู

Q: โลกจะแตกเพราะการที่โลกถูกพุ่งชนอย่างรุนแรงจากอุกกาบาตหรือวัตถุอื่นๆในอวกาศ

A : เรามีโปรแกรมเช็คดาวเคราะห์น้อยหรืออุกกาบาตเฝ้าดูอยู่แล้ว ซึ่งความจริงบนอวกาศมันมีเยอะมากมีแทบทุกวันอวกาศมีขนาดกว้างมากโอกาสที่ชนมีน้อยมาก แต่ในอดีตทั้งโลกและดวงจันทร์เคยถูกชนแน่นอน และดวงจันทร์กับโลกก็เคยถูกชน อย่างที่รัสเซียก็มีหลุมขนาดใหญ่ แต่ว่าการชนอย่างนั้นต้องมีจำนวนที่มากซึ่งมีความเป็นไปได้ ซึ่ง 68 ล้านปีที่ผ่านมา เชื่อว่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์ก็น่าจะเป็นเพราะการชนของดาวหางพุ่งหรือดาวเคราะห์น้อย

ฉะนั้นการมาของดาวหางก็อาจจะมาเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจห่างกันประมาณร้อยล้านปีบริเวณรอบๆระบบสุริยะจักรวารเราถูกหุ้มด้วยคอสมิกมีทั้งก้อนหิน ดิน น้ำแข็ง อยู่ในบริเวณที่ห่างจากโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ประมาณ 1 ปีแสง ถ้ามีอะไรไปกระแทกดาว Nemesis ที่เป็นคู่ของดวงอาทิตย์ และถ้ามันโคจรเข้ามาใกล้จนกระแทกและเกิดเป็นก้อนดาวหางพุ่งเข้ามาระดมชนโลก โลกเราก็จะไม่รอด เช่นเมื่อปีพ.ศ. 2537 มีดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี 9 พุ่งชนดาวพฤหัส ตอนนั้นเราตื่นเต้นมาก เห็นเป็นรอยใหญ่บนดาวพฤหัส ช่วงนั้นดาวหางมาเต็มไปหมด ซึ่งตอนนั้นโลกเรามวลไม่มาก จึงดึงดาวหางไว้ไม่อยู่ แต่ถ้าดาวหางมาเยอะๆโลกก็อาจโดนชนได้ ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าจะมีการโคจรดังกล่าวเข้ามา

ส่วนดวงที่ใกล้ที่สุดตอนนี้คือ YU55 นักดาราศาสตร์ทำนายไว้วันที่ 8 พ.ย. จะเข้ามาใกล้ประมาณ 3,206,000 กิโลเมตร เข้าใกล้มากกว่าวงโคจรดวงจันทร์ แต่ไม่มีผลต่อโลกในระยะนี้ ซึ่งเคยมีใกล้กว่านี้ก็มีแล้วขนาดประมาณ 400 เมตรใกล้พอสมควรถ้าชนก็แหลก แต่ก็ไม่มีการชนเกิดขึ้น

Q: โลกจะแตกเพราะการเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ สึนามิ


A : ปรากฏการณ์ธรรมชาติมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ แต่ช่วงเวลาการเกิดในแต่ละครั้งมันยาวนาน เป็นเรื่องธรรมชาติของเปลือกโลกที่ทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ สึนามิ ถือว่าเป็นวัฏจักรการขยับตัวของเปลือกโลก โลกประกอบไปด้วยแผ่นเพลทมาต่อและทับกัน ถ้าแผ่นดินไหวในแนวตั้งฉากก็เกิดสึนามิ และน้ำแข็งถ้าขยับก้อนหนึ่งที่เหลือก็ขยับ ในวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวเป็นสิบครั้งขึ้นอยู่ว่าจะน้อยหรือมาก น้ำท่วมก็อาจจะเกิดจากคนและโอโซนชั้นที่สองก็ถูกทำลายไปเยอะเนื่องจากสารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน รังสีคอสมิกและยูวีก็จะทะลุเข้ามาได้เยอะขึ้น

Q: แพลเน็ต เอกซ์ หรือ นิบิรุ คืออะไร สามารถทำให้โลกแตกได้หรือไม่


A : เป็นข่าวลวงโลกครับ เพราะ นิบิรุ เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ไม่เคยพบเจอ มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกและจะชนโลกและนาซ่า ได้ออกมาแถลงข่าวแล้วว่าเป็นข่าวหลอก และที่บอกว่าปี 2012 มันจะสว่างกว่าดวงอาทิตย์นั้นไม่จริง อย่างตอนที่ดาวหางเฮล-บอปป์มา เราก็ทำนายได้ล่วงหน้าเป็นปีว่ามันจะสว่างมาก

Q: ก่อนถึงปี 2012 จะมีการเคลื่อนตัวเรียงตัวของดาวทั้งหมดอยู่ในระนาบองศาเดียวกันจนทับสนิท เป็นลางบอกเหตุโลกแตกไหม


A : ทับกันสนิทนี้ไม่มี แต่ใกล้กันนี้มี วันศุกร์ 20 พ.ค. 2554 ก็มีดาวใกล้กันอยู่ 3 ดวง ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวศุกร์ อยู่ใน ราศีพฤษภ และอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ ตอนนี้ดาวอังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ อยู่ใกล้กันมากเรื่องแบบนี้เกิดบ่อย มันเป็นเรื่องปกติที่ดาวมาอยู่ใกล้ๆกัน มองบนท้องฟ้าจะเป็น 2 มิติความจริงก็ไกลกัน แต่เพราะอยู่ในทิศเดียวกันก็เลยดูใกล้กัน อย่างของล้านนาก็เคยบันทึกไว้ว่าดาวเคยอยู่ใกล้กัน 7 ดวง ในส่วนของทางฟิสิกส์คำนวณแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นแรงที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง ส่วนดาวที่มีผลทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง คือ ดวงจันทร์ การเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาที่จะเกิดขึ้นวันที่ 15-16 มิ.ย.54 ราวตี 2 ปลายปีวันที่ 10 ธ.ค.54 ประมาณเวลา 20.00 – 21.00 น. ตอนเกิดสุริยุปราคา ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์จะอยู่ในแนวเดียวกันกับโลกและก็ไม่ได้ทำให้น้ำขึ้นน้ำลงมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเป็นดาวอังคาร พุธ พฤหัส เสาร์ แรงทำให้น้ำขึ้นน้ำลงได้น้อยมาก ไม่ว่ามันจะอยู่รวมกันหรือกระจายกันอยู่ก็ไม่มีผลอะไรต่อการเกิดน้ำท่วมโลกหรือดึงให้โลกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ

Q: โลกจะแตกเพราะมนุษย์ต่างดาว

A : ถามว่ามีมนุษย์ต่างดาวไหม ผมเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกมีแน่นอน ถ้าไม่มีก็เป็นเรื่องที่แปลก โลกเรามีสิ่งมีชีวิตอย่างเดียว แต่ในกาแล็คซีทางช้างเผือกมีดาวแบบดวงอาทิตย์เราเป็นล้านๆ ดวง และนักดาราศาสตร์ก็เจอดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะหลายดวง และมีหลายดวงที่ลักษณะคล้ายๆ โลกเราและนักดาราศาสตร์กำลังศึกษาว่าสภาพแวดล้อมต่างๆที่เอื้อทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตได้ มีหลายดาวหลายดวงที่เอื้อต่อการกำเนิดสิ่งมีชีวิต มีหลายดวงที่จะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตได้ สิ่งมีชีวิตไม่ใช่เกิดได้ง่ายๆเหมือนโลกเราโคจรรอบดวงอาทิตย์พอดีไม่ร้อนเกินไปไม่หนาวเกินไป ดวงอื่นไม่มีอากาศแบบเราก็ไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตได้ อย่างโลกมีก๊าชไนโตรเจน ออกซิเจนใช้หายใจใจ แสงกำลังดี สภาพแวดล้อมเหมาะสม มีน้ำมีอะไรต่างๆ ซึ่งในเรื่องนี้เป็นความพยายามของนักดาราศาสตร์ ที่จะหาดาวเคราะห์และสิ่งมีชีวิตนอกระบบสุริยะ แต่ขณะนี้ยังไม่พบ แต่มีความเป็นไปได้ว่าดาวเคราะห์ที่อยู่รอบดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ คล้ายๆระบบสุริยะของเราตอนนี้เราก็เจอหลายที่ ก็มีโอกาสที่จะพบสิ่งมีชีวิต

ส่วนถ้าถามว่าสิ่งมีชีวิตที่ดาวเคราะห์มันมาโลกเราได้ไหมอันนี้ผมไม่แน่ใจ ผมเชื่อว่ามีวิ่งมีชีวิต แต่ไม่รู้ว่าเป็นเหมือนมนุษย์เราไหม เพราะรูปร่างหรือองค์ประกอบต่างๆ ของมนุษย์ต่างดาวอาจจะต่างไปจากมนุษย์ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นหรือการใช้งานเพื่อการอยู่อาศัย และอาจมีวิวัฒนาการหรือความเจริญก้าวหน้าน้อยหรือล้าหลังกว่าโลก 100 ล้านปีมากหรือน้อยกว่านี้ ในอวกาศมันกว้างมากแต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันที่เรามีอยู่ใช้ในการสำรวจ ยังไม่สามารถไปดาวซิริอุส 12 ปีแสง ยังไปไม่ได้ ยานไพโอเนียร์ 10 ที่ส่งไปนานมากตอนนี้ออกไปขอบๆ ของระบบสุริยะ ยังอยู่แถวๆดาวพลูโต ส่วนในอนาคตคาดว่าเราจะได้รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่ไหนบ้าง

Q: ถ้าโลกแตกเราจะไปอยู่ที่ไหนได้บ้าง...?

A : เราคงตาย หรือเหมือนหนัง 2012 ก็คงจะมีอยู่แค่กลุ่มเดียวที่รอดแต่ก็คงไม่สุขสบาย ถ้ามีการไปสร้างเมืองที่ข้างในมีอากาศอย่างที่เราใช้หายใจแต่มันก็เป็นจินตนาการของนักเขียน ซึ่งในอนาคตก็คงมีคนทำเพื่อจะเตรียมการแต่ไม่มีใครคาดการณ์อนาคตว่าโลกเราจะอยู่หรือจะไป ซึ่งมนุษย์มีส่วนร่วมมากคืออย่าทำให้โลกร้อนและสร้างมลพิษให้แก่ธรรมชาติ...

สรุปแล้วนอกจาก ทั้งหมดนี้ผู้เชี่ยวชาญกำลังจะสื่อสารว่าจงฟังอะไรแบบมีเหตุมีผล หาข้อเท็จจริงก่อนจะปักใจเชื่อแล้ว ยังย้ำด้วยว่าข่าวลือที่น่าเชื่อถือทั้งหมดนี้ คุณต้องไม่เชื่อแบบงมงาย ต้องหาคำอธิบายก่อนจะเชื่อและตื่นตระหนก สุดท้ายถ้าฟังให้ดี ถ้าโลกจะแตกจริงๆ ก็เป็นเพราะฝีมือมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวอย่างเราๆ ท่านๆ นั่นเอง...!

twitter: raydo_thairath

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ทีมข่าวไลฟ์สไตล์ออนไลน์
13 มิถุนายน 2554, 05:30 น.

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

“อภิสิทธิ์” เฟ้นเอาเฉพาะส่วนดีเอาไว้กับตัว


เฟซบุ๊กเป็นพิษ

จากเจตนารมณ์ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จั่วหัวประเดิม เกมยุทธ์เชิงการตลาดใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ขายตรงถึงบรรดากองเชียร์แม่ยก พ่อยก

ผมพยายามสื่อสารกับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและความเข้าใจในการทำงานของผม แต่ที่ผ่านมาผมหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความละเอียด อ่อน เพราะผมพยายามลดเงื่อนไขความขัดแย้ง แต่ขณะนี้สื่อมวลชนบางส่วนเสนอข้อมูล ข้อคิดที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ผมจึงจำเป็นต้องทำบันทึกชุดนี้เพื่อเป็นหลักฐาน และเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจชี้ชะตาอนาคตของประเทศโดยพี่น้องทุกคนในเร็วๆ นี้

พยายามลดเงื่อนไขความขัดแย้ง แต่การณ์กลับกลายเป็นจุดชนวน

ฟื้นฝอยทะเลาะกับพรรคร่วมรัฐบาล

จากเวอร์ชั่นแรกที่เปิดฉากเหน็บ บิ๊กเติ้งนายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนาพาดพิงไปถึงนายเนวินชิดชอบครูใหญ่พรรคภูมิใจ ไทยที่ออกมาทวงสัญญาลูกผู้ชายเป็นทำนองว่า เป็นนักการเมืองต้องทำเพื่อพี่น้องประชาชนทุกคน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพรรคพวกหรือคนๆเดียว

แสดงตัวตนของคนชื่อ อภิสิทธิ์ไม่เคยลดราวาศอกให้ใคร

มาถึงเวอร์ชั่น จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศที่ย้อนอดีตเคลียร์ตัวเองกันตั้งแต่เริ่มฟอร์มรัฐบาล อภิสิทธิ์ชนเคลียร์ปัญหาค้างคาใจ ไล่กันมาตั้งแต่เบื้องหลังคดียุบพรรคพลังประชาชน อันเป็นที่มาของการ สลับขั้วพรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลเทพประทาน

อภิสิทธิ์เฟ้นเอาเฉพาะส่วนดีเอาไว้กับตัว

ผมคิดว่าแม้คนไทยจะตะขิดตะขวงใจกับการที่ผมไปทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม แต่คนที่คิดอยู่ในระบบย่อมเข้าใจว่า เรามีผู้เล่นอยู่เท่านี้ ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ เพราะคนที่จะเปลี่ยนผู้เล่นคือประชาชน เมื่อเปลี่ยนผู้เล่นไม่ได้ ผมก็ต้องจัดทีมจากผู้เล่นที่มีและดูแลให้ผู้เล่นเหล่านั้นเดินตามกติกาที่ผม วางไว้

พูดกันเป็นนัย จำใจเลือกพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาเพราะไม่มีตัวเลือก

เล่น โยนชั่วให้เพื่อนรับไปซะขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา จะออกอาการฉุนกึก ย้อนเกล็ดกันแบบเลือดสาด

ไม่ใช่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนาอยากร่วมรัฐบาล ถ้าไม่ถูกบังคับก็ไม่เลือกแน่ เราถูกบีบด้วยพลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ต้องมาร่วมผมไม่สบายใจขอสะกิด ไว้หน่อย บรรยากาศการเลือกตั้งต้องนำความสงบไปสู่หลังการเลือกตั้ง มีปัญหากับฝ่ายค้านแล้วอย่าให้มีปัญหากับพรรคร่วมอีก มันจะไปกันใหญ่

ถูกบีบด้วยพลังที่มองไม่เห็น

จบข่าวเลยคนระดับนายชุมพล ที่อีกสถานะหนึ่งเป็นนักวิชาการ อาจารย์สอนหนังสือมหาวิทยาลัย มีเครดิตมากกว่านักเลือกตั้งอาชีพทั่วไป เปิดปากแฉเอง เบื้องหลังการสลับขั้ว เปิดทางรัฐบาล อภิสิทธิ์ชนมีคนกำกับฉากอยู่เบื้องหลัง

ตอกย้ำภาพการจัดตั้งรัฐบาล เทพประทานในค่ายทหาร

และก็เป็น อภิสิทธิ์ที่แบไต๋ออกมาเอง จากข้อความตอนหนึ่งในเฟซบุ๊กช่วงเวลานั้นนายพสิษฐ์ศักดาณรงค์อดีตเลขานุการ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ติดต่อผ่าน ส.ส.คนหนึ่ง เพื่อขอพบผม เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย เราก็ได้พบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์

โดยคุณพสิษฐ์บอกผมว่า พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ผมก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกกับผมว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรค ประชาธิปัตย์ ซึ่งผมตอบกลับไปว่า การยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่ เป็นเรื่องของเนื้อคดีและดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ แม้แต่วันนั้นผมก็ยังบอกเขาเลยว่าหากยุบพรรคพลังประชาชน ผมก็คิดว่าไม่ได้เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับประชาธิปัตย์ เพราะผมเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลเดิมก็คงจับมือกันเป็นรัฐบาลต่อ

ตามจังหวะที่นายพสิษฐ์ให้สัมภาษณ์พิเศษไล่หลังในหนังสือ พิมพ์มติชนฉบับประจำวันที่ 10 มิถุนายน ฉายซ้ำ คลิปลับวันนัดพบผู้นำฝ่ายค้าน

จับประโยคสนทนา ใกล้เคียงกับช็อตเบื้องหลังที่นายอภิสิทธิ์ถ่ายทอดออกมา

เรื่องของเรื่อง ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า อภิสิทธิ์กับ พสิษฐ์มีการนัดพบกันจริงๆในห้วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ และผลออกมาก็เป็นไปตามที่มีการเจรจาความกัน

มันก็ชัด มีขบวนการ ล็อบบี้อยู่ฉากหลัง

เถียงไม่ขึ้น รัฐบาล อภิสิทธิ์ก่อกำเนิดมาจาก พลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”.

ทีมข่าวการเมือง

ไทยรัฐออนไลน์

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

“ดร.สมปอง” ชี้ ไทยต้องค้าน “ศาลโลก” หลังหมดอำนาจบังคับกว่า 50 ปี

อดีตทีมสู้คดีพระวิหาร ชี้ ไทยต้องค้านอำนาจบังคับของศาลโลก มากกว่าแค่โต้แย้งอำนาจออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามคำขอเขมร ย้ำ ไทยไม่ต่ออายุคำรับอำนาจตั้งแต่ 50 กว่าปีก่อน หลังกัมพูชายื่นฟ้องคดีปราสาทพระวิหาร ระบุ ไทยส่งคณะไปกรุงเฮก พร้อมส่งหลักฐานปะทะกัมพูชา เท่ากับยอมรับอำนาจศาลโลกโดยปริยาย


วันนี้ (6 มิ.ย.) ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะอดีตทนายความผู้ทำคดีปราสาทพระวิหารปี พ.ศ.2502-2505 อดีตหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำยูเนสโก และอดีตที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของยูเนสโกเรื่องมรดกโลก ได้นำเสนอบทความในเว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ ในหัวข้อ “ศาลโลกกับคดีปราสาทพระวิหาร” โดยได้ตั้งข้อสังเกตถึงข้อโต้แย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาว่า ในชั้นนี้ซึ่งเพิ่งเป็นการเริ่มกระบวนการตามคำร้องขอของกัมพูชาให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตีความคำพิพากษาของศาล ในคดีปราสาทพระวิหาร วันที่ 15 มิ.ย.2505 นั้น ดร.สมปอง เห็นว่า ข้อโต้แย้งและเหตุผลของไทยที่อ้างว่าศาลไม่มีอำนาจออกคำสั่งเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองชั่วคราวตามคำขอของกัมพูชานั้น ยังขาดเหตุผลอันเป็นสารสำคัญ คือ ข้อเท็จจริงที่ประเทศไทยมิได้รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยบังคับเป็นการล่วงหน้าโดยปฏิญญา การรับอำนาจดังกล่าวมิได้มีการต่ออายุมาตั้งแต่ปี 2492 และหมดอายุไปตั้งแต่ปี 2502 ไม่กี่เดือนหลังจากที่กัมพูชายื่นคำร้องเพื่อฟ้องไทยในคดีปราสาทพระวิหาร

ประการต่อมา คือ คำแถลงสรุปผลการเจรจาของคณะผู้แทนไทย หลังจากเดินทางกลับจากกรุงเฮกนั้น มีความคล้ายคลึงกับหนังสือของ นายถนัด คอมันตร์ รมว.ต่างประเทศ ในข้อที่ว่า ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งมีพันธกรณีตามข้อ 94 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ทั้งๆ ที่ไทยมีความเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวขาดความชอบธรรมเนื่องจากขัดต่ออนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และสนธิสัญญากับพิธีสาร ค.ศ.1907

อีกประการหนึ่ง ในครั้งนั้นเป็นขั้นตอนที่ศาล ได้วินิจฉัยแล้วว่า ศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษาโดยบังคับ เนื่องจากไทยได้มีปฏิญญารับอำนาจศาล แล้วเมื่อ ค.ศ.1949 ซึ่งขณะนั้นยังไม่ขาดอายุ ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง เมื่อกัมพูชาขอขยายคำฟ้องอีกสองข้อ คือ สถานภาพของแผนที่ผนวกหนึ่ง มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 และความถูกต้องของเส้นเขตแดนตามแผนที่ผนวกหนึ่ง ซึ่งทั้งสองข้อนี้ ศาลได้ระบุชัดเจนว่าปฏิเสธและไม่พิจารณา

ถึงกระนั้นก็ตาม บัดนี้ กัมพูชาก็ยังอ้างว่า ศาลให้ความเห็นชอบข้อโต้แย้งและเหตุผลของไทยที่อ้างว่าศาลไม่มีอำนาจออกคำสั่งเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองชั่วคราวตามคำขอของกัมพูชา กับคำแถลงสรุปผลการเจรจาของคณะผู้แทนไทยหลังจากเดินทางกลับจากกรุงเฮก ซึ่งไม่เป็นความจริง อีกทั้งสิ่งที่น่าวิตก คือ ฝ่ายไทยยังไม่เข้าใจข้อแอบอ้างของกัมพูชาอันเป็นเท็จ

ศ.ดร.สมปอง ยังระบุอีกว่า กัมพูชากำลังฉวยโอกาสที่ไทยโต้แย้งอย่างสับสน และไม่ชัดเจนโดยมิได้ศึกษาข้อเท็จจริงอย่างละเอียดและรอบคอบ นอกจากนั้น ยังสำคัญผิดคิดว่าได้โต้แย้งไปแล้วอย่างครบถ้วนและพอเพียง แท้ที่จริงนั้น ศาลอาจสันนิษฐานได้ว่าไทยมิได้คัดค้านอำนาจศาลโดยตรง เพราะไทยเพียงแต่อ้างว่าศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคำขอของกัมพูชา ทั้งยังขอให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีโดยมิได้ยื่นคำคัดค้านอำนาจศาล และมิได้แม้แต่อ้างข้อสงวนของฝ่ายไทยตามหนังสือของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2505 ที่มีไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติ

ฉะนั้น อันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ คือ การที่ไทยจะส่งหลักฐานความเสียหายจากการปะทะกับกัมพูชาไปให้ศาล ซึ่งศาลอาจเข้าใจว่าไทยสละสิทธิ์ในการคัดค้านอำนาจศาล เพราะไทยได้แถลงอย่างอ้อมค้อมว่าศาลไม่มีเขตอำนาจพิจารณา แทนที่จะอ้างอย่างชัดเจนตามกฎหมายว่า ไทยคัดค้านอำนาจพิจารณาของศาล เบื้องต้น (Preliminary objection to the jurisdiction) ไทยต้องยืนยันอย่างชัดเจนตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะสายจนเกินแก้

“เพราะศาลอาจสันนิษฐานว่า การที่ไทยได้เดินทางไปให้การโดยมิได้ยื่นคำคัดค้านอำนาจของศาลอย่างชัดเจนเป็นทางการ อีกทั้งยินยอมส่งหลักฐานให้ศาลตามคำขอของศาลนั้น เป็นการยอมรับอำนาจศาลโดยปริยาย ทั้งเป็นการเสี่ยงที่จะถูกศาลสั่ง ว่า ในเมื่อไทยมีโอกาสคัดค้าน เหตุใดจึงประพฤติปฏิบัติเสมือนไม่คัดค้านอำนาจศาล” ศ.ดร.สมปอง ระบุ

ทั้งนี้ ศาลอาจใช้กฎหมายปิดปากไทยอีกเช่นในอดีต ฉะนั้น ไทยชอบที่จะใช้เหตุผลที่ได้ให้ข้อคิดเห็นไปแล้ว กล่าวคือแถลงการของศาล ใน Press Release (เอกสารข่าว) ได้ระบุว่า คดีนี้เป็นคดีใหม่ ไทยควรที่จะยืนยันว่าศาลขาดอำนาจพิจารณาพิพากษาโดยบังคับ เพราะไทยมิได้ต่ออายุคำรับอำนาจศาล ซึ่งขาดอายุไปแล้วกว่า 50 ปี หากศาลจะอ้างว่าเป็นคดีเดิม คือ เป็นเพียงขอให้ศาลตีความคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 ไทยก็ชอบที่จะโต้แย้งว่า ในหลายคดีที่ผ่านมาดังปรากฏในรายงานของศาล การขอให้ศาลตีความ คู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดควรกระทำการร้องขอโดยไม่ชักช้า ซึ่งในทางปฏิบัติไม่เคยเกิน 2 ปี

นอกจากนี้ การที่กัมพูชามิได้ร้องขอให้มีการตีความภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เนื่องจากไทยได้ปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างถูกต้องโดยกัมพูชามิได้โต้แย้งแต่ประการใด ไทยต่างหากที่เป็นฝ่ายประท้วงและตั้งข้อสงวนไว้ และมอบหมายให้ผู้แทนฝ่ายไทยในคณะกรรมการกฎหมาย (กรรมการที่หก) ชี้แจงและให้เหตุผลว่าศาลฯ ตัดสินผิดต่อสนธิสัญญา ผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และผิดต่อหลักความยุติธรรม ดังปรากฎในรายงานสรุปของคณะกรรมการที่หก ของสมัชชาสหประชาชาติ สมัยประชุมที่ 17 ปี 1962 เป็นที่น่าเสียดายที่ฝ่ายไทยมิได้เคยนำเรื่องนี้มาใช้ในการโต้แย้งในกรณีปัจจุบัน

“การต่อสู้ครั้งนี้ ไทยจำเป็นต้องศึกษาจุดยืนของเราเองให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และแม่นยำ ยึดมั่นกับจุดยืนของตนโดยไม่หวั่นไหวกับคำให้การของคู่กรณีอันก่อให้เกิดความสับสนและสำคัญผิดในเนื้อหาและข้อเท็จจริง จุดสำคัญที่พึงกระทำในชั้นนี้ คือ ไทยต้องคัดค้านอำนาจศาลฯ ในโอกาสแรกที่สามารถทำได้ การกล่าวแต่เพียงว่าเขตอำนาจของศาล ไม่ครอบคลุมถึงคำขอของกัมพูชานั้นยังไม่เพียงพอ ไทยต้องยืนยันอย่างเป็นทางการ ว่า ไทยคัดค้านอำนาจศาลฯ เพราะไทยมิได้ยินยอมรับอำนาจศาลฯ อีกเลยหลังจากขาดอายุไปแล้วเป็นเวลากว่า 50 ปี การไปปรากฏตัวที่ศาลฯ แต่ละครั้ง ก็ด้วยวัตถุประสงค์หลักเพียงอย่างเดียว คือ คัดค้านอำนาจศาล มิใช่เพียงโต้แย้งว่าคำขอของกัมพูชาไม่อยู่ในเขตอำนาจพิจารณา” ศ.ดร.สมปอง ระบุ

การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะ



การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะ
โดย ยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ6 มิถุนายน 2554 14:16 น.
จากข่าวที่ปรากฏต่อสาธารณชนตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บริหารราชการแผ่นดินมาได้เกิดการต่อต้านโดยพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นฝ่ายค้าน การดำเนินการของพรรคฝ่ายค้านได้ดำเนินการทางการเมืองในสภาควบคู่กันไปกับการต่อต้านรัฐบาลนอกสภาร่วมกับนปช.หรือคนเสื้อแดง โดยมีการชุมนุมยึดพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงซึ่งเป็นย่านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญไว้เป็นเวลานาน มีการอ้างถึงความเป็นไพร่กับอำมาตย์ เพื่อให้เห็นความเลื่อมล้ำในเชื้อชาติกันในสังคม การจะตั้งรัฐไทยใหม่ การดูหมิ่นสถาบัน การทุจริตของรัฐบาล ความต้องการที่จะให้อดีตนายกรัฐมนตรีกลับประเทศอย่างผู้บริสุทธิ์ ความอยุติธรรมที่ไม่ได้รับอย่างเท่าเทียมกันพร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ฯลฯ เมื่อรัฐบาลดำเนินการทางกฎหมายขอพื้นที่คืนซึ่งมีคนตายจำนวนหนึ่ง ก็ได้มีการดำเนินคดีอาญาในข้อหาก่อการร้ายและข้อหาอื่นๆกับสส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำนปช.หลายคนและหลายคนก็หลบหนี

ความขัดแย้งในทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มคนเสื้อแดง รัฐบาลได้ใช้นโยบายการปรองดองโดยแสดงออกที่จะให้ความช่วยเหลือให้คนเสื้อแดงได้รับการประกันตัว เพื่อให้เกิดการปรองดองระหว่างรัฐบาลกับพรรคการเมืองฝ่ายค้านและคนเสื้อแดงเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งผลที่สุดแกนนำและคนเสื้อแดงที่ได้ทำการรุนแรงเผาบ้านเรือน อาคารร้านค้าของประชาชน และถูกตั้งข้อหาร้ายแรงเป็นผู้ก่อการร้ายหมิ่นสถาบัน หลายคนก็ได้รับการประกันตัวออกมากดดันรัฐบาลเพื่อให้ยุบสภาอีกเป็นครั้งคราว โดยการชุมนุมในที่สาธารณะตามเวลาและโอกาสที่จะอ้างเพื่อการชุมนุม ซึ่งผลที่สุดรัฐบาลก็ได้ยุบสภาและจะมีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ทั้งๆที่มิได้มีความปรองดองระหว่างพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านกับคนเสื้อแดงแต่อย่างใดเลย

ในระหว่างที่รัฐบาลมีปัญหากับการต่อต้านของฝ่ายค้านและกลุ่มคนเสื้อแดง ในการดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเอง ก็เกิดปัญหาการแคลงใจของประชาชนอีกกลุ่มคนหนึ่งคือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. เพราะมีการกระทำของรัฐบาลไทยอันเป็นการกระทำที่เคลือบแคลงว่าเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กัมพูชา และจะทำให้ไทยต้องเสียอำนาจอธิปไตยในดินแดนให้กับกัมพูชา จึงได้เกิดจากชุมนุมกันขึ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 เป็นต้นมา โดยพันธมิตรฯมีข้อเรียกร้อง 3 ประการให้รัฐบาลปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงกับการเสียอำนาจอธิปไตยในดินแดนคือ ( 1) ยกเลิก MOU’43 ( 2 ) ยกเลิกการเป็นสมาชิกองค์กรมรดกโลก และ( 3) หาทางกดกันให้ทหารและประชาชนชาวกัมพูชาออกไปจากดินแดนอาณาเขตประเทศไทย การชุมนุมของพันธมิตรฯที่มีข้อเรียกร้องที่ชัดเจน จึงเป็นการชุมนุมที่มิได้มีลักษณะเป็นข้อเรียกร้องเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมเป็นการส่วนตัวจากรัฐบาล แต่เป็นการชุมนุมที่มีลักษณะเป็นการแสดงบทบาทการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม ในกรณีที่รัฐบาลยังคงใช้ MOU’43 ทั้งๆที่กัมพูชาละเมิด MOU’43 ตลอดมา และยินยอมให้กัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นการชุมนุมเพื่อทำหน้าที่ในฐานะเป็นชนชาวไทยในการป้องกันประเทศรักษาผลประโยชน์ของชาติ ( ร.ธ.น.มาตรา 70,71 ) อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ และในระหว่างการชุมนุมก็ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมา ซึ่งกัมพูชาได้นำเรื่องยื่นต่อศาลโลกและต้องไปต่อสู้คดีกันที่ศาลโลก ผู้ชุมนุมก็ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลยอมรับอำนาจของศาลโลก เพราะไทยได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกและไม่จำต้องยอมรับเขตอำนาจศาลโลกได้ ทั้งไทยได้สงวนสิทธิของความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารโดยโต้แย้งคำพิพากษาศาลโลกไว้ที่องค์การสหประชาติ กับไม่ยอมรับหรือเห็นด้วยที่จะไปจ้างทนายความชาวฝรั่งเศส เนื่องจากเป็นฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคมของกัมพูชามาก่อน ปัญหาเขตแดนเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากข้อพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในอดีต จึงไม่น่าไว้วางใจทนายความดังกล่าว การชุมนุมได้ยืดเยื้อมาเป็นเวลาหลายเดือน โดยรัฐบาลไม่ได้ให้เหตุผลถึงข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมให้เป็นที่ประจักษ์ตามสิทธิที่ประชาชนได้ใช้สิทธิตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ( ร.ธ.น. มาตรา 62 วรรคแรก) เมื่อมีการรุกรานทางทหารของกัมพูชาโดยการใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาในเขตประเทศไทย ก็ได้มีการสั่งการเพื่อการตั้งรับการรุกรานของกัมพูชาแทนการขับไล่กัมพูชาให้ออกนอกเขตประเทศไทย พฤติการณ์ที่ปฏิบัติต่อกันในการรักษาอธิปไตยมีข้อสงสัยว่า เป็นการสมรู้ร่วมคิดกันที่จะยกดินแดนไทยบางส่วนให้กับกัมพูชาหรือไม่ เพราะกัมพูชาได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติของไทยไปแล้ว และมีการรุกรานแนวชายแดนหลายแห่งจนเป็นข่าวมาเป็นระยะๆ รัฐบาลแก้ปัญหาระหว่างประเทศอย่างอ่อนด้อยนำพาประเทศไปสู่ความสูญสิ้นซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งความเป็นรัฎฐาธิปัตย์ในเวทีโลกอย่างไม่น่าเชื่อ จนมีข้อกังขาว่าเป็นการขายชาติหรือทรยศต่อแผ่นดินหรือไม่ จนมีประชาชนฟ้องคดีต่อศาล และแจ้งความดำเนินคดีหลายคดี ปัญหาภายในประเทศก็หย่อนยานในการใช้หลักนิติรัฐในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองที่ต้องถือว่า สิ่งที่เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ ย่อมเป็นกฎหมายสูงสุดมิใช่มุ่งหวังเอาการปรองดองระหว่างพรรคการเมืองด้วยกันเองเป็นที่ตั้ง ปล่อยประชาชนให้โหยหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยลำพังและเดียวดายจากการชุมนุมที่จัดเป็นมหกรรมทางการเมืองขึ้นเป็นครั้งคราวของนักการเมืองฝ่ายค้านและคนเสื้อแดง เสมือนหนึ่งประชาชนและธุรกิจของประชาชนเป็นเพียงตัวประกันในการต่อรองการแย่งชิงอำนาจรัฐกันในทางการเมือง โดยเรียกร้องและมีข้อตกลงกันที่จะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลได้ปฏิเสธการใช้อำนาจรัฐในการคุ้มครองประชาชนและพลเมืองของชาติโดยสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องผู้ค้าที่ราชประสงค์และกรณีนายวีระและนางสาวราตรีที่ถูกจับดำเนินคดีที่กัมพูชา เป็นการบริหารราชการแผ่นดินโดยละทิ้งประชาชน บริหารราชการโดยขาดหลักดุลยภาพของการมีส่วนรวมของประชาชนในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามวิถีทางการปกครองในระบบรัฐสภา บริหารราชการโดยมีข้อครหาว่า มีการทุจริตคอร์ปชั่นกันอย่างมโหฬารก่อนการยุบสภา การยุบสภาของนายยกรัฐมนตรีในขณะที่กำลังมีปัญหาที่วิกฤติของประเทศซึ่งกำลังอยู่ในเวทีโลก และกำลังจะนำประเทศเข้าสู่อำนาจของศาลโลก ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯได้ตรวจสอบอยู่อย่างกระชั้นชิดและเกาะติดสถานการณ์นำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลไม่มีแผนในการดำเนินการของรัฐบาลที่ทำความเข้าใจต่อประชาชนแต่อย่างใดพฤติการณ์ของการยุบสภาจึงเป็นการยุบสภาเพื่อหนีการถูกตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของรัฐบาล และแอบแฝงการใช้อำนาจรัฐในระหว่างการยุบสภานำพาประเทศไปสู่ศาลโลก โดยสามารถอ้างถึงความจำเป็นที่ไม่ต้องผ่านรัฐสภาเพราะอยู่ในเวลาที่สภาถูกยุบได้

ในการรับสมัครเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2554 ประชาชนจึงเห็นภาพและรายชื่อของผู้ที่สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้ก่อเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมืองและถูกดำเนินคดีอาญา ซึ่งคดีอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีทั้งสิ้น แต่บุคคลดังกล่าวก็กลับมาอยู่บนเส้นทางการนำไปสู่การเป็นผู้ปกครองประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐอีกครั้งหนึ่ง โดยพรรคการเมืองเสนอให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลก็เป็นบุคคลที่ได้บริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลวในสายตามของประชาชนนั้นมาสู่บนถนนการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน

ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจึงได้เห็นภาพของนักการเมืองและพรรคการเมืองออกประกาศนโยบายการปรองดอง นโยบายการไม่แก้แค้นแต่ต้องการแก้ไข นโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำความผิด นโยบายการรื้อระบบศาล รื้อองค์กรอิสระ นโยบายการใช้ระบบประชานิยมโดยมีการให้แจกฟรีแก่ประชาชน ในทุกรูปแบบ รวมทั้งนโยบายให้คณะรัฐมนตรีหยุดโกงครึ่งปีฯลฯ ประชาชนได้เห็นข่าวออกสู่สาธารณะของการข่มขู่ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ อธิบดี ดีเอสไอเป็นต้น ได้เห็นข่าวการยิงนักการเมืองและหัวคะแนนนักการเมือง ข่าวการประกาศการให้รางวัลล่าจับมือปืนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ข่าวที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งขอให้ตำรวจอารักขาจำนวนกว่าร้อยราย ได้เห็นข่าวของผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคและไม่ใช่เป็นหัวหน้าพรรครวมทั้งอดีตหัวหน้าพรรคที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเจรจาเพื่อร่วมกันหรือไม่ร่วมกันที่จะมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งอย่างเอิกเกริกและเมามัน

การที่พรรคการเมืองนำสมาชิกพรรคการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้งอันเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเพราะมีการยุบสภา ( ร.ธ.น. ม.106 (1) และม.107 ) เมื่อมีการเลือกตั้งสส.กันใหม่ บุคคลสองประเภทที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การบังคับใช้ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญคือ “ ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส. ” และ “ บุคคลผู้ใช้สิทธิหรือมีสิทธิเลือกตั้งสส. ” โดยบุคคลทั้งสองประเภทจะต้องถูกกฎหมายรัฐธรรมนูญบังคับใช้ในเรื่อง “ คุณสมบัติของสถานภาพ ” ( Status ) และ “ คุณลักษณะในความไม่สามารถในการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งและการไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ” ( Incapability ) ตามรัฐธรรมนูญ ม.99 , ม.100 และ ม.101 ,ม.102 ทันที โดยรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติถึง “ คุณสมบัติในทางคุณภาพ ” ( quality , eligibility ) “ คุณสมบัติในความเป็นคน ” ( Being human ) “ คุณสมบัติความสมบูรณ์ของความเป็นคน ” ( Ideal person ) “ คุณสมบัติของความเป็นคนที่มีศีลธรรม ”
( Virtuous person ) “ คุณสมบัติของการเป็นคนที่มีคุณแก่ส่วนรวม ” ( Social benefactor ) ฯลฯ และคุณสมบัติอื่นๆที่เป็นพื้นฐานทางจริยธรรม มโนธรรมของบุคคลที่เป็นผู้ปกครองคนและประเทศชาติ และบุคคลที่มีส่วนในการเลือกผู้ปกครองคนในชาติคือ “ ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ” และ “ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” ไว้แต่อย่างใดไม่ และสาเหตุที่ไม่ได้บัญญัติคุณสมบัติในทางคุณภาพของบุคคลทั้งสองจำพวกไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่เป็นแม่แบบของการปกครองประเทศ ( Organic and fundamental law of nation or state ) จึงไม่อาจบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญได้ เพราะอาจมีผลกระทบถึงความไม่เท่าเทียมกัน( unequality ) และสุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นการแบ่งแยก แบ่งชั้นชนชาติกันได้ ( Discrimination ) ทั้งการกำหนดคุณสมบัติในทางคุณภาพจะต้องแก้ไขได้และต้องแก้ไขได้ง่ายตามสภาพของสังคม จึงเป็นเรื่องที่จะนำมาบัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่แก้ไขได้ยาก ( Rigid constitution ) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐธรรมนูญเปิดช่องให้คนเลว คนชั่ว คนไม่มีคุณธรรม คนทำผิดกฎหมาย หรือคนไม่มีคุณภาพเข้ามาเป็นผู้ปกครองประเทศได้แต่อย่างใด

การกำหนดคุณสมบัติในทางคุณภาพของความเป็นคนที่มีคุณภาพและมีศีลธรรมที่จะขึ้นมาเป็นผู้ปกครองคนในชาติในแบบรัฐสภานั้น เป็นพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าขาดการกำหนดคุณสมบัติในทางคุณภาพของความเป็นคนในกรณีดังกล่าวแล้ว การเลือกตั้งก็จะขัดต่อพื้นฐานการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยทันที อันเป็นหลักสากลที่ทราบกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นการบังคับให้มีการเลือกคนที่มาปกครองตนเองโดยปราศจากซึ่งหลักประกันขั้นพื้นฐานของการคัดเลือกผู้ปกครองของ “ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” ซึ่งก็จะกลายเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรมของ “ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” และของประชาชนในชาติทุกคน การเลือกตั้งก็อาจจะได้โจร ได้คนชั่ว ได้มือปืน ได้คนทำผิดกฎหมาย ได้คนโกงมาปกครองประเทศโดยวิถีทางการเลือกตั้ง กติกาของการเลือกตั้งที่ยอมรับในการนับคะแนนเลือกตั้งนั้น “ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” จะต้องได้รับความเป็นธรรมที่ต้องมีโอกาสสูงสุดในการเลือกตั้งคนที่มีคุณภาพมาปกครองตนเอง

แต่เมื่อการเลือกตั้งเป็นระบบพรรคการเมือง ตามหลักการในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งระบบพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเลือกตั้งโดย “ การลงคะแนนเลือกตั้ง” หรือ “ โดยแบบบัญชีรายชื่อ ” ซึ่ง “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” จะต้องเลือกพรรคการเมืองนั้นแล้ว พรรคการเมืองจะต้องเป็นผู้มีหน้าที่เลือกบุคคล “ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ” ที่ดีที่สุดมาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเสียก่อน อันเป็นหลักสำคัญในระบอบประชาธิปไตย แต่หากพรรคการเมืองไม่คัดสรรผู้สมัครรับเลือกตั้งในเบื้องต้นให้เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติในคุณภาพและมีศีลธรรมที่ดีที่สุดแล้ว การเลือกตั้งนั้นก็จะไร้ซึ่งความสุจริตและเที่ยงธรรมสำหรับ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” และประชาชนที่ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศมาตั้งแต่แรกเริ่ม และขัดต่อหลักการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เพราะรัฐธรรมนูญต้องคุ้มครองสิทธิของ “ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง” และ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” รวมทั้ง “ ประชาชนที่ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ ” อย่างมีดุลยภาพในการได้คนดีมาปกครอง คุณสมบัติในทางคุณภาพของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งที่ดี จึงเป็นรากฐานในความสุจริตและเที่ยงธรรมของการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย

เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญจึงได้บัญญัติให้มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญไว้ถึง 4 ฉบับ โดยให้ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือประธานกกต.เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง อันเป็นการที่รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจ “ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.” มีอำนาจในการออกกฎหมายได้ด้วยองค์กรของกกต.เองโดยออกเป็นประกาศ หรือระเบียบ ซึ่งมีศักดิ์เป็นกฎหมายและใช้บังคับได้ทันที (ไม่ต้องผ่านสภาและต้องสอดคล้องกับร.ธ.น.และกฎหมาย ) เพื่อควบคุมการดำเนินการใดๆของพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้การเลือกตั้งและการดำเนินกิจการในทางการเมืองของพรรคการเมืองให้เป็นโดยสุจริตและเที่ยงธรรม [ ร.ธ.น.มาตรา 236 (1) ] ความสุจริตและเที่ยงธรรมจะต้องเกิดขึ้นกับทั้ง “ พรรคการเมือง ” “ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ” “ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ” และ “ ประชาชนทั้งประเทศ ” ตามหลักประชาธิปไตยที่มีการปกครองแบบรัฐสภา หาใช่จะมีความสุจริตและเที่ยงธรรมเฉพาะแต่ “พรรคการเมือง” และ “ ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง” แต่เพียงฝ่ายเดียวได้แต่อย่างใดไม่ การคัดเลือก “ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ” จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจของ “ พรรคการเมือง” เท่านั้น แต่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ “ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. “ โดยอำนาจทางกฎหมายด้วย การกำหนดคุณสมบัติในทางคุณภาพของความเป็นคนและมีศีลธรรมของผู้สมัครรับเลือกตั้ง จึงต้องบัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและต้องออกเป็นประกาศ หรือระเบียบของกกต. ตามอำนาจหน้าที่ของกกต.ที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองและว่าด้วยกรรมการการเลือกตั้ง

ในทำนองเดียวกัน การกำหนดคุณสมบัติในทางคุณภาพของความเป็นคนที่มีคุณภาพและมีศีลธรรมของ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง “ ก็มีผลต่อความสุจริตและเที่ยงธรรมต่อชาติและต่อประชาชนทั้งประเทศที่ไม่มีสิทธิเลือกตั้งได้ เพราะ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” เป็นผู้มีอำนาจในการเลือกคนไปเป็นผู้ปกครองคนทั้งประเทศ กกต.จึงมีอำนาจและหน้าที่ในการออกประกาศ หรือระเบียบเกี่ยวกับคุณสมบัติในคุณภาพและความมีศีลธรรมของ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” เพื่อป้องกันการขายเสียงและการซื้อเสียง การประพฤติตนเป็นนายหน้าจัดการซื้อหรือขายเสียง ซึ่งเรียกว่าหัวคะแนน หรือมือปืนหัวคะแนนซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของสังคมในขณะนั้นๆได้เช่นกัน[ ร.ธ.น.มาตรา 235 , 236 (1) ]

ดังนั้นกกต.จึงเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จะต้องออกกฎหมาย โดยออกเป็นระเบียบกำหนดเพื่อควบคุมเกี่ยวกับการดำเนินใดๆของพรรคการเมือง ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง และของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างมีดุลยภาพเพื่อให้เกิดความสุจริตและเที่ยงธรรม และเป็นไปตามการปกครองแบบรัฐสภาและในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดังนั้นการออกระเบียบเพื่อควบคุมให้พรรคการเมืองสรรหา หรือคัดสรรสมาชิกผู้สมัครรับเลือกตั้งให้มีคุณสมบัติในทางคุณภาพและมีศีลธรรมตามมาตรฐานของความเป็นผู้ปกครองประเทศนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างที่สุด เพราะหากมีการคัดเลือก “ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ” ไม่ดีหรือไม่มีการคัดเลือกแล้ว ก็จะมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งได้โดยตรง “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” ก็จะเกิดสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะต่อต้านคัดค้านการเลือกตั้งได้ เพราะเป็นการเลือกตั้งซึ่งถือได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ( ตามนัย ร.ธ.น.มาตรา 68 วรรคหนึ่ง , 235 , 236 )ซึ่งก็ปรากฏให้เห็นการรณรงค์ของภาคประชาชน “ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” ไม่ให้เลือกผู้ใดเข้าสภาขึ้นแล้วในปัจจุบัน

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 9 และ 10 ได้บัญญัติคุณสมบัติในคุณภาพและความมีศีลธรรมของพรรคการเมืองไว้โดยบัญญัติให้ พรรคการเมืองต้องมี “ นโยบาย ” และ “ ข้อบังคับพรรคการเมือง ” ซึ่งมีลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดความแตกแยกในเรื่องเชื้อชาติ หรือศาสนาในระหว่างชนในชาติ ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร และไม่ขัดต่อกฎหมาย หรือ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ( พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ม.9 ) และพรรคการเมืองจะต้องมี “ ข้อบังคับพรรคการเมือง” ให้สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยกำหนดรายการที่ต้องมีข้อบังคับอย่างน้อยไว้ในกฎหมายเช่น (1) การเข้ารับเป็นสมาชิกและการให้ออกจากการเป็นสมาชิก ( 2 ) วินัยและจรรยาบรรณของสมาชิก กรรมการบริหารพรรคการเมือง และกรรมการสาขาพรรคการเมือง ( 3 ) หลักการและวิธีการเลือกสมาชิกเพื่อส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อฯลฯ [ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ม. 10 (7 )(10) ( 11 ) ] “ นโยบายพรรคการเมือง” และ “ ข้อบังคับพรรคการเมือง ” มิได้มีผลแต่เฉพาะนักการเมืองด้วยกันเอง แต่ “ นโยบายพรรคการเมือง ” และ “ ข้อบังคับพรรคการเมือง ” มีผลถึงสิทธิในการเลือกตั้งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งและของประชาชนโดยทั่วไปที่จะต้องได้ผู้ปกครองที่มีคุณภาพทั้งทางนโยบายและคุณภาพของบุคคลผู้ปกครองซึ่งต้องกอร์ปด้วยคุณธรรมและจริยธรรมเยี่ยงผู้ปกครองประเทศแล้ว จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของกกต.ที่จะต้องควบคุมให้การดำเนินการจดทะเบียนนโยบายพรรคการเมืองให้เป็นไปตามหลักการของพรรคการเมือง กกต.จึงมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องออกประกาศ หรือระเบียบอันจำเป็นที่จะกำหนดกรอบให้พรรคการเมืองต้องกำหนด “ นโยบายพรรคการเมือง ” เพื่อให้พรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองต้องปฏิบัติตาม “ นโยบายพรรคการเมือง ” แต่ละพรรค โดยผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งและประชาชนสามารถทราบ “ นโยบายพรรคการเมือง ” แต่ละพรรคอย่างเป็นรูปธรรมได้ ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญกฎหมายพรรคการเมืองและสภาพสังคมในช่วงนั้นๆ กกต.มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่จะต้องออกประกาศหรือระเบียบเพื่อให้พรรคการเมืองมีวินัย ( Discipline) และจรรยาบรรณ ( Ethics ) โดยต้องกำหนดคุณสมบัติในคุณภาพ ( quality ) ของสมาชิก กรรมการบริหารพรรคการเมือง และกรรมการสาขาพรรคการเมือง และต้องออกประกาศหรือระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้พรรคการเมืองเลือกสมาชิกเพื่อส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้ง กกต.ไม่สามารถปล่อยให้พรรคการเมืองจะกำหนดหรือไม่กำหนดนโยบายพรรคการเมืองตามอำเภอใจหาไม่ได้ จะปล่อยปละละเลยให้พรรคการเมืองจะกำหนดวินัยและจรรยาบรรณ หรือไม่กำหนดวินัยและจรรยาบรรณตามอำเภอใจไม่ได้ กกต.จะปล่อยปละละเลยให้พรรคการเมืองเลือกสมาชิกที่ไม่มีคุณสมบัติในทางคุณภาพ ไร้ซึ่งวินัย และไร้ซึ่งจรรยาบรรณ ขาดไร้ซึ่งศีลธรรม หรือเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายอาญาร้ายแรงที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักรและถูกดำเนินคดีอยู่ หรือเป็นผู้กระทำผิดคดีอาญาร้ายแรงอื่นใดมาลงสมัครรับเลือกตั้งตามอำเภอใจหาไม่ได้ เพราะปัญหาดังกล่าวกระทบต่อสิทธิในการเลือกตั้ง และสิทธิในการมีผู้ปกครองที่ดี มีความสามารถ มีวินัย มีคุณธรรมและจรรยาบรรณของ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” และของประชาชนโดยทั่วไปที่ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยตามระบบรัฐสภา เพราะมิฉนั้นแล้วจะมีผลทำให้การเลือกตั้งไม่ใช่เป็นการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ทั้งยังเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม และขัดต่อรัฐธรรมนูญอีกด้วย

การให้พรรคการเมืองออก ”นโยบายพรรคการเมือง “ และ ” ออกข้อบังคับ “ เกี่ยวกับวินัยและจรรยาบรรณตามอำเภอใจของพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมือง โดยไม่มีระเบียบของกกต.ควบคุมไว้ ก็จะไม่มีผลบังคับทางกฎหมายที่จะบังคับให้พรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองต้องปฏิบัติตามนโยบายและข้อบังคับของตนเองได้แต่อย่างใดไม่ จึงเป็นที่เห็นได้ว่าพรรคการเมือง ( บางพรรค ) มีข้อบังคับโดยข้อบังคับนั้นไม่มีนโยบาย วินัย จรรยาบรรณ และคุณสมบัติสมาชิกพรรคการเมืองเพื่อให้พรรคการเมืองเลือกสมาชิกส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้งไว้แต่อย่างใดเลย หรือมี แต่ไม่ผูกพันที่พรรคการเมืองจะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของตน เพราะกกต.ไม่ได้ออกประกาศหรือระเบียบออกบังคับใช้ในกรณีดังกล่าว “ นโยบายพรรคการเมือง” และ “ ข้อบังคับพรรคการเมืองเกี่ยวกับวินัยและจรรยาบรรณ และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกสมาชิกเพื่อส่งสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ” นั้น มีผลกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งและประชาชนทั้งประเทศซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้อย่างรุนแรง ทั้งในขณะเลือกตั้งและจะเกี่ยวข้องกับสิทธิของประชาชนตลอดไปจนสิ้นระยะเวลาของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ( เพราะได้รับการเลือกตั้งแล้ว ) การที่กกต.ไม่ได้ออกประกาศหรือระเบียบออกใช้บังคับเพื่อควบคุมกำหนด “ นโยบายพรรคการเมือง ” และ “ ข้อบังคับพรรคการเมือง ” ในส่วนที่เกี่ยวข้องหรือมีผลต่อประชาชนและ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” โดยตรงแล้ว ก็จะเป็นกรณีที่กกต.ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการ “ควบคุมระบบการเลือกตั้ง” ให้เป็นไปตามการปกครองแบบรัฐสภาและในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแต่อย่างใด และเป็นเหตุทำให้ “ระบบการเลือกตั้ง” ไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมและขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมนั้นจะต้องสุจริตและเที่ยงธรรมต่อประชาชน “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” และประชาชนที่ยังไม่มีสิทธิที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นสำคัญด้วย

ดังจะเห็นตัวอย่างการจดทะเบียนพรรคการเมืองที่จดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองไว้แล้ว บางพรรคได้ออกข้อบังคับโดยไม่มีนโยบาย วินัย จรรยาบรรณ รวมทั้งคุณสมบัติของบุคคลที่พรรคจะต้องคัดเลือกส่งลงสมัครรับเลือกตั้งไว้อย่างเป็นรูปธรรมที่จะต้องปฏิบัติตามนโยบายและข้อบังคับนั้นได้เลย พรรคการเมืองจึงสามารถส่งบุคคลผู้ไม่มีคุณภาพ ไม่มีวินัยและไม่มีจรรยาบรรณลงสมัครรับเลือกตั้งได้ เมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 102 กำหนดไม่ให้ผู้ติดยาเสพติดให้โทษมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ ถ้าอาศัยเพียงบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญโดยกกต.ไม่ได้ออกระเบียบ กำหนดกรอบเกี่ยวกับนโยบายพรรค วินัย จรรยาบรรณ และคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งไว้ พรรคการเมืองก็สามารถส่งผู้ค้ายาเสพติดให้โทษ , มือปืน , เจ้าของบ่อนการพนัน , เจ้าของซ่องโสเภณี , ผู้กระทำความผิดอาญาทุกประเภททุกชนิดและอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี รวมทั้งจะส่งใครก็ได้ที่ยอมเป็น “นอมินีของผู้มีอิทธิพลในพรรค” หรือ “ นอมินีจากต่างชาติ” ลงสมัครรับเลือกตั้งก็ได้ทั้งสิ้น หรือพรรคการเมืองบางพรรคออกข้อบังคับของพรรคโดยมีข้อบังคับเกี่ยวกับวินัยและจรรยาบรรณไว้ดีเลิศว่า “ สมาชิกไม่กระทำการใดๆอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือผิดศีลธรรม หรือเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีและเป็นที่ครหาของบุคคลทั่วไป “ แต่พรรคการเมืองนั้นก็มิได้เลือกบุคคลที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของพรรคลงรับสมัครรับเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กลับนำเอาบุคคลที่ได้กระทำผิดกฎหมายและกำลังถูกดำเนินคดีมาลงสมัครรับเลือกตั้ง อันเป็นการคัดเลือกบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้งโดยขัดต่อข้อบังคับของพรรคเอง และยังคัดเลือกบุคคลที่ได้มีการกระทำความผิดอันเข้าข่ายเกี่ยวกับความเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 9 และเข้าข่ายของการยุบพรรคมาตรา 94 มาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งอีกด้วย ซึ่งก็จะมีผลกระทบทำให้การเลือกตั้งที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรมต่อ ” ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” และต่อประชาชนแต่อย่างใด ทั้งไม่เป็นไปตามการปกครองแบบรัฐสภาและตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งเป็นการขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

การที่กกต.ไม่ออกประกาศหรือระเบียบเกี่ยวกับการจัดตั้งพรรคการเมืองในการกำหนด
“ นโยบายพรรคการเมือง” โดยไม่ปรากฏคำจำกัดความของคำว่า “ นโยบายพรรคการเมือง” คืออะไร ทำให้ประชาชนทั่วไปและผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งไม่อาจเห็นถึงศักยภาพหรือความสามารถของพรรคการเมืองในการมีความคิดหรือจุดประสงค์ในการพัฒนาประเทศไปในแนวที่ดีทางใดและจะพัฒนาอย่างไร แต่ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” และประชาชนโดยทั่วไปจะเห็น การโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งมีแต่โฆษณาอุปนิสัย หรือ ความต้องการเฉพาะกิจของหัวหน้าพรรครวมทั้งมี “ คำเสนอจะให้ ” โดยการให้นั้นจะใช้ทรัพยากรของชาติมาให้ หรือจะใช้อำนาจในการที่ตนเองจะได้รับจากการเลือกตั้งเป็นผู้ปกครองนั้นมาดำเนินการให้ตามข้อเสนอ ซึ่งก็ไม่ต่างกับการเสนอให้สินบนเพื่อให้ประชาชนเลือกตั้งตนเข้ามาเป็นผู้ปกครองเท่านั้น การโฆษณาหาเสียงดังกล่าวก็จะไม่ถูกตรวจสอบโดยกกต.ว่า เป็นไปตามนโยบายของพรรคการเมืองหรือไม่ เพราะกกต.ไม่ได้ออกระเบียบมาควบคุมนโยบายพรรคการเมืองดังกล่าว

กกต.ไม่ได้ออกประกาศ หรือระเบียบในการที่พรรคการเมืองจัดทำข้อบังคับพรรคการเมือง โดยไม่มีหลักเกณฑ์และวิธีการให้พรรคการเมืองต้องเลือกสมาชิกพรรคอย่างไรในการมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง , กกต.ไม่มีประกาศหรือระเบียบที่จะมีหลักเกณฑ์และวิธีการอย่างไร ที่จะไม่ให้หัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวในพรรคการเมืองและดำเนินการในพรรคการเมืองเสมือนหนึ่งเป็นเจ้าของพรรคการเมืองจนทำให้เห็นได้ว่าพรรคการเมืองไม่ใช่เป็นคณะบุคคลที่รวมตัวกันจัดตั้งเป็นพรรคการเมือง ( ม.4 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ) แต่พรรคการเมืองมีสถานะเป็นเพียงกลุ่มนายทุนที่ใช้พรรคการเมืองเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือของกลุ่มใดเป็นการเฉพาะเท่านั้น , กกต.ไม่มีวิธีการใดๆที่จะกำหนดห้ามไม่ให้พรรคการเมืองจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของอดีตหัวหน้าหรือผู้บริหารพรรคการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้ว , กกต.ไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะขจัดเกี่ยวกับตัวแทนเชิด หรือนอมินีของนักการเมืองและพรรคการเมืองไว้ ทำให้การดำเนินการทางการเมืองไม่สุจริตและเที่ยงธรรมต่อ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ” ในการใช้ตัวแทนเชิด หรือ นอมินีมาลงสมัครรับเลือกตั้ง , กกต.ไม่ได้มีระเบียบใดๆ หรือมาตรการใดๆรองรับสถานะความเป็นผู้เสียหายของประธานกกต.ที่จะต้องดำเนินคดีกับพรรคการเมือง ผู้บริหารพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง ในกรณีที่ไม่ได้ดำเนินการในฐานะเป็นพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย นโยบายพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรคการเมือง แทนประชาชนและแผ่นดิน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ อันเป็นเหตุทำให้พรรคการเมือง หรือ สมาชิกพรรคการเมืองสามารถซ่องสุมผู้คน อาวุธ ก่อการจลาจล ก่อการร้ายได้ โดยไม่มีการป้องปรามมิให้เกิดเหตุขึ้น หรือดำเนินการเอาผิดกับพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองดังกล่าวได้เลย ทั้งๆที่ประธานกกต.เป็นผู้เสียหายในการกระทำความผิดของพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้แต่อย่างใด ( ตามที่บัญญัติไว้ในพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ฯ มาตรา 17 , 18 และตามนัยมาตรา 31 ) , กกต.ไม่มีประกาศหรือระเบียบเกี่ยวกับดุลยภาพตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภาระหว่างสมาชิกพรรคการเมืองกับ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” ในกรณีมีสมาชิกพรรคทำการย้ายพรรค ซึ่งเกิดการซื้อตัว และการขายตัวของพรรคการเมือง และสมาชิกพรรคการเมือง, กกต.ไม่มีประกาศหรือระเบียบใดๆที่จะควบคุมการบริหารการเงินของพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง เพื่อป้องกันการใช้เงินซื้อเสียงในช่วงเวลาที่มีการเลือกตั้ง ฯลฯ มาตรการที่กกต.จะต้องออกระเบียบหรือประกาศตามตัวอย่างดังกล่าวข้างต้นล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย และมีผลเกี่ยวกับความสุจริตและเที่ยงธรรมระหว่าง “ ผู้มีสิทธิรับเลือกตั้ง ” และ “ ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง “ ทั้งมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรมต่อประชาชนและสังคมประเทศชาติโดยรวมทั้งสิ้น
การที่กกต.ไม่ได้ออกกฎหมายที่เป็นประกาศหรือออกระเบียบออกบังคับใช้ในเรื่องเกี่ยวกับพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และการดำเนินการใดๆของพรรคการเมือง ฯลฯ จึงทำให้กกต.เป็นยักษ์ไม่มีกระบอง ไม่มีเขี้ยว และไม่กล้าดำเนินการใดๆกับพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง โดยกกต.อาจเข้าใจว่า กกต.มีอำนาจดูแลการเลือกตั้งเฉพาะในเวลาที่มีการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้ว กกต.มีอำนาจหน้าที่เป็นผู้ควบคุม “ระบบการเลือกตั้ง” มิใช่ควบคุมวิธีการเลือกตั้งเฉพาะกิจเท่านั้น และ “การควบคุมการเลือกตั้งทั้งระบบ” ย่อมหมายถึงการกระทำใดๆที่มีผลมาจากการเลือกตั้ง หรือเกิดผลของการเลือกตั้งด้วย ดังจะเห็นได้ว่ากฎหมายได้บัญญัติให้ประธานกกต.ในฐานะเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่น ( พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 7 วรรคสอง ) ซึ่งหมายความว่า ความเสียหายใดๆที่เกิดขึ้นกับประชาชนและแผ่นดิน โดยการกระทำของพรรคการเมือง หัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง รวมทั้งสมาชิกพรรคการเมือง ภายหลังที่ได้รับการเลือกตั้งแล้ว และไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ตาม ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายในทุกกรณี ซึ่งประธานกกต.มีอำนาจและหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการทางคดีให้ และได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง รวมทั้งกกต.มีอำนาจออกประกาศหรือระเบียบที่จะใช้มาตรการทางการปกครอง เพื่อควบคุมระบบการเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพได้ด้วย

ดังนั้นเมื่อปรากฏว่า พรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมืองกระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร หรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือกระทำการอันเป็นปรปักษ์ต่อการปกครองประเทศระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ กระทำการอันเป็นการดูหมิ่นต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งเข้าข่ายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาและถูกยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญได้ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 94 ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้น ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองซึ่งเป็นผู้เสียหายจะต้องดำเนินการขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรครวมทั้งดำเนินคดีอาญาได้ ไม่ว่าจะมีผู้ใดมาร้องขอหรือไม่ก็ตาม แต่เนื่องจากกกต.ไม่ได้ออกกฎหมายหรือระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินการหรือกระบวนการดำเนินการของกกต. โดยต้องทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริง อันเป็นการดำเนินการทางปกครองเสียก่อน เพื่อให้ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองสามารถดำเนินการยุบพรรคและดำเนินคดีอาญาต่อไปได้ เมื่อกกต.ไม่ได้ออกระเบียบมาใช้บังคับจึงไม่มีการดำเนินการยุบพรรคการเมืองหรือดำเนินคดีอาญากับสมาชิกพรรคการเมืองที่ได้กระทำความผิด ขึ้นครั้งแล้ว ครั้งเล่า ปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วในขณะนี้

การที่ไม่ออกกฎหมายระเบียบหรือประกาศของกกต.ออกใช้บังคับ จึงเกิดความวุ่นวาย การจลาจลในบ้านเมือง ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว การปกครองประเทศจึงไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นการปกครองประเทศที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้จะมีการเลือกตั้งมาแล้วก็ตาม เพราะกกต.ไม่มีเครื่องมือโดยไม่ได้ออกระเบียบและประกาศตามมาตรฐานทางวิชาการที่เป็นสากลมาใช้บังคับตามอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆของพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งให้สอดคล้องหรือสนับสนุนกับกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อให้ “ระบบการเลือกตั้ง” “ วิธีการเลือกตั้ง” เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่มีความสุจริตและเที่ยงธรรมแต่อย่างใด การปกครองประเทศจึงมีคณะกรรมการเลือกตั้งไว้เป็นเพียงสัญลักษณ์จอมปลอมเพื่อให้นานาอารยประเทศเห็นว่าประเทศไทยเป็นระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว การปกครองประเทศหาได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย แม้จะมีการเลือกตั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านแล้วก็ตาม

การเลือกตั้งครั้งนี้ตามหลักวิชาการแล้วเป็นการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ และเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นไปตามเจตนารมณ์ ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะเป็นปัญหาตามมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด !

รัฐนาวาแห่งสยามประเทศกำลังปริ่มน้ำ เพราะความล้มเหลวในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และกำลังจะมีขึ้นเร็ววันนี้ หากพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองมุ่งเอาการเลือกตั้งและการได้อำนาจรัฐมาแสวงหาแต่ประโยชน์สำหรับตนหรือพวกตนโดยไม่ลืมหูลืมตา แกล้งโง่กับปัญหาที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งในและนอกประเทศ ทั้งจากคนต่างชาติและคนในชาติ หากทุกฝ่ายไม่ร่วมกันหาทางแก้ไขในขณะนี้แล้ว รัฐนาวาก็จะค่อยๆจมลงสู่ก้นมหาสมุทร ซึ่งก็คือสยามประเทศก็จะไม่ใช่เป็นประเทศที่เคยให้ความสุขแก่เราดังเช่นที่เคยเป็นมาในอดีตอีกต่อไป

ใครต้องรับผิดชอบในกรณีดังกล่าว ?