วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“ปานเทพ” ยันคำตัดสินศาลโลกไทยเสียดินแดนมากกว่าเดิม หวั่นกัมพูชาชอบธรรมรุกล้ำ




อดีตแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 เผยหลังศาลโลกตัดสินคดีพระวิหาร ชี้ไทยเสียดินแดนมากกว่าเดิม ต้องถอยกำลังไปยังใกล้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ติง “วีระชัย” พูดวกมาที่ภูมะเขือ อ้างเขมรไม่ได้ตามที่ร้องขอทั้งหมด ทั้งที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยังมีปมกัมพูชาสร้างถนนรุกล้ำฝั่งไทยบริเวณบ้านโกมุย หวั่นอ้างความชอบธรรมรุกล้ำมากกว่าเดิม



       
       วันนี้ (11 พ.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 กล่าวในรายการพิเศษ เกาะติดคำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร ทางเอเอสทีวี หลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอ่านคำพิพากษาการตีความคดีปราสาทพระวิหารเสร็จสิ้นลง โดยกล่าวว่า บทสรุปของคำพิพากษาศาลโลก ศาลมีอำนาจในการรับตีความ เนื่องจากมีข้อพิพาทจริงในเรื่องของการตีความว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารอยู่ที่ไหน ประการต่อมา ศาลไม่สามารถจะตีความไปไกลเกินกว่าคำพิพากษาของศาลเดิม อะไรที่เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วศาลไม่รับรู้ เพราะฉะนั้นให้ยึดเฉพาะการตีความในคดีปราสาทพระวิหารในคดีนี้ ซึ่งศาลก็ระบุชัดเจนว่า พื้นที่ที่ฝ่ายไทยล้อมรั้วปราสาทพระวิหารโดยมติ ครม. นั้น ไม่ได้อยู่ในคำพิพากษาของศาลโลก และต้องถอยไปถึงในบริเวณที่ตำรวจจะถอน หมายถึงกองกำลังอยู่ ดังนั้นจะต้องถอยไปไกลเกินกว่าล้อมรั้วมากกว่านั้นอีก หมายความว่าเสียดินแดนเพิ่มเติมในทางตอนเหนือของปราสาทพระวิหาร ในปี 2505 เราไม่รู้ว่าสถานีตำรวจอยู่ที่ไหน แต่คำพิพากษาระบุว่าอยู่ใกล้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งต้องถอยทหาร ยามรักษาการณ์ ตำรวจออกจากพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร ไม่มีเสมอทั้งสองฝั่ง ถอยฝ่ายไทยฝ่ายเดียว ถอยมากกว่าเดิมแน่นอนแล้ว
     
       ประการต่อมา ศาลระบุว่าไม่ก้าวล้ำไปถึงภูมะเขือ เพราะไม่ได้อยู่ในกรณีพิพาท ศาลจึงไม่พิพากษาตามที่กัมพูชาร้องขอ ให้เป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตารางกิโลเมตรในส่วนของกัมพูชา อีกประการหนึ่ง สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ศาลโลกกล่าวว่าในกรณีแบบนี้จะต้องให้มีทางขึ้นได้จากฝั่งกัมพูชา ตรงนี้น่าเป็นห่วงที่สุด เส้นเดิมกัมพูชาได้พยายามสร้างถนนและทางขึ้นที่มาจากบ้านโกมุย อ้อมเข้ามา ล้ำเข้ามาเพื่อให้มีทางขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะต้องมีทางขึ้นให้ได้ด้วย จากฝั่งกัมพูชาจะขึ้นได้จริง จึงให้ฝ่ายไทยถอยออกทั้งหมด หมายถึงว่าประเทศไทยต้องถอยมากกว่าปี 2505 แน่นอนแล้วทั้งอาณาบริเวณ ตนเรียกว่าเป็นการสูญเสียอธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิม จากที่เราขึ้นศาลโลกครั้งนี้
     
       ด้าน พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ กล่าวว่า ถ้ามองในภาพรวมเราย้อนกลับมาประเด็นที่เราตั้งไว้ว่าศาลน่าจะมีคำพิพากษาออกมา 4 หนทาง คือ ไม่รับพิจารณา หรือรับพิจารณาแต่ออกมาเป็น 3 แนวทาง คือ รับพิจารณาแล้วตีความว่าเส้นเขตแดนจะเป็นไปตามมติ ครม.ของไทย กับตีความแล้วเส้นเขตแดนจะเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตารางกิโลเมตร ที่กัมพูชาต้องการ หรือสาม รับตีความแล้วตีความว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตามที่ศาลโลกจะกำหนด ทั้งนี้ ในภาพรวมของคำพิพากษาซึ่งอ่านเสร็จ มองภาพรวมแล้วก็จะเห็นว่า ข้อหนึ่ง รับตีความ ข้อสอง ไม่ใช่ เพราะไม่ได้เป็นไปตามเส้นเขตแดน มติ ครม.ข้อสาม ใช่แล้วอาจจะมากกว่าที่ใช่ คือพื้นที่อาจจะมากกว่าที่เราคาดว่าจะสูญเสีย คือ 4.6 ตารางกิโลเมตร หรืออาจจะมากกว่า 4.6 กิโลเมตร แต่เรายังไม่เห็นที่ตั้งของสถานีตำรวจ
     
       อีกประการหนึ่ง คือ ไทยจะต้องถอนทหารออกไป เพื่อเปิดเส้นทางให้กัมพูชาสามารถเดินหรือเข้าสู่ตัวปราสาทได้ เพราะฉะนั้นเส้นทางที่ว่านั้นขณะนี้ได้ทำแล้ว ก่อสร้างแล้วตั้งแต่บ้านโกมุย ที่ฝ่ายไทยประท้วงว่าไม่ได้ เป็นการสร้างทางรุกล้ำเขตแดน อธิปไตยของไทย เพราะฉะนั้นแล้วเราก็ไม่ทราบว่าพื้นที่ตรงนี้มันแค่ไหน เพราะเส้นทางเปิดมาแล้ว แล้วทหารไทยจะต้องถอนออกไปจากขอบทางถนนนั้นไปเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือมากกว่าเดิม เพราะว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เรากำหนดไว้นั้น ไม่ถึงบ้านโกมุย ซึ่งไทยถือว่าเป็นของเรา ตรงนี้ยังไม่แน่นอนว่าจะมากหรือจะน้อยกว่า 4.6 ตารางกิโลเมตร ขณะเดียวกันที่ภูมะเขือที่ศาลไม่ตัดสิน ขณะนี้บริเวณสันเขาครึ่งหนึ่งทหารกัมพูชาได้ตั้งกองกำลังไว้ แต่เดิมอีกครึ่งหนึ่งไทยไปตั้งกำลังไว้ แต่ปัจจุบันไทยได้ถอนทหารลงมาจากยอดภูมะเขือแล้วทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำพิพากษานี้จะทำให้ไทยสามารถเอาทหารขึ้นไปวางได้
     
       นายปานเทพ กล่าวว่า คำตัดสินที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรบวก มีแต่เสียเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมในแง่ของคำพิพากษาครั้งนี้ ซึ่งจะต้องคำนวณอีกครั้งหนึ่ง
     
       พล.ร.ท.ประทีป กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ว่า การที่ศาลโลกมีคำพิพากษาเมื่อปี 2505 เห็นว่าแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาปี 1904 และไทยได้ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตารางกิโลเมตรแล้ว ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จฯ ขึ้นไปบนปราสาทพระวิหาร และมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายฝรั่งเศสต้อนรับ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ เป็นมุมมองของศาลชุดปัจจุบันที่เห็นคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 เห็นเป็นอย่างนี้ แต่คำพิพากษาของศาลโลกในครั้งนี้เขารับตีความ และเน้นย้ำว่าในบทปฏิบัติการที่ 2 และภาคผนวก 1 ผนวกเข้าด้วยกัน โดยอ้างว่าต้องตีความแผนที่ภาคผนวก 1 ที่เกี่ยวกับบทปฏิบัติการ ซึ่งการที่ไทยถอนทหารและกองกำลังออกจากปราสาทและบริเวณใกล้เคียง จึงตีความว่ากองกำลังทหารของไทยมีอยู่ที่ไหนสัมพันธ์กัน ซึ่งมีหลักฐานว่าที่ตั้งอยู่สถานีตำรวจ ณ ขณะนั้น ซึ่งมากกว่ารั้วที่เคยขีดเอาไว้ และเส้นเขตแดนแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตารางกิโลเมตร โดยที่ไม่ต้องบอกว่าเป็นเส้นเขตแดน ขณะที่ไทยมีพันธกรณีที่ต้องเปิดทางให้กัมพูชาเข้าถึงตัวปราสาทได้ ก็ใกล้เคียงกับเส้นเขตแดนมาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตารตางกิโลเมตรแล้ว
     
       ส่วนการให้สัมภาษณ์ของนายวีรชัย พลาศรัย หัวหน้าทีมทนายความสู้คดี นายปานเทพ กล่าวว่า ตนฟังจากคำแปลฝั่งไทยยังไม่เห็นต้นฉบับ อาจมีความคลาดเคลื่อน เพราะเราฟังจากคำแปลที่ถ่ายทอดจากช่อง 11 นายวีรชัย กล่าวว่า ศาลมีอำนาจตัดสินซึ่งเราเห็นตรงกัน ซึ่งรู้ว่าเป็นผลร้ายอย่างไร นายวีรชัย จึงกล่าวว่ากัมพูชาไม่ได้ตามที่ร้องขอทั้งหมด เพื่อจะบอกว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่กัมพูชาจะได้ ซึ่งการพูดอย่างนี้ไม่ผิด แต่ลึกๆ ก็คงเสียดินแดนมากกว่าเดิม กัมพูชาได้มากกว่าเดิม แต่นายวีรชัยกลับวกมาที่ภูมะเขือเลย ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นจึงย้ำไปว่าที่ภูมะเขือกัมพูชาไม่ได้ตามที่ร้องขอ และย้ำว่าพื้นที่เล็กมากๆ ซึ่งอันนี้ตนก็ย้ำว่า ศาลโลกก็พยายามย้ำบ่อยๆ เรื่องของพื้นที่ที่เล็กมากๆ เพียงแต่เราไม่สบายใจในสองประเด็น คือ เล็กมากๆ ที่ศาลโลกพูดถึงมันเป็นความที่พื้นที่เล็กมากๆ เหมือนที่ไทยคิดหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมี 2 ประโยคสำคัญก็คือ เราถอยไปมากกว่าเดิม แต่พื้นที่ที่สองที่เรากังวลกว่าก็คือ การที่บอกว่าจะต้องมีทางขึ้นได้ทั้งสองฝั่งจะต้องไปคุยกัน อันนี้ก็จริง เพียงแต่ว่าการที่ปล่อยให้มีพื้นที่กัมพูชาเข้าได้ มันจะแปลความหมายอะไรได้ ในเมื่อเราประท้วงมาโดยตลอดว่าถนนที่ทำทางเข้านั้นเป็นพื้นที่เพียงใดของฝั่งไทย ตนก็ไม่คิดว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับฝั่งเมืองไทย
     
       “ผมยังเห็นว่าคุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ไม่ควรใช้คำว่าเป็นที่น่าพอใจ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง สำหรับคนไทยทั้งหมด และควรจะประกาศว่าศาลโลกเราไม่ควรจะยอมรับอำนาจ เพราะเราเสียมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ได้ได้มากขึ้นกว่าเดิม วิธีการนำเสนอที่อยู่ในเวลาตอนนี้คือ ฝ่ายไทยต้องถอยมากกว่าเดิม และถ้าอยู่ระหว่างการเจรจาทั้งสองฝั่ง ฝั่งกัมพูชาย่อมมีความชอบธรรม ที่จะรุกไปมากกว่าเดิม โดยอาศัยจากการตีความครั้งนี้ได้” นายปานเทพ กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น