วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

กมธ.พลังงานเสียงข้างมากหงายเงิบ! สปช.130เสียงไม่เอา เปิดสัมปทานรอบที่21





ASTVผู้จัดการรายวัน- สปช. ถกเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เสียงข้างมาก 139 เสียงโหวตให้ลงมติด่วน "คุรุจิต" แจงอ้างไทยแลนด์ทรีไม่ล้าสมัย สมาชิกโวย กมธ. เร่งรัดเอาใจรัฐบาล เสนอเลื่อนลงมติแต่เอาไม่อยู่ กางผลรับฟังความเห็น ปชช. ให้ชะลอเปิดสัมปทานรอบ 21 จี้แก้ไข กม. ปิโตรฯ-ตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ “รสนา” ชี้อีสานวุ่นแน่ ที่ผ่านมาไร้เยียวยา คดีกองศาลปกครอง ห่วงจะผูกพันชั่วลูกชั่วหลาน “คำนูณ” กังขาลงมติหนุนสัมปทานปฏิรูปตรงไหน ล่าสุดที่ประชุมสปช.มีมติ 130 ต่อ 79 เสียง ไม่เห็นด้วยเปิดสัมปทานปิโตรฯรอบที่ 21 ตามที่กมธ.พลังงานเสียงข้างมากเสนอ

       
       วานนี้ (13ม.ค.) มีการประชุมสภาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณารายงานเรื่อง “การเปิดสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21”ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน โดย นายทองฉัตร หงส์ลดารมย์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน ได้ รายงานผลการศึกษาว่า จากที่ได้เชิญหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับกิจารพลังงานทั่วประเทศ มาให้ความเห็น ประเด็นหลักที่นำมาพิจารณาคือ 1. ผลที่คาดว่าจะได้จากการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ตามแผน 2. การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เป็นการ ดำเนินการที่เร่งรีบเกินไปหรือไม่ และ 3. ผลกระทบหากจะยกเลิกการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เพื่อรอให้มีการศึกษาและเตรียมพร้อมของระบบ แบ่งปันผลประโยชน์ก่อน แล้วจึงนำมาใช้ในการเปิดให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยตามระบบสัมปทานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผลการพิจารณาสรุปได้ทางเลือก 3 แนวทาง
       
       1. ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ตามระบบ ไทยแลนด์ทรี พลัส ตามแผนงานที่มีในปัจจุบัน
       
       2. ยกเลิกระบบในการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 และนำระบบแบ่งปันผลผลิตมาใช้ (PSC)
       
       3. ให้ดำเนินการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ระบบตามแผนงานปัจจุบัน และให้กระทรวงพลังงานศึกษาเตรีมการให้มีระบบแบ่งปันผลผลิตที่เหมาะสมกับศักยภาพการปิโตรเลียมให้พร้อมไว้ เพื่อเป็นทางเลือกให้รัฐบาลตัดสินใจในการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในครั้งต่อๆไป โดยคณะกรรมาธิการ พิจารณาแล้ว เห็นพ้องต้องกัน โดยเสนอ ทางเลือกที่ 3 ต่อสภา เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
       
       **กมธ.แจงเหตุต้องเปิดสัมปทานรอบ21 
       
       นายคุรุจิต นาครทรรพ รองประธานกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ความจำเป็นที่ต้องเปิดให้มีสัมปทานรอบที่ 21 เนื่องจากปีที่ผ่านมา ไทยมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติสูงมาก เพิ่มขึ้น 9 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิ่มเป็น1,000% ก๊าซธรรมชาติกลายเป็นสายเลือกสำคัญในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศ 70% นำไปใช้ผลิตไฟฟ้า 25% นำไปผลิตก๊าซหุงต้ม LPG และหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และ15% นำไปเป็นเชื้อเพลิงภาคอุตสาหกรรมโรงงาน และ 7% ใช้ในยานยนต์ หรือ NGV
       
       แต่จากการพยากรณ์จะมีการใช้ก๊าซเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่แหล่งที่พบในประเทศมีปริมาณสำรองไม่เพียงพอต่อ ความต้องการที่คาดว่าจะสูงเป็น 6-6.5 พันล้านลูกบาศก์ฟุต ใน10 ปีข้างหน้า ซึ่งปัจจุบันก๊าซที่มีในประเทศสามารถป้องความต้องการได้แค่ 80% เท่านั้น ประมาณ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุต จะมาจากแหล่งผลิตร่วมไทย-มาเลย์ ส่วนใหญ่เกือบ 20% ต้องนำเข้าจากพม่า 2 ปีที่ผ่านมาไทยเริ่มนำเข้าธรรมชาติเหลว หรือ LNG จากตะวันออกกลาง การคาดการณ์อุปสงค์ภายในไม่ถึง 7-8 ปี จะเกิดภาวะขาดแคลน ไม่สามารถแสวงหาแหล่งก๊าซเพิ่มเติมทั้งในละนอกประเทศได้ ตอนนี้ก็คาดว่า จะต้องนำเข้าก๊าซเหลว LNG ที่ราคาแพงมาก ค่าไฟฟ้าในประเทศจะ เพิ่มขึ้นเป็น 5-7 บาท ก็ได้
       
       นอกจากนี้ ปริมาณสำรองปิโตรเลียมจากการสำรวจ 40 กว่าปี พบก๊าซธรรมชาติมากกว่าน้ำมัน ทำให้น้ำมันไม่เพียงพอต้องนำเข้า 80% ส่วนปริมาณก๊าซธรรมชาติที่สำรองอยู่ ที่ผลิตในไทยอย่างเดียว ในส่วนที่มั่นใจว่าผลิตได้แน่นอน 90% จะมีใช้ไม่ถึง 7 ปี แต่ถ้านำที่มั่นใจได้แค่ 50% ก็จะมีใช้ประมาณ 12 ปี ถ้าเราไม่ลงทุนและทำการสำรวจเพิ่ม ก็จะมีความมั่นใจให้เหลือใช้ไม่เกิน 7 ปี
       
       **อ้างไทยแลนด์ทรีไม่ล้าสมัย เอื้อต่อการพัฒนา 
       
       นายคุรุจิต กล่าวว่า ประเด็นที่ถกเถียงในสังคมว่า ระบบไทยแลนด์ ทรีพลัส มีความเหมาะสมให้ประโยชน์ได้ดีแล้วหรือยัง ธุรกิจปิโตรเลียม มีการให้ผลประโยชน์กับรัฐสูงกว่าธุรกิจอื่นๆ โดยจ่ายให้รัฐ 3 ทาง คือ ค่าภาคหลวงปิโตรเลียม ยอดขายจำหน่ายรายได้ 5-15% ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมที่สูงกว่าภาษีนิติบุคคล คือ 50 % ของกำไรสุทธิ และ ในการออก พ.ร.บ.ปิโตรเลียมปี 32 มีการเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษรายปี และรายแปลงสำรวจ ในอัตราเริ่มต้นที่ 0-75% ของกำไรปิโตรเลียมประจำปี และรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม จากการขายก๊าซส่งผ่านผู้ซื้อเป็นทอดๆ และผู้รับสัมปทานอาจยื่นขอผลประโยชน์เพิ่มเติม ในรูปของทุนการศึกษา เงินบริจาคท้องถิ่น เงินให้เปล่าเข้ากระทรวงการคลัง
       
       ดังนั้น ผลประโยชน์ของรัฐจากระบบไทยแลนด์ ทรี ใช้มาตั้งแต่ปี 32 ซึ่งกระทรวงพลังงาน ได้ว่าจ้างนักวิชาการจากหลายสถาบันให้ทำการศึกษา และปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย โดยที่ปรึกษาเห็นว่ามีความทันสมัยแล้ว และแหล่งปิโตรเลียมที่จะพบ น่าจะเป็นแหล่งขนาดเล็ก ดังนั้นระบบไทยแลนด์ ทรี จึงมีความเหมาะสมที่สุด เอื้อให้เกิดการพัฒนา สำรวจ ลงทุน การหาแหล่งปิโตรเลียมเพิ่มเติม
       
       ส่วนข้อวิจารณ์ว่าระบบไทยแลนด์ ทรี เป็นระบบที่นิ่ง ถ้าบังเอิญไปพบแหล่งใหญ่ราคาน้ำมันเพิ่มสูง จะเป็นการเก็บผลประโยชน์เข้ารัฐแบบถดถอย ไม่เป็นความจริง ระบบดังกล่าวประกอบด้วย 3 ส่วน ค่าภาคหลวง เป็นอัตราก้าวหน้าแน่นอน และเก็บเป็นรายแปลงสำรวจ ส่วนภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ก็เป็นหลักสากล เก็บอันตราเดียว 50% ของกำไรสุทธิ แต่แยกว่าผู้รับสัมปทานตามกฎหมายเก่า ไม่ให้เอาตามกฎหมายเก่า แต่ต้องทำตามกฎหมายใหม่ แต่หากข้ามแปลงได้ถูกต้อง และผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ เก็บเมื่อมีกำไรเกินสมควร โดยรวมเป็นการเก็บผลประโยชน์เข้ารัฐแบบก้าวหน้าอย่างแน่นอน
       
       จากการเตรียมการเป็นเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้เสนอรัฐบาลชุดที่แล้ว ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2555 ที่จะให้มีการเปิดสัมปทานเพราะ เราเปิดครั้งที่ 20 ในรัฐบาล คมช. ( มี.ค.50 ) ขณะนี้เกือบ 8 ปีแล้ว เราพบแหล่งปิโตรเลียมใหม่น้อยมาก ที่น่าห่วงคือ ปริมาณสำรองลดลงอย่างมาก แต่รัฐบาลขณะนั้นไม่กล้าตัดสินใจ เพราะมีเสียงคัดค้าน จึงได้จัดทำเวทีรับฟังความคิดเห็นหลายสิบเวที และคณะกรรมาธิการพลังงานทั้งสองสภาได้เชิญไปชี้แจงและเห็นตรงกัน ให้เดินหน้าต่อไป เพราะเป็นประโยชน์ต่อพลังงานของประเทศ
       
       แต่จากการรับฟังในเวทีต่างๆ มีข้อท้วงติงว่า เราอาจจะเก็บผลประโยชน์น้อยเกินไปหรือไม่ จึงเป็นที่มาของกระทรวงพลังงาน เสนอให้ใช้ระบบ ไทยแลนด์ ทรีพลัส คือ การเรียกผลประโยชน์เพิ่มเติมเพิ่มขึ้น ในลักษณะที่มีการประมูลผลประโยชน์ด้วย โดยต้องเสนอเป็นเงื่อนไขบังคับเรื่องเงินให้เปล่า ในการลงนามสัมปทาน เงินสนับสนุนการศึกษา เพื่อพัฒนาท้องถิ่นอย่างน้อยช่วงสำรวจต้องบริจาค 1 ล้านบาท ในเรื่องการศึกษาในท้องถิ่น หากมีการผลิตถึงระดับหนึ่งต้องมีจ่ายโบนัส ที่สำคัญต้องเปิดโอกาสให้บริษัทคนไทยเข้าร่วมทุนในแหล่งที่ค้นพบแล้ว
       
       **ชี้ระบบสัมปทาน รบ.ได้ส่วนแบ่งถึง72% 
       
       ด้านนายพรายพล คุ้มทรัพย์ กรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน อภิปรายเสริมว่า ข้อดี และข้อเสีย ของระบบสัมปทานและแบ่งปันผลผลิตมีพอๆ กัน ระบบสัมปทานมีความโปร่งใส แต่อำนาจรัฐแทรกแซรงได้น้อยมาก ในขณะที่ระบบแบ่งปันผลผลิตนั้น รัฐบาลสามารถเข้าไปกำกับดูแลได้ ถึงขนาดให้บริษัทของรัฐเข้าไปร่วมลงทุนได้ แต่เชื่อว่าระบบสัมปทานยังมีความเหมาะสมที่จะใช้ต่อ เพราะรัฐได้ส่วนแบ่งถึง 72 % ของรายได้สุทธิของผู้รับสัมปทาน ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงกว่าระบบในต่างประเทศ ที่อยู่แค่ 60 % กว่าๆ ส่วนระบบแบ่งปันผลผลิตนั้น อาจยังไม่เหมาะ เพราะ แหล่งปิโตรเลียมของประเทศไทย มีไม่มาก หลุมเล็ก ต้นทุนขุดเจาะสูง **โวยกมธ.เร่งรัดเอาใจรัฐบาลเสนอญัตติเลื่อนลงมติ
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากตัวแทนกรรมาธิการได้ชี้แจงจบ น.พ.อำพล จินดาวัฒนะ สปช. ได้เสนอญัตติให้สมาชิกอภิปรายแสดงความเห็นให้จบภายในวันนี้ แต่ให้เลื่อนการลงมติไปในการประชุมสัปดาห์หน้า เพราะเรื่องนี้สำคัญ และเป็นประเด็นแหลมคม และมีความเห็นรอบด้าน ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปและการนำเสนอรัฐธรรมนูญ แต่สมาชิกเพิ่งได้รับเอกสารจำนวนมาก โดยกรรมาธิการเพิ่งสรุปเสร็จเมื่อ 6 โมงเย็น เมื่อวันที่ 12ม.ค. สมาชิกอ่านไม่ทัน และที่บอกว่าจะเกี่ยวพันกับฝ่ายบริหาร ที่จะมีการสัมปทานในเดือนหน้า รัฐบาลมีการหารือไม่เป็นทางการ แต่ในรายงานไม่มีการพูดถึงเรื่องดังกล่าว
       
       "เราต้องมีอิสระในการพิจารณาอย่างสูง จะใช้ความเร่งด่วนไม่ได้ เกรงจะมีปัญหาเรื่องบรรทัดฐานและความสง่างาม ผมเสนอว่า วันนี้ให้สมาชิกแสดงความเห็นเต็มที่ แต่ควรเลื่อนการลงมติไป ในการประชุมคราวถัดไป เพื่อให้สมาชิกกลับไปอ่านศึกษาให้รอบด้าน"
       
       ด้านนายประมณฑ์ สุธีวงศ์ สปช. แสดงความเห็นว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการปฏิรูป แต่เป็นการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร และเรามีการทำสัมปทานมาแล้ว 20 ครั้ง สปช. ต้องดูว่าอะไรคือการปฏิรูป อะไรคือ การบริหาร เรื่องการให้สัมปทาน มีความขัดแย้งและละเอียดอ่อน ตนเห็นด้วยที่ข้อมูลที่ให้มาหากจะให้ศึกษาจริงๆต้องใช้เวลามาก แต่หากกรรมาธิการจะสรุปความเห็นและควบคู่ไปกับความเห็นต่างของเสียงส่วนน้อยไปให้กับผู้บริหารก็จะเป็นการดี เราไม่ควรต้องเป็นผู้ที่เข้าไปเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เพียงแต่รับทราบรายงานและส่งต่อรัฐบาลก็พอ
       
       ด้านนายสุธรรม ลิ้มสุวรรณเกษม สปช. ได้เสนอญัตติขอให้พิจารณารายงานของกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน เสนอข้อมูลมาตนฟังแล้วคิดว่าตัดสินใจได้แล้ว จึงขอให้ดำเนินการต่อไป
       
       **เสียงข้างมากหนุนเดินหน้าลงมติโดยด่วน 
       
       ทั้งนี้ สมาชิกหลายคนได้อภิปรายสนับสนุนญัตติของ นายสุธรรม เพราะเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน เห็นควรให้ดำเนินการต่อไป อาทิ นายชิงชัย หาญเจนลักษณ์ สปช. กล่าวว่า เท่าที่ศึกษาและพูดคุยกับกรรมาธิการบางคน คิดว่าเรื่องที่เสนอมาน่าจะให้เบื้องหลัง และข้อเท็จจริงได้เพียงพอแล้ว รัฐบาลจะเอาระบบไหน ขึ้นอยู่กับนโยบาย ปัญหาอยู่ที่ระยะเวลาเร่งรีบ เพราะกระเทือนถึงเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศด้วย ที่ตอนนี้เป็นขาลง จึงจำเป็นต้องมีรายได้เพิ่ม ถ้าเดินหน้าได้ตนก็อยากสนับสนุนมติกรรมาธิการ
       
       ในที่สุดที่ประชุมได้มีมติ 139 ต่อ 81 เสียง เห็นควรให้ดำเนินการให้อภิปราย และลงมติภายในวันนี้ เพื่อที่จะส่งต่อให้รัฐบาลต่อไป
       
       **ความเห็นปชช.ให้ชะลอสัมปทานรอบ 21
       
       ต่อมานายประชา เตรัตน์ สปช.ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการการมีส่วนร่วมขององค์กรที่สำคัญ ได้รายงานผลการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากเครือข่ายต่างๆ ทางสังคมในประเด็นการเปิดสัมปทานการขุดเจาะปิโตรเลียมรอบที่ 21 โดยระบุว่า ประชาชนจากทุกภาคไม่เห็นด้วยกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เพราะสร้างผลกระทบสังคมมากมาย อาทิ ในภาคอีสานจะมีผลกระทบกับประชาชนในด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม การเกษตร สังคม เพราะการขออนุญาตสำรวจและขุดเจาะที่ดำเนินการในส่วนกลาง คนในพื้นที่ไมได้รับรู้ถึงขั้นตอนวิธีการ ไม่มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้เสีย ขาดการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสุขภาพอนามัย รวมทั้งบริษัทที่ขุดเจาะเป็นของต่างชาติ จึงไม่เข้าใจสภาพวิถีชีวิต ชุมชนท้องถิ่น เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และสิทธิชุมชน โดยไม่มีผู้รับผิดชอบ อย่างเช่น ที่ อ.เมืองฯ จ.กาฬสินธุ์ พบว่ามีการลากสาย และวางระเบิดกว่า 13,000 ลูก ทำให้เกิดก๊าซไข่เน่า ประชาชนเจ็บป่วยด้านระบบประสาท ทางเดินหายใจ บางพื้นที่น้ำจากบ่อบาดาลไม่สามารถใช้อุปโภค บริโภคได้ ดังนั้น รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลการสำรวจให้ประชาชนรับทราบ
       
       **จี้แก้ไข กม.ปิโตรฯ-ตั้งบ.น้ำมันแห่งชาติ
       
       ทั้งนี้ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นควรให้ชะลอการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 แยกการสำรวจ และการผลิตออกจากรัฐ โดยรัฐอาจเป็นผู้ทำการสำรวจเสียก่อน และให้รัฐใช้ระบบการแบ่งปันผลผลิต มากกว่าจะใช้ระบบสัมปทาน เหมือนกับทุกประเทศใน เออีซี เพราะจะสร้างความมั่นคงทางพลังงานได้มากกว่า และมี การกำหนดให้ทรัพยากรปิโตรเลียมเป็นสมบัติของแผ่นดินและชาวไทย แก้ไขพ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 โดยยกเลิกระบบสัมปทาน โดยใช้การแบ่งปันผลผลิต และระบบอื่นๆ แทน จัดตั้งสำนักจัดเก็บภาษีปิโตรเลียมเป็นการเฉพาะ ให้มีการตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นโดยโอนทรัพย์สินในด้านการจัดการพลังงาน เช่นท่อก๊าซทั้งบนบก ในทะเล มาเป็นของบริษัท จัดตั้งสภาพลังงานประชาชน และกองทุนพัฒนาปิโตรเลียม เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางตรงในการกำหนดนโยบายผลประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับปิโตรเลียมและทรัพยากรพลังงาน
       
       ****ชี้เปิดสัมปทานรอบ 21 อีสานวุ่นแน่ 
       
       ด้านน.ส.รสนา โตสิตระกูล สปช. ในฐานะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงานเสียงข้างน้อย กล่าวว่า กรรมาธิการเสียงข้างน้อยในกรรมาธิการพลังงาน กล่าวว่า ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว แม้จะมีการเชิญนักวิชาการด้านพลังงานมาให้ข้อมูล แต่ในกรรมาธิการหลายคนเป็นข้าราชการในกระทรวงพลังงาน บอร์ด ที่ปรึกษารัฐมนตรี ทำให้แนวทางกรรมาธิการมุ่งไปในทางที่จะเปิดสัมปทานพลังงานรอบ 21 มีคำกล่าวว่า การเปิดสัมปทานรอบนี้ ไม่เกี่ยวกับการปฏิรูปนั้นไม่จริง เพราะการเปิดสัมปทานรอบ 21 จะผูกพันประเทศไปอย่างน้อย 29 ปี เนื่องจากจะการสำรวจมีระยะเวลา 9 ปี บวกระยะเวลาผลิตอีก 20 ปี และสามารถต่อได้อีก 10 ปี ฉะนั้น ถ้าให้สัมปทาน ก็ผูกพันลูกหลานไปอย่างน้อย 20-39 ปี ซึ่งอย่าลืมว่าตามกฎหมาย พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 กำหนดว่า เมื่อให้สัมปทาน เอกชนจะได้เป็นเจ้าของปิโตรเลียมทั้งหมด โดยเอกชนจ่ายค่าตอบแทนรัฐ เป็นค่าภาคหลวง ภาษี และอาจมีผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ เช่น โบนัส แต่ปัญหาคือในระบบสัมปทาน อุปกรณ์การผลิตทั้งหลายเป็นของเอกชน เมื่อรัฐให้สัมปทานไป 29 ปี สมมุติว่าอีก 10 ปี ที่เหลือ จะเปลี่ยนแปลงก็ทำได้ยาก เพราะอุปกรณ์เป็นของเอกชนหมด และถ้าจะให้รายใหม่เข้ามาทำ ก็ไม่คุ้ม
       
       น.ส.รสนา ยังกล่าวอีกประเด็นใหญ่คือ 29 แปลงในสัมปทานรอบ 21 ครอบคลุมพื้นที่บนบกในภาคอีสาน 16 จังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาในการให้สัมปทานรอบที่ 19 และ 20 ก็กินพื้นที่เกือบทั้งหมดของภาคอีสาน ประชาชนได้รับผลกระทบมาก แต่กลับไม่ได้รับการเยียวยา มีการฟ้องร้องกันอยู่ในศาลปกครอง ดังนั้น ถ้ามีการเปิดสัมปทานรอบ 21 การขุดเจาะสำรวจก็จะเต็มพื้นที่ในภาคอีสาน การละเมิดสิทธิที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพประชาชนก็จะทวีความรุนแรงขึ้นแล้วก็จะเกิดความวุ่นวาย
       
       **ชี้ชะลออนาคตก็ไม่เหลือพื้นที่ให้ปฏิรูปพลังงานแล้ว 
       
       นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า ที่มีการอ้างว่าหากมีการเปลี่ยนจากระบบการให้สัมปทาน มาเป็นระบบการแบ่งปันผลผลิต จะทำให้เสียเวลากระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานนั้น ตนเห็นว่า หากจะเปลี่ยนแปลงก็ทำได้ ไม่หยุดชะงัก โดยรัฐอาจเลือกแปลงสำรวจขุดเจาะไปก่อน หากว่าแปลงไหนมีประสิทธิภาพก็สามารถเปิดเป็นแบบแบ่งปันผลผลิต โดยการแบ่งส่วนผลประโยชน์รัฐกับเอกชน ก็ให้ทำแบบขั้นบันได ขณะเดียวกันก็ดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514 เพื่อยกเลิกระบบสัมปทานแล้วมาใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปอย่างแท้จริง โดยในขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการจะแก้ไขกฎหมายเพราะเป็นช่วงปฏิรูปที่รัฐบาลมาจากการรัฐประหาร
       
       “กระบวนการที่จะปฏิรูปในขณะนี้เราต้องตอบสนองความต้องการของประชาชน ถ้าเราบอกว่าให้เปิดสัมปทานรอบนี้ไปก่อน ก็เห็นว่าอนาคตมันไม่เหลืออะไรให้เราปฏิรูปพลังงานอีกแล้ว และ ถ้าเราเปิดโดยไม่ดูเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน เท่ากับเราทอดทิ้งประชาชน
       
       ****ข้องใจสัมปทานรอบ 21 ปฏิรูปพลังงานตรงไหน 
       
       นายคำนูญ สิทธิสมาน สปช. อภิปรายว่า การพิจารณาเรื่องนี้มีความสำคัญและจะมีผลกระทบอย่างแน่นอนต่อ สปช. ซึ่งเดิม ตนเข้าใจว่าในวันนี้จะมีการลงมติใน 3 ทางเลือกให้กับรัฐบาล แต่คณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน กลับปรับให้เอาทางเลือกที่ 3 ซึ่งไม่ต่างกับทางเลือกที่ 1 เพราะเมื่อเปิดสัมปทานรอบที่ 21 แล้วจะใช้เวลาสัมปทานตามกรอบ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2518 ไม่ต่ำกว่า 29 ปี การเปิดสัมปทาน คือ การเปิดพื้นที่จำนวนมาก แม้จะมีการระบุไว้งดงามว่าให้ศึกษาระบบแบ่งปันผลิต ก็ไม่ได้กำหนดว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ และศึกษาแล้วจะต้องไปดำเนินการแก้ไขอะไร หรือไม่ อย่างไร ซึ่งต้องเป็นภารกิจของรัฐบาลปกติ แต่ภารกิจของสปช. ที่เกิดขึ้นโดยอำนาจพิเศษ คือ การปฏิรูป 11 ด้าน ซึ่งด้านพลังงานเป็นหนึ่งในนั้น จากการเรียกร้องของประชาชนให้มีการปฏิรูป พลังงาน ที่มีพลังค่อนข้างสูง การจะมีมติให้รัฐบาลดำเนินการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ตามแผนเดิม ตนไม่เข้าใจเป็นการปฏิรูปตรงไหนนอกจากบริหารแผ่นดินตามปกติ หรือ สปช. เห็นพ้องว่า เกณฑ์การผลิตปิโตรเลียมตาม พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ถูกต้องสมบูรณ์แบบไม่ต้องปฏิรูปเลย
       
       “การเสนอและลงมติทางเลือกที่ 3 ไปยังรัฐบาล ไม่ใช่การปฏิรูป แต่เป็นการเร่งรัด ให้ดำเนินการเปิดสัมปทาน อันที่จริงควรเปิดมาในรัฐบาลปกติไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีแล้ว แต่ที่ผ่านมามีเสียงคัดค้านจากประชานจำนวนมาก แม้รัฐบาลในสถานการณ์ปกติที่มีอำนาจเด็ดขาดในสภา ยังต้องรับฟัง แต่ในสถานการณ์พิเศษ เราเสนอให้ดำเนินการไปภายใต้สภาวะที่ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเหมือนที่ผ่านมา โดย มีกฎอัยการศึกอยู่ ผมเห็นว่า สมาชิกทุกคน ต้องคิดให้ดี ผมเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทำตามความเห็นของกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน หนึ่งในมาตรา ที่จะบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ คือ “ทรัพยากรธรรมชาติเป็นของชาติ เพื่อประโยชน์สาธารณะ การสงวนการจัดการ การใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ บำรุงรักษาต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของรัฐ ประชาชน และชุมชนทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น” ผมจะร่างอย่างไร ถ้าวันนี้สปช. ลงมติทำตามมติของกรรมาธิการปฏิรูปพลังงานเสียงข้างมาก" นายคำนูณ กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอภิปรายของสมาชิกมีทั้งสนับสนุน และคัดค้านมติของกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ ขณะที่บางคนได้ท้วงติงถึงเร่งรีบให้สปช.ลงมติเร็วเกินไป ทั้งที่รัฐบาลไม่ได้ทำหนังสือขอให้ สปช. พิจารณาอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการพูดผ่านอากาศ จากการให้สัมภาษณ์กับสื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เหมือนบอกผ่านมายัง สปช. ให้ช่วยนำไปหารือ แสดงความเห็นว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น แต่กลับรีบรับมาทำอย่างเร่งรีบเพื่อให้มีมติไปสนับสนุนความต้องการของรัฐบาลหรือไม่
       
       ***มติสปช.130 เสียงไม่เอาด้วยเปิดสัมปทานรอบ21
       
       อย่างไรก็ตาม เมื่อเวล 19.32 น. ที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ครั้งที่ 4/2557 โดยมีวาระพิจารณาศึกษาเรื่องการเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 ที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงานเสียงข้างมากเป็นผู้เสนอ ซึ่งดำเนินการประชุมมาตั้งแต่เวลา 10.00 น. หลังมีการอภิปรายมาอย่างยาวนานนั้น ได้มีการลงคะแนน โดยมี น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช. คนที่ 2 เป็นประธานการประชุม
       
       โดยผลการลงมตินั้น มีมติไม่เห็นด้วยต่อข้อเสนอของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน สปช. เสียงข้างมาก ที่จะให้มีการเดินหน้าสัมปทานพลังงานรอบที่ 21 ด้วยคะแนน 79 ต่อ 130 คะแนน งดออกเสียง 21 เสียง จากจำนวนผู้เข้าประชุม 230 คน
       
       ส่วนการเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่องจะทำอย่างไร ให้ประเทศไทยมีกลไกป้องกันและขจัดความทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่มีประสิทธิภาพ ยกไว้พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ก่อนที่ น.ส.ทัศนา สั่งปิดประชุมในเวลา 19.33 น.
       
       **ปตท.สผ.ลั่นน้ำมันดิบร่วงต่อเนื่อง
       
       นางสาวเพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(ปตท.สผ.) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯยังคงผลิตปิโตรเลียมทุกแหล่งตามปกติแม้ว่าราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องต่ำ 45 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากราคาน้ำมันดิบลงต่ำกว่านี้ ก็คงต้องรอดูสถานการณ์ไประยะหนึ่งว่า แนวโน้มราคาน้ำมันจะมิทิศทางอย่างไร ก่อนตัดสินใจว่าโครงการปิโตรเลียมต่างๆอย่างไร แต่ยืนยันว่าจะยังคงรักษาปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติไม่กระทบต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น