วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขมรจับ 7 คนไทย ส่งท้ายปีเก่า - นายกไทย แยกเขี้ยว !


“กษิต” พบ “ฮอร์ นัม ฮง” เจรจา “ไทย-เขมร” ล้มเหลว อ้างคดี 7 คนไทยรุกล้ำเขตแดน อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ปล่อยตัวไม่ได้ ต้องให้นอนในเรือนจำรอคำพิพากษา “กษิต” เข้าพบคนไทยทั้งหมดในเรือนจำแล้ว จัดทีมทนายความช่วยเหลือทันที เผย โทษหนักติดคุก 18 เดือน “นายกฯอภิสิทธิ์” ถกเครียดฝ่ายความมั่นคง ลั่น ต้องปล่อยตัวตามข้อตกลงสองประเทศ “รองฯสุเทพ” ระบุ “พนิช” กับคณะ ล้ำเขตจริง 300-400 เมตร ตชด.ตามไปห้ามไม่ทันจึงถูกจับที่ “วัดโจ๊กเจีย” เผย ช่วงโดนรวบเจรจาใกล้สำเร็จ แต่ฝั่งกัมพูชาพบชื่อ “วีระ สมความคิด” เคยโดนจับเคยเตือนแล้ว ทำผิดซ้ำเลยเจอยัดเข้าคุก ขณะที่กองเขตแดน ลุยพื้นที่ พบล้ำเข้าเขตจริง เจอทหารเขมรตรึงกำลังเพียบ กองกำลังบูรพา สั่งเตรียมพร้อมเต็มที่ พ่อค้าแม่ค้า-แรงงานเขมร เศร้าต้องอพยพกลับประเทศ พธม.ขู่เคลื่อนไหวกดดันแล้ว

จากกรณีทหารกัมพูชาจับกุมนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์และอดีตผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศ นายวีระ สมความคิด และคณะ รวมทั้งสิ้น 7คน เป็นชาย 5 คน และหญิง 2 คน บริเวณรอยต่อแนวชายแดน บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ขณะเข้าไปพิสูจน์ปัญหาการรุกล้ำอธิปไตย หลังจากมีชาวบ้านร้องเรียนว่าถูกทหารกัมพูชา ยึดพื้นที่นาที่มีเอกสารถูกต้อง เป็นเวลานาน เบื้องต้นนายพนิช ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่าถูกจับกุมจริง ทั้งๆที่แสดงตัวว่าเป็นส.ส.มาตรวจสอบพื้นที่ แต่ทหารไม่ฟัง โดยแจ้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเหลือแล้ว เบื้องต้นทหารกัมพูชาได้ส่งตัวไปยังสำนักงานตำรวจจังหวัดบันเตียเมียนเจย เพื่อสอบสวนและดำเนินคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายนั้น


มาร์คเครียดถกช่วยพนิช
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 30 ธ.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงการช่วยเหลือนายพนิช และคนไทยอีก 6 คนว่า ทั้งนายกรัฐมนตรี และพวกตนได้พยายามที่จะติดต่อประสานงานกับฝ่ายกัมพูชาตลอดทั้งวัน เดิมทีคิดว่าเขาจะผ่อนผันปล่อยคนไทยทั้ง 7 คนในตอนเย็นของวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าเขาไม่สามารถดำเนินการตามที่เราร้องขอได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้เรียกตน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมกันเพื่อหาทางแก้ปัญหานี้
“เราต้องดูหลายเรื่อง 1.จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าพื้นที่ที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุมไปนั้นอยู่ตรงบริเวณไหนและเหตุการณ์เกิดขึ้นมาอย่างไร 2.ต้องหาลู่ทางเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาผ่านทางช่องทางต่างๆที่มีอยู่ และพอจะพูดจากันได้ 3.หากในที่สุดกัมพูชายังคงยืนยันที่จะนำคนไทยทั้ง 7 คน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และขึ้นศาล เราก็ต้องให้สถานทูตไทย และกระทรวงการต่างประเทศจัดหาทนายความไปช่วยเหลือ นอกจากนั้นก็ต้องหาวิธีอย่างอื่นว่าจะมีเงื่อนไขอะไรพิเศษที่จะใช้ในการเจรจาคราวนี้ได้บ้าง เมื่อเราได้พูดคุยกับเขา เจรจากับเขา และได้หาวิธีการทำทุกลู่ทางแล้ว ถ้าสำเร็จก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ค่อยปรึกษากันต่อไป” นายสุเทพ กล่าว

ล้ำเข้าเขมร300-400ม.
เมื่อถามว่าสาเหตุที่การเจรจาเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ล้มเหลวเป็นเพราะอะไร นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเรื่องของฝ่ายกัมพูชา เราก็เจรจาตั้งแต่ระดับล่าง ๆ เพราะปกติเจ้าหน้าที่ที่อยู่ชายแดนจะมีความคุ้นเคยกัน และพูดจากันได้ ทั้งระดับผู้ว่าฯ ผู้นำทหาร เวลานี้เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเราก็เจรจากันทางช่องนี้ แต่ถ้าช่องทางนี้ยังมีปัญหา เราก็พยายามเจรจาในระดับสูงขึ้นตามขั้นตอน และพยายามใช้ทุกช่องทาง เมื่อถามว่า นายพนิชเข้าไปลึกระดับไหน นายสุเทพ กล่าวว่า จากรายการผ่านด่านตำรวจตระเวนชายแดนไป เจ้าหน้าที่พยายามที่จะขับรถตามไปบอกให้กลับ แต่คณะทั้งหมดได้หลุดเข้าไปในเขตพื้นที่ของกัมพูชาก่อนแล้ว 300-400 เมตร ทำให้ระงับยับยั้งไม่ทัน
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามจะให้เจ้าหน้าที่นำแผนที่แสดงจุดเกิดเหตุมาแสดงสื่อมวลชนได้รับทราบ เราจะว่ากันไปตามข้อเท็จจริง ถ้าฝ่ายเราไม่ผิด แต่เกิดเหตุในเขตที่เป็นของเรา หรือก้ำกึ่ง การต่อสู้ของเราก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเมื่อถามว่าระดับแกนนำรัฐบาลได้คุยกับสมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชาหรือยัง เพราะออกมาประกาศว่าไม่ใช่เรื่องการแก้แค้น นายสุเทพ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้พูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน และยังไม่ได้ติดต่อประสานกันถึงระดับนั้น เมื่อถามว่าพฤติกรรมของนายวีระ บริสุทธิ์ใจเพียงใด เพราะที่ผ่านมาก็พยายามเข้าไปป้วนเปี้ยนบริเวณนั้นเพื่อให้ถูกจับ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ทราบจริงๆว่า เขามีเจตนาอย่างไร แต่การที่นายวีระเคยถูกจับ เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้การเจรจาขอตัวในครั้งนี้ทำได้ยากขึ้น

วีระทำซวยเจอยัดคุก
“ตอนแรกผมดีใจว่าเขาจะปล่อยอยู่แล้ว แต่พอเขาตรวจรายชื่อกัน และพบว่ามีชื่อคนที่เคยถูกจับมาก่อน เขาก็เลยมีปัญหา สำหรับตัวนายพนิช ที่อยู่ๆร่วมคณะเดินทางไปกับเขาด้วยนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน เมื่อคืนวานก็นั่งอยู่กับผม ประชุมกันอยู่ดี ๆ เช้าก็ไปเสียแล้ว ตอนนี้ก็พยายามตรวจสอบอยู่ว่าไปในฐานะอะไร เพื่ออะไร เพราะเขาไม่ได้บอกใครไว้ด้วย ส่วนทีมีข่าวว่านายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายพนิช เป็นผู้ไปเจรจาเป็นการภายในกับกลุ่มพันธมิตร อย่าเอาข่าวลือมาพูด ในสถานการณ์ที่เกิดเหตุแบบนี้ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรามันลุ่ม ๆ ดอน ๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดี และก็มีเหตุทางการเมืองเข้ามาแทรก พอ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปอยู่ในกัมพูชาก็เกิดความแข็งกร้าว มีปัญหากับเราไปพักหนึ่ง ตอนนี้ก็เริ่มผ่อนคลายลงและทำท่าจะดีอยู่แล้ว แต่ก็มีคนเข้าไปทำให้เกิดเหตุอีก เราก็ต้องระมัดระวัง”

บัวแก้ว-ทหารเร่งช่วย
นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ กล่าวเพียงสั้นๆก่อนเข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงการช่วยเหลือนายพนิช ว่า กำลังดำเนินการเจรจา ตอนนี้ทราบเพียงว่าจะขึ้นศาลแต่ยังไม่รู้ข้อหาใด
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องดูในรายละเอียดว่าการเข้าไปของคนไทยทั้ง 7 คนไทยนั้นผิดกฎหมายหรือไม่ หากไม่ผิดกฎหมายก็ต้องปล่อย เรื่องดังกล่าวต้องถามนายกษิต เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่ ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวถึงการช่วยเหลือว่า ไม่ต้องห่วง ขณะนี้กำลังเจรจากับทางกัมพูชา เพราะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการของกฎหมาย เรากำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาอยู่ ส่วนพล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้ขอให้ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงหารือกันอีกครั้งให้เคลียร์กันก่อน

พนิชไปตามคำสั่งนายกฯ

ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์ เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ นายสุเทพ นายกษิต พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สมช. เพื่อหารือเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือ 7 คนที่ถูกกัมพูชาจับกุมโดยใช้เวลาหารือกว่า 1 ชั่วโมง
หลังจากนั้นนายกรัฐบาล พร้อมคณะ ร่วมแถลงข่าว โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายพนิช ได้รับมอบหมายให้ไปประสานงานกับกลุ่มคนที่มีความคิดในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา และได้แจ้งให้ตนทราบก่อนที่จะเดินทางลงไปดูพื้นที่ชายแดน เพราะมีประชาชนร้อนเรียนแต่ไม่ทราบเส้นทาง จนกระทั่งมาปรากฏเป็นข่าว ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องข้อเท็จจริงบริเวณนั้น จึงได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปในพื้นที่เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร

ลั่นต้องปล่อย-กษิตไปคุย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากฝั่งใดก็ควรได้รับการปล่อยตัวโดยเร็วที่สุด เพราะรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารือและเห็นพ้องต้องกันแล้วว่ากรณีที่ประชาชนของทั้งสองฝ่ายรุกล้ำเขตแดนเข้ามานั้นไม่ควรถูกจับกุมและเข้าสู่กระบวนการศาล ตนได้มอบหมายให้นายกษิต เดินทางไปกัมพูชาในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้เพื่อพบกับนายฮอ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศกัมพูชาที่กรุงพนมเปญ เพื่อยืนยันท่าทีและข้อตกลงร่วมกัน นอกจากนั้นขณะนี้ยังมีการประสานงานในทุกระดับ ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องเขตแดนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องมีกระบวนการเจรจาพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง

ต้องพิสูจน์โดนจับจุดใด
นายสุเทพ กล่าวหลังหารือว่า เป็นประเด็นที่ทางกัมพูชาอ้างอย่างนั้นว่าจับ 7 คนไทยได้ที่วัดโจ๊กเจีย ซึ่งวัดดังกล่าวอยู่เลยเขตของไทยเข้าไปแล้ว ซึ่งถ้าความจริงปรากฏว่าถูกจับที่วัดโจ๊กเจียจริง ๆ เราก็เถียงไม่ได้เลยว่าล้ำหรือไม่ล้ำ เพราะวัดโจ๊กเจียอยู่ในเขตของเขา ดังนั้นก็ต้องไปพิสูจน์กันว่าถูกจับที่วัดโจ๊กเจียจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ไม่ต้องเถียงเขา การเจรจาช่วยเหลือก็ต้องไปพูดกันด้วยวิธีการอื่น ขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ และทหาร ไปพิสูจน์จุดที่ถูกจับแล้ว
เมื่อถามว่าหากพิสูจน์แล้วพบว่า 7 คนไทยเข้าไปในพื้นที่กัมพูชาจริง โทษหนักขนาดไหน นายสุเทพ กล่าวว่า เท่าที่ทราบมีโทษ 3-5 ปี แต่เราก็จะพยายามพูดคุยกันว่า เป็นประเทศเพื่อนบ้านด้วยกัน และคนเหล่านี้ไม่ได้เข้าไปด้วยเจตนามุ่งร้ายต่ออธิปไตยของประเทศ ไม่มีการถืออาวุธเข้าไป เมื่อถามย้ำว่าแล้วกัมพูชาจะเชื่อหรือ เพราะเข้าไปพร้อมกับนายวีระ ที่เคยถูกจับกุมแล้ว นายสุเทพ กล่าวว่า “นั่นก็เป็นปัญหา” เมื่อถามว่ารู้สึกเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า “เป็นธรรมดา มันงานเข้า” ด้านนายกษิต กล่าวว่า จะพยายามเดินหน้าประสานกับกัมพูชา เมื่อถามว่า เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ 7 คนไทยจะต้องถูกติดคุกในช่วงปีใหม่หรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ไม่มีคำว่าปีใหม่ ไม่มีหยุด

อุทาหรณ์สส.เข้าเขมร
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือนายพนิชว่า การแก้ปัญหาอาจต้องใช้วิธีการที่นิ่มนวล เพื่อไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งนี้จากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องพบว่านายพนิช เดินทางไปทำหน้าที่ส.ส. และนายพนิช เป็นหนึ่งในกรรมาธิการเจบีซี.ด้วย เมื่อได้รับการร้องเรียนจึงต้องไปหาข้อเท็จจริง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการหารือในที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯดังกล่าว อยากให้ส.ส.นำเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ว่า ต่อไปคนที่เกี่ยวข้องกับงานเหล่านี้ขอให้พึงระมัดระวังด้วย ส่วนที่มีกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติที่เตรียมเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลนั้นอยากให้ให้เวลากับรัฐบาลในการแก้ปัญหาก่อน ไม่อยากให้มีการขยายผลจนกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
เมื่อถามว่านายพนิช เป็นอดีตเลขานุการรมว.ต่างประเทศ ไม่ทราบหรือว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดที่อ่อนไหว และต้องใช้ความระมัดระวัง นายเทพไท กล่าวว่า นายพนิช เดินทางไปส่วนตัว ถ้าเดินทางไปในนามตัวแทนขององค์กรก็จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยรับทราบ ส่วนที่มองกันว่าเรื่องนี้เป็นการตบหน้ารัฐบาลไทย ที่เคยประกาศว่าความสัมพันธ์ของสองประเทศพัฒนาขึ้นแล้วนั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องแยกกัน

ฟ้องศาลพนมเปญ7คนไทย
สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาว่า ทางการกัมพูชาได้ควบคุมตัวคนไทยทั้ง 7คน ซึ่งมีทั้ง นายพนิช นายวีระ และคณะ ไปยังศาลเทศบาลพนมเปญ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของกัมพูชาประกบตัวอย่างใกล้ชิด หลังลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยถูกจับกุมที่จังหวัดบันเตีย เมียนเจย ในเขตแดนของกัมพูชา
สำหรับความผิดทั้งสองข้อหานี้ หากศาลตัดสินว่าผิดจริงแล้ว ต้องรับโทษสูงสุดคือ จำคุก 18 เดือน และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ศาลนัดไต่สวนนัดหน้าเมื่อใด หลังการพิจารณาคดีแล้ว ทั้งนายพนิชและคนไทยอีก 6 คน มีท่าทีเสียใจขณะถูกตำรวจคุมตัวออกจากศาล และถูกนำตัวไปยังเรือนจำเปร ซาร์ ชานกรุงพนมเปญ
นายสก โรอุน รองอัยการศาลเทศบาลพนมเปญ เปิดเผยว่า ศาลได้แจ้งข้อหา 7 คนไทยว่า ลอบข้ามเขตแดนเข้ามาโดยผิดกฎหมายและรุกล้ำพื้นที่ทหารโดยมีเจตนาร้าย โดยระหว่างการพิจารณาคดี ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าทำข่าว และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศตึงเครียดขึ้นไปอีก หลังจากที่มีข้อพิพาทเรื่องดินแดนมานาน

ไม่ได้ล้ำ-หวั่นติดคุกยาว
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายพนิช ถูกจับกุม ว่า เดิมตนก็มีกำหนดการเดินทางไปกับนายพนิช ด้วย แต่บังเอิญติดภารกิจจึงไม่ได้ไป ทั้งนี้ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวเป็นการลงพื้นที่เพื่อดูข้อเท็จจริงเพื่อแก้ปัญหาข้อขัดแย้งตามที่ประชาชนแจ้งเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบ นายพนิช ในฐานะที่เป็นกรรมาธิการร่วมพิจารณากรอบเจบีซี จึงเดินทางไป ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการลุกล้ำพื้นที่ของประเทศกัมพูชา เบื้องต้นคาดว่าอาจจะเป็นความเข้าใจผิดเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถือว่าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้พิสูจน์สิทธิ์ หรือ เรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน
“หากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทับซ้อน ทางการของกัมพูชาไม่มีสิทธิที่จะมาจับตัวคนไทย แต่หากเป็นการเข้าใจผิดก็สามารถที่จะคุยกันได้ โดยไม่ต้องส่งขึ้นศาล ซึ่งการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวทั้งหมดขึ้นอยู่กับสมเด็จฯฮุนเซน เพียงคนเดียว คาดว่าเรื่องดังกล่าวอาจจะมีลักษณะคล้ายกับกรณีที่นายศิวรักษ์ โชติพงษ์ วิศวกรชาวไทยที่ถูกจับกุมฐานจารกรรมข้อมูลการเดินทางเยือนกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ผู้ที่ถูกจับจะถูกกักตัวระยะหนึ่ง และนำขึ้นสู่ศาลเพื่อรับฟังข้อกล่าวหาต่อไป” นายอรรถวิชช์ กล่าว

กษิตเจรจาเหลวฮอร์ นัมฮอง
ส่วนนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศของไทยได้เดินทางมาถึงกรุงพนมเปญแล้ว เพื่อหารือกับนายฮอร์ นัมฮอง รมว.ต่างประเทศของกัมพูชาในเรื่องนี้ แต่นายฮอร์ นัมฮอง เปิดเผยภายหลังการหารือว่า ตนได้แจ้งให้นายกษิตทราบว่าจะยังไม่มีการปล่อยตัวคนไทยทั้ง 7 คนในขณะนี้ ขอให้ศาลได้ทำหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงอะไรได้

บัวแก้วลงพื้นที่ดูจุดจับกุม
ต่อมาเวลา 13.30 น. นางวาสนา ห่อนบุญเหิม ผอ.กองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะฯ เดินทางมาตรวจสอบบริเวณชายแดนบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น มีนายศานิตย์ นาคสุขศรี ผวจ.สระแก้ว พ.ต.อ.ณัฐ สิงห์อุดม ผกก.ตชด.12 และ พ.ต.อ.สุบิน บุญเล็ก ผกก.สภ.โคกสูง ให้การต้อนรับและนำตรวจพื้นที่
ทั้งนี้นายศานิตย์ นำคณะไปดูหลักเขตแดนที่ 46 บ้านหนองจาน ซึ่งเป็นจุดที่ 7 คนไทยถูกทหารเขมรจับกุม โดยเมื่อเดินลงพื้นที่ห่างจากถนนศรีเพ็ญ (ถนนเลียบแนวชายแดน) ประมาณ 600 เมตร ซึ่งเป็นแนวลวดหนามของศูนย์อพยพบ้านหนองจานเก่า เมื่อพ้นแนวลวดหนามเป็นชุมชนชาวกัมพูชาที่ปลูกบ้านรวมกว่า 500 หลังคา เมื่อถึงแนวลวดหนามมองห่างจากแนวลวดหนามประมาณ 600 เมตร เป็นถนนเคห้า มีทหารกัมพูชาจำนวนมากมีอาวุธครบมือยืนเรียงราย แล้วส่งสัญญาณห้ามเจ้าหน้าที่รุกล้ำเกินแนวลวดหนาม ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องถอยกลับมายังถนนศรีเพ็ญ

จับเขตเขมร-เป็นจุดพิพาท
หลังจากนั้นนางวาสนา ตรวจสอบพื้นที่ซึ่งเป็นทุ่งนาของชาวบ้านคนไทย นำแผนที่มาประกอบการและมีการสอบถามพยานที่เดินทางมากับกลุ่ม 7 คนไทยที่ถูกจับ และสรุปได้ว่าคนไทยทั้ง 7 คน เดินข้ามแนวลวดหนามเข้าไปจนถึงถนนเคห้า ซึ่งเป็นถนนของกัมพูชาคู่ขนานกับถนนศรีเพ็ญของไทย และถูกจับกุมตัวบริเวณหน้าวัดวัดโจ๊กเจีย หรือวัดโชคชัย ในหมู่บ้านโจ๊กเจีย ซึ่งอยู่ห่างจากถนนศรีเพ็ญประมาณ 1,200 เมตร
นางวาสนา กล่าวว่า หลักเขตที่ 4647 และ 48 บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว คณะกรรมการเขตแดนยังไม่ได้เข้ามาสำรวจพื้นที่ในการปักปันเขตแดน ทำให้ประชาชนทั้งไทยและกัมพูชา เข้าใจคลาดเคลื่อนกรณีเขตแดน แต่ประชาชนทั้งสองประเทศต่างทำมาหากินกันในพื้นที่โดยไม่มีปัญหาใดๆ

กษิตพบ7คนไทยจี้ช่วยคดี
ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวง ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือระหว่างนายกษิต และนายฮอร์ นัมฮง ว่า จากข้อมูลที่ทั้งสองฝ่ายได้ตรวจสอบ ชัดเจนว่า ทั้ง 7 คนล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชา โดยน่าจะพลัดหลงเข้าไป เรื่องดังกล่าวได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยก็ให้ความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมดังกล่าว และหวังว่าจะมีการพิจารณาคดีโดยเร็ว โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ทั้งนี้นายกษิต มีโอกาสเข้าเยี่ยมคนไทย 7คนที่เรือนจำเปร ซาร์ ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จัดหาทนายความเพื่อสู้คดีให้แล้ว

พท.ติงพนิชขาดวุฒิภาวะ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายพนิช ถูกจับกุมพร้อมนายวีระ ว่า ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่คนระดับนายพนิช ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศถูกจับตัว เพราะน่าจะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎหมาย และสถานการณ์ที่ทั้ง 2 ประเทศกำลังมีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกันอยู่ การเดินทางเข้าไปโดยไม่มีการประสานกับทางกัมพูชาก่อนน่าจะเป็นเรื่องผิดปกติ ไม่แน่ใจว่ามีนัยยะทางการเมืองหรือไม่ และการที่นายพนิชเป็นส.ส.นั้น ยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะกระทำดังกล่าวของนายพนิช มันอาจส่งผลกระทบถึงประเทศไทยโดยรวม ถือว่าขาดวุฒิภาวะทางการเมืองอย่างมาก
“ส่วนตัวคิดว่านายพนิช คงมีเจตนาที่ดีที่จะเข้าไปหาข้อมูลเพื่อนำมาพิจารณาประกอบการเจรจา แต่การดำเนินการไม่เหมาะสม ในเรื่องนี้รัฐบาลต้องชี้แจงถึงการกระทำของนายพนิชให้ชัดเจน ถ้าหากรัฐบาลอยากให้ฝ่ายค้านประสานช่วยอีกแรงก็ยินดี เรามีความเป็นห่วงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฝ่ายค้านรู้สึกเป็นห่วงคือ เหตุการณ์ครั้งนี้นายวีระถูกจับกุมไปด้วย เกรงว่าจะคนบางกลุ่มปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นมาอีก อาจทำให้เกิดเรื่องบานปลายกระทบต่อปัญหาอื่นๆอีก” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

เจริญอัดอย่าขยายผล
นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมมาธิการร่วมพิจราณากรอบ เจบีซี กล่าวเรียกร้องให้นักการเมืองฝ่ายค้านยุติการนำประเด็นปัญหาชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชามาขยายผลเป็นประเด็นทางการเมือง เนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นบทสะท้อนของความขัดแย้งภายในประเทศ ดังนั้นควรที่จะร่วมสนับสนุนหรือร่วมระดมสมองเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา

พันธมิตรกดดันรัฐบาล
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 16.30 น. กลุ่มพันธมิตรฯ ประมาณ 20 คน นำโดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ เดินทางมายื่นหนังสือเร่งรัดให้รัฐบาลดำเนินการให้กัมพูชาปล่อยตัวคนไทยทั้ง 7 คน โดยไม่มีเงื่อนไขภายในเวลา 3 วัน และให้รัฐบาลดำเนินการเอาผิดกับทหารกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาจับคนไทยทั้ง 7 คนในดินแดนของไทย หากไม่มีคำตอบที่ชัดเจน วันที่ 31 ธ.ค.นี้จะเริ่มเคลื่อนไหวไปที่หน้ายูเอ็น และสถานทูตกัมพูชาต่อไป

ตอบโต้ไล่เขมรพ้นไทย
นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่และแกนนำพันธมิตรฯ เปิดเผยว่า แกนนำพันธมิตรฯทั้งหมดได้ประชุมด่วนที่บ้านพระอาทิตย์ ในกรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยขึ้นศาลกัมพูชา โดยพันธมิตรฯเตรียมออกแถลงการณ์นัดชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อกดดันรัฐบาลไทย ให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือโดยไม่จำเป็นต้องขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม หากรัฐบาลกัมพูชา ไม่ปล่อยตัวคนไทย รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการผลักดันชาวเขมรที่ลุกล้ำพื้นที่รอบเขาพระวิหารออกไปให้หมดโดยเร็วเพื่อเป็นการต่อรองและกดดันรัฐบาลกัมพูชาบ้าง
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะกัมพูชาไม่มีความเกรงใจรัฐบาลไทยและไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ การเดินพลัดหลงเข้าเขตแดนที่ชายแดนติดต่อกันเป็นเรื่องปกติที่ประเทศทั่วโลกอื่นๆที่ชายแดนติดกันก็มีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้นเสมอ แต่ไม่มีประเทศใดดำเนินการโหดเหี้ยมอย่างนี้เพราะทุกประเทศในโลกถือว่าเป็นเรื่องต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลด้วย ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่ดำเนินการอย่างใดพันธมิตรฯจะออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ก่อนวันที่ 25 ม.ค.54 ที่ได้นัดชุมนุมให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยูปี 43” นายสมศักดิ์ กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น