ประเทศไทยโชคดีที่มีแปลงสำรวจและผลิตบางแปลงที่มีผลผลิตมาก ในขณะนี้แปลงที่มากที่สุดคือแปลงเอราวัณ/บงกช ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทเชฟรอน และ ปตท.สผ. และ 2 แปลงนี้ผลิตก๊าซอยู่ถึง 2 ใน 3 ของอ่าวไทย และกว่ากึ่งหนึ่งของก๊าซที่ใช้ผลิตไฟฟ้าอยู่ในปัจจุบัน
ธีระชัย
ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
07 กรกฎาคม 2558 เวลา 22:15 น.
เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2558
กระทรวงพลังงานได้เสนอแก้ไขพระราชบัญญัติปิโตรเลียม ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)
โดยเพิ่มทางเลือกระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production
Sharing Contract หรือ PSC) ซึ่ง ครม.เห็นชอบให้ส่งกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
มติ ครม.
กล่าวถึงความห่วงใยที่จะต้องคำนึงถึงอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่เอกชนจะได้รับ
กลัวว่าจะไม่ดึงดูดให้เอกชนเข้ามาลงทุนในกิจการปิโตรเลียม
ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกที่มติ ครม.แสดงความห่วงใยกำไรของภาคเอกชนมากขนาดนี้
ยังดีที่ในมติ
ครม.ดังกล่าวมีสำนักงบประมาณและสภาพัฒน์ฯ ที่ตั้งข้อสังเกตว่า ควรคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
และทำให้กระบวนการยื่นคำขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจบนบกและในทะเลอ่าวไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โปร่งใส และเป็นธรรม
ผมขอเสนอว่า
ประชาชนควรต่อต้านร่างกฎหมายนี้อย่างเต็มที่ครับ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
1.การคัดเลือกโดยดุลพินิจของข้าราชการนั้น
อาจลำเอียงแก่เอกชนเฉพาะราย
ในร่างกฎหมายกำหนดว่า
กรณีการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) นั้น
ให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเป็นผู้กำหนดวิธีการสำหรับการยื่นข้อเสนอ
โดยไม่บังคับให้มีการประมูลแข่งขันกัน
แต่ให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีที่จะเลือกผู้ที่สมควรได้รับสิทธิ
ในประเทศอื่น
การคัดเลือกเพื่อให้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC)
นั้น
ส่วนใหญ่จะใช้วิธีประมูลแข่งขันโปร่งใส ผู้ใดเสนอสัดส่วนแบ่งให้รัฐสูงสุด
เป็นผู้ชนะ และถ้าหากรัฐบาลไม่กำหนดสัดส่วนที่จะต้องแบ่งให้รัฐในระดับขั้นต่ำที่สูงจนเกินไป
เอกชนทุกรายก็ย่อมสามารถเสนอสัดส่วนที่ตนเองพอมีกำไร ดังนั้น ในระบบประมูล
รัฐบาลไม่มีเหตุที่จะต้องกังวลว่าจะดึงดูดให้เอกชนเข้ามาลงทุนมากพอเพียงหรือไม่
การประมูลโดยโปร่งใส
นอกจากจะทำให้ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดโดยอัตโนมัติแล้ว
ยังป้องกันการลำเอียงแก่เอกชนเฉพาะรายได้อีกด้วย
ทั้งนี้
เคยมีกรณีในอดีตที่ขบวนการคัดเลือกให้สัมปทานใช้ดุลพินิจ
ปรากฏว่ามีการให้สัมปทานแก่ 3 บริษัท
ซึ่งไม่มีฐานะและไม่มีประสบการณ์หรือผลงานในการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมมาก่อน โดย 2 บริษัทเพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งก่อนหน้าไม่นาน
และให้พื้นที่ไปกว้างขวางมากถึง 31,780 ตารางกิโลเมตร
และหลังจากให้สัมปทานเพียง
6-7 เดือน ก็มีการเสนอ ครม.เพื่อโอน 60% (19,068 ตารางกิโลเมตร) ไปให้แก่กลุ่มบริษัทหนึ่ง
ทำให้มีข้อสงสัยว่า อาจจะเป็นขบวนการจับเสือมือเปล่าหรือไม่
ดังนั้น
จึงควรใช้ระบบการประมูลอย่างโปร่งใส เพราะจะป้องกันปัญหาทำนองนี้ได้อย่างเด็ดขาด
2.การยอมให้เอกชนหักค่าใช้จ่ายเกินจริง
ร่างกฎหมายนี้กำหนดว่า
สัญญาแบ่งปันผลผลิตต้องเปิดให้เอกชนใช้อัตราร้อยละ 50
ของผลผลิตรวมของปิโตรเลียม เพื่อวัตถุประสงค์ในการหักค่าใช้จ่ายสำหรับการประกอบกิจการปิโตรเลียม
ข้อกำหนดดังกล่าว
ลอกมาจากโครงการพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกันโดยองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
แต่ผู้ร่างกลับไม่ได้คำนึงว่า
ข้อกำหนดนี้กระทำในช่วงที่หน่วยทำงานของทั้งสองประเทศ
เป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของร้อยเปอร์เซ็นต์ คือ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
และปิโตรนาส ดังนั้น การกำหนดอัตราส่วน แม้จะสูงกว่าค่าใช้จ่ายจริงไปบ้าง
ทั้งสองประเทศก็มิได้เสียประโยชน์ เพราะกำไรทั้งหมดจะตกเป็นของรัฐในที่สุด
แต่มาวันนี้ ทั้ง
บริษัท ปตท. และบริษัท ปตท.สผ. ไม่ใช่ของรัฐร้อยเปอร์เซ็นต์
การร่างกฎหมายที่เอื้อประโยชน์แก่เอกชนเกินควร จึงทำให้ประชาชนเสียประโยชน์
3.ทิ้งโอกาสในการแก้ไขอำนาจต่อรองของรัฐ
ผมเข้าใจว่า
สัญญาสัมปทานที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ มีจุดอ่อนที่ทำให้รัฐบาลขาดอำนาจต่อรอง
โดยสัญญามิได้เปิดให้รัฐบาลสามารถส่งตัวแทนเข้าไปในพื้นที่ก่อนวันหมดอายุสัมปทาน
ถ้าเป็นอย่างนี้จริง เท่ากับในอดีตข้าราชการทำงานกันอย่างหละหลวม
และอาจทำให้การผลิตก๊าซธรรมชาติสะดุด
โดยกว่ารัฐบาลจะสามารถจัดการให้เอกชนรายใหม่เข้าไปเริ่มขบวนการผลิต
อาจจะมีช่องว่างหลังสัมปทานหมดอายุถึงหนึ่งปีครึ่ง
จุดอ่อนนี้เอง
จึงมีผู้เสนอรัฐบาลว่าจำเป็นจะต้องต่อธุรกิจกับเอกชนรายเดิม
มิฉะนั้นการผลิตก๊าซจะไม่ต่อเนื่อง
แต่ในประเด็นนี้
เครือข่ายประชาชนเพื่อปฏิรูปพลังงานไทย ได้เสนอแนะแก่ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา แล้ว ให้ใช้วิธีกำหนดเป็นเงื่อนไข Pre-qualify โดยผู้ใดที่ประสงค์จะเข้าร่วมประมูล
จะต้องยินยอมให้ทุก
บริษัทในกลุ่มของตนแก้ไขสัญญาเดิม
เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลสามารถบริหารจัดการให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าผู้ที่จะดำเนินการต่อไปจะเป็นบริษัทเดิมหรือไม่
เหตุใดจึงไม่เขียนเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างนี้เอาไว้ในร่างกฎหมาย
4.สามารถให้สัญญาแบ่งปันผลผลิตแปลงเอราวัณ/บงกช
โดยไม่มีการแข่งขัน
ประเทศไทยโชคดีที่มีแปลงสำรวจและผลิตบางแปลงที่มีผลผลิตมาก
ในขณะนี้แปลงที่มากที่สุดคือแปลงเอราวัณ/บงกช ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทเชฟรอน และ
ปตท.สผ. และ 2 แปลงนี้ผลิตก๊าซอยู่ถึง 2 ใน 3 ของอ่าวไทย
และกว่ากึ่งหนึ่งของก๊าซที่ใช้ผลิตไฟฟ้าอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งสองแปลงจึงมีมูลค่ามหาศาล
และการเลือกบริษัทให้ดำเนินการภายหลังสัมปทานหมดอายุ ถ้าหากไม่ใช้วิธีประมูลแข่งขัน
และหากประเทศไม่ได้ผลประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ที่เสียไปจะเป็นเงินจำนวนมาก
แต่ร่างกฎหมายนี้
กลับเปิดให้รัฐบาลสามารถกุ๊กกิ๊ก มอบสัญญาแบ่งปันผลผลิตไปให้แก่บริษัทเดิม
โดยไม่เปิดแข่งขัน เพียงตะแบงเหตุผลเพื่อให้การผลิตต่อเนื่อง
และยังตีเช็คเปล่าให้รัฐบาลที่จะกำหนดอัตราการแบ่งผลประโยชน์เอง ภายใต้เพดานร้อยละ
50 เป็นเวลายาวนานถึง 39 ปีอีกด้วย
ด้วยเหตุผลเหล่านี้
ประชาชนและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีความรักชาติ
จึงควรจะคว่ำกฎหมายนี้
เพราะไม่ได้ยกร่างเพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น