วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ย้อนรอยวาทะ “ปิยสวัสดิ์” ก่อนเถลิง บอร์ด ปตท.





เพียงแค่เผยชื่อออกมาภาคประชาชนที่เรียกร้องการปฏิรูปพลังงาน ก็ออกมา “ยี้” กันแล้ว สำหรับชื่อ “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” กับคำสั่งแต่งตั้งเป็น คณะกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ บอร์ด ปตท. ชุดใหม่ ซึ่งหลายคนจับตาว่า นายปิยสวัสดิ์ จะถึงขั้น “ประธานบอร์ด ปตท. คนใหม่หรือไม่” เพราะ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ดูแลด้านเศรษฐกิจออกมาการันตีว่า นายปิยสวัสดิ์ มีความรู้และเชี่ยวชาญในด้านพลังงานอย่างมากคนหนึ่งในประเทศไทย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์29 มิถุนายน 2557 17:40 น.
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000073179


       
       ASTVผู้จัดการ จึงขอรวบรวมวาทะ คำพูดของนายปิยสวัสดิ์ในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมานำเสนอ
       
       • 2541 ให้สัมภาษณ์วิทยุ “แปรรูปแล้วต้องให้ได้ตามเป้าหมาย” 
       
       เมื่อ 10 มิถุนายน 2541 นายปิยสวัสดิ์ สมัยนั่ง ตำแหน่ง “เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ” ในขณะนั้นได้ให้สัมภาษณ์กับทางสถานีวิทยุ FM 101 บางประโยคที่คนไทย ณ วันนี้ฟังแล้วเจ็บปวดหัวใจยิ่งก็คือ
       
       “เป้าหมายผมคิดว่าต้องทำให้ได้ อันนี้สำคัญมาก ถ้าแปรรูปไปแล้วไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อาจจะไม่แปรดีกว่า เช่น ถ้าเปลี่ยนการผูกขาดของภาครัฐเป็นเอกชน ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วอยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ แปรรูปแล้วต้องให้ได้ตามเป้าหมาย”
       
       “การแปรรูปไปแล้วก็ต้องทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่คุณภาพบริการและราคาที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับในกรณีไม่มีการแปรรูป หมายความว่าจะต้องแปรรูปในลักษณะให้มีการแข่งขันด้วย มีการแข่งขันอย่างแท้จริง เปิดกว้างทั้งหมด
       
       เพราะความเป็นจริงนั้น ที่ว่าเอาเงินเข้าประเทศแต่เมื่อแปรรูปแล้วเงินกลับไปเข้ากระเป๋าบริษัทเอกชนต่างๆ และไม่ได้เพิ่มการแข่งขันแต่กลับเกิดการผูกขาดอย่างไม่น่าเกิดขึ้น สวนกลับคำพูดของเขาชัดเจน ซึ่ง นายปิยสวัสดิ์ ยังเป็นคนริเริ่มการแปรรูปบริษัท ปตท.สำรวจและผลิต (ปตท.สผ.) ซึ่งการมีแปรรูปหลายครั้งในลักษณะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ และจนนำไปสู่การแปรรูป ปตท.ด้วยการผ่องถ่ายออกอยู่ตลอดเช่นกัน
       
       นายปิยสวัสดิ์เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง
       
       1. ในฐานะเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งเป็นผู้จัดทำและพิจารณาอนุมัติแผนการแปรรูป ปตท. ในปี 2544
       
       2. ในฐานะเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท. ซึ่งทำหน้าที่ตราร่าง พ.ร.ฎ.เพื่อแปลงสภาพ ปตท. เป็น บมจ.ปตท. ในปี 2544
       
       3. ในฐานะเป็นกรรมการในคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท. ซึ่งทำหน้าที่กำกับการประเมินทรัพย์สิน ราคาหุ้น และแนวทางการกระจายหุ้น ในปี 2544
       
       4. ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด ซึ่ง ปตท. ถือหุ้นอยู่ด้วย
       
       5. ในฐานะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และกรรมการ กพช. และ คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ในปี 2549 - 2550 ในยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งมีส่วนโดยตรงในการตรา พ.ร.ฎ. กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2550 ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่าไม่ชอบโดยกฎหมายเช่นกัน
       
       • 27 มีนาคม 2549 การันตีแปรรูป “ปตท.” ถูกกฎหมาย
       
       นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ในเวลานั้นกล่าวว่า ปตท. แปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะการคัดเลือกบุคคลเข้ามาเป็นกรรมการเพื่อดำเนินการแปรรูป เพราะไม่มีคณะกรรมการคนใดเกี่ยวโยงทางธุรกิจซึ่งกันและกัน รวมถึง ปตท. มีสิทธิการรอนสิทธิการวางท่อก๊าซธรรมชาติ และมีคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า ปตท.สามารถดำเนินการแปรรูปได้ หลังจากมีสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งฟ้องร้อง ปตท. ว่ามีการละเมิดที่ดินในการวางท่อน้ำมัน
       
       • พ.ศ.2550 นั่ง รมว.พลังงานขิงแก่ ชูนโยบายทำใน 1 ปี
       
       ช่วงเข้าสู่ตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน” สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ปี พ.ศ. 2550
       
       “นโยบายพลังงานจะเดินหน้าส่งเสริมการแข่งขันในธุรกิจพลังงานอย่างเสรี โดยไม่ต้องการให้ใครเข้ามาแทรกแซงราคาน้ำมัน เพราะที่ผ่านมามีการแซงแทรงโดยบริษัทของรัฐ ทำให้ผู้ค้ารายย่อยต้องปิดตัวไปจำนวนมาก”
       
       “ส่วนเรื่องค่าไฟฟ้าจะมีการปรับสูตรโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานให้เป็นธรรมและเหมาะสม เพราะสูตรปัจจุบันให้ความสำคัญเรื่องผลตอบแทน กับ กฟผ. มากเกินไป ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าฐานลดลง ส่วนเรื่องค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ เอฟที จะดูแลให้ปรับขึ้น-ลงตามต้นทุนเชื้อเพลิงที่แท้จริง ไม่ให้นำต้นทุนแฝงมารวม”
       
       “ค่าไฟฟ้าจะต้องสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเป็นต้นทุนที่มาจากการทำงานที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่การดำเนินงานที่ไม่มีประสิทธิภาพแล้วผ่านเข้ามารวมเป็นต้นทุนค่าไฟฟ้า กฟผ. ต้องบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้ประหยัดที่สุด เช่น เมื่อราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นก็ไม่ใช่จะต้องปรับค่าเอฟที แต่ควรหันไปใช้พลังงานอื่นๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติและพลังงานจากถ่านหิน หาก กฟผ.ไม่สามารถบริหารจัดการได้ก็ต้องรับภาระไป”
       
       “ส่วนเรื่อง ปตท. ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองนั้น คงต้องให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย แต่จะดำเนินการปรับปรุงร่างกฎหมายดูแล ปตท. ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนการแปรรูป อาทิ การโอนอำนาจมหาชน และการโอนที่ดินจากการเวนคืน ไปให้บริษัท ปตท. ต้องปรับปรุงให้เหมาะสม
       
       “ในช่วง 1 ปีจะไม่แปรรูป กฟผ. แน่นอน เพราะเห็นว่าการแปรรูปจะต้องมีกฎหมายกำกับกิจการพลังงาน และมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเข้ามาดูแล”
       
       “เรื่องใดที่ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการเกินกว่า 1 ปี เช่น แปรรูป กฟผ. ก็จะยังไม่ดำเนินการ อย่างไรก็ตาม มีหลายเรื่องที่จะต้องทำ เช่น การปรับโครงสร้างการกำกับดูแลโครงสร้างการบริหาร เพื่อไม่ให้มีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่ควรจะดำเนินการ เช่น อำนาจมหาชนที่อยู่ในรัฐวิสาหกิจที่ผ่านการแปรรูปไปแล้ว เช่น ปตท. ก็จัดการเอาอำนาจเหล่านี้ไปอยู่ในองค์กรกำกับดูแล ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมา (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร - นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ไม่ได้ทำ ในขณะที่เรื่องดังกล่าวควรดำเนินการตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว เพราะทำให้เกิดปัญหาฟ้องร้องต่อศาลปกครอง”
       
       “นอกจากนี้ จะเร่งผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียนในประเทศที่เหลืออยู่ เนื่องจากที่ผ่านมามีเพียงนโยบายแต่ไม่ได้มีการปฏิบัติอย่างเพียงพอ มีการปฏิบัติเพียงบางเรื่อง เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล ในขณะที่วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร น้ำเสีย ขยะ ไม่ได้มีการสานต่อให้เดินหน้าเร็วเท่าที่ควร ทั้งนี้ การลงทุนของเอกชนด้านพลังงานก็มีเอกชนพร้อมที่จะลงทุนในพลังงานจากวัสดุทางการเกษตร และจากการที่นโยบายไม่เดินหน้าในทุกเรื่องทำให้ปัจจุบันโรงผลิตไฟฟ้าจากวัสดุเหลือใช้จากยางพาราไม่มีแม้แต่แห่งเดียวในประเทศไทย ทั้งๆ ที่มีวัสดุเหลือใช้อย่างยางพารา และรากยางพาราอยู่มาก”
       
       • 2550 ทำไม “ปิยสวัสดิ์” ถึงปฏิเสธซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนสาละวิน
       
       เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2550 สำนักข่าวเบอร์นามา ของมาเลเซีย ลงข่าวว่า นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการ พลังงานของประเทศไทย ระหว่างเยี่ยมชมโครงการเกี่ยวกับพลังงานที่จังหวัดกระบี่ ได้ปฏิเสธที่จะซื้อพลังงานจากโครงการเขื่อนสาละวินของรัฐบาลทหารพม่า โดยกล่าวว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะไม่มองหาแหล่งพลังงานจากประเทศพม่า
       
       “กระทรวงพลังงานของไทยยังไม่ได้เคยเซ็นสัญญาซื้อขายพลังงานใดๆ กับประเทศพม่า เพียงแต่ที่ผ่านมาแค่ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนี้เท่านั้น (conduct a feasibility study on the project)”
       
       “นโยบายของรัฐบาลชุดนี้แตกต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้ว มันแตกต่างจากเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา”
       
       “ในส่วนการซื้อพลังงานจากลาว 5,000 เมกะวัตต์นั้น ก็จะยังคงดำเนินการต่อไป และก็กำลังมองหาการร่วมลงทุนกับจีน ซึ่งทั้งหมดนั้นอาจจะเริ่มดำเนินการในรัฐบาลหน้า”
       
       “รัฐบาลชุดที่แล้วมีความผูกพันโยงใยกับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าในด้านผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทำให้กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์หลายครั้งถึงกรณีที่รัฐบาลไทยจะซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนสาละวิน”
       
       • 24 ธ.ค. 51 ค้านถอน ปตท. จากตลาดหุ้น แนะลอยตัว LPG ขึ้นราคา NGV 
       
       นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงแนวคิดรัฐบาลที่จะเพิกถอน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เนื่องจากที่ผ่านมา ปตท. ไม่สามารถดูแลผู้บริโภคได้ ทั้งราคาน้ำมัน และราคาก๊าซในประเทศ ที่ต้องใช้สูงกว่าตลาดโลก โดยช่วงที่ตลาดโลกปรับขึ้น ปตท.กลับประกาศขึ้นราคาทุกวัน แต่พอราคาในตลาดโลกลดลง ปตท. กลับไม่ค่อยปรับราคาลงตามตลาดโลก ทั้งที่เป็นผู้ทำธุรกิจผูกขาด
       
       นายปิยสวัสดิ์ ให้เหตุผลในการคัดค้านการเพิกถอน ปตท. ออกจากตลาดหุ้น โดยเสนอแนะให้รัฐบาลใช้ทางเลือกอื่น อาทิ การกำหนดกฎเกณฑ์ในการกำกับดูแลเพื่อให้เป็นธรรมแก่บริโภคและผู้ลงทุน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการ คือ การออกกฎเกณฑ์ และระเบียบต่างๆ ในการกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติของ ปตท. เพื่อให้การประกอบธุรกิจ การกำหนดราคาและเงื่อนไขในการจำหน่ายก๊าซให้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เป็นการสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม มีคุณภาพบริการที่ดี
       
       นายปิยสวัสดิ์ ยังได้เสนอมาตรการที่รัฐบาลควรดำเนินการใน 99 วันแรกของปีหน้า โดยแนะนำว่า รัฐบาลควรลอยตัวก๊าซหุงต้ม (LPG) โดยสั่งยกเลิกการกำหนดราคาก๊าซ LPG ทั้งภาคขนส่งและครัวเรือน เพราะไม่สามารถควบคุมการลักลอบถ่ายเทก๊าซ และจำมีการปลอมแปลงเอกสาร เพื่อขอรับเงินส่วนต่างจากอัตรากองทุนที่อุดหนุนราคาที่ต่างกัน
       
       นายปิยสวัสดิ์ กล่าวถึงเหตุผลในการประกาศลอยตัว LPG เพราะเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันลดลง จากระดับสูงสุดที่ 924 ดอลลาร์ต่อตัน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมา เหลือเพียง 338 ดอลลาร์ต่อตัน ในเดือนธันวาคม 2551 หรือคิดเป็น 11.7 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมแนะนำให้กำหนดสูตรราคา ณ โรงกลั่นที่ชัดเจน
       
       ส่วนการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV ควรปฏิบัติตามเกณฑ์ของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เช่น การปรับราคาจากกิโลกรัมละ 8 บาท 50 สตางค์ เพิ่มเป็นกิโลกรัมละ 11 บาท และปรับขึ้นไม่เกินครึ่งหนึ่งของราคาดีเซล เพราะราคาในปัจจุบันถูกเกินควรจากการอุดหนุน ถึงแม้จะปรับราคาขึ้นไปถึง 3 บาท 50 สตางค์ แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าดีเซล
       
       นอกจากนี้ นายปิยสวัสดิ์ ยังเสนอให้รัฐบาลปรับภาษีสรรพาสามิตน้ำมันมาอยู่ระดับเดิมในทันที ซึ่งอาจมีผลกระทบกับราคาขายปลีกบ้าง แต่ก็สามารถลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน
       
       ส่วนนโยบายพลังงานทดแทนควรเร่งส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ อี20 และ อี10 ที่มีค่าออกเทน 91 ให้มีการใช้เพิ่มขึ้น สำหรับน้ำมัน อี 85 ควรวางแผนระยะยาว เพราะต้องคำนึงถึงความพร้อมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ
       
       นอกจากนี้ ควรกำหนดให้น้ำมันดีเซล บี3 ซึ่งมีการเติมสัดส่วนของไบโอดีเซลสูงขึ้น ให้เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ใช้ ตั้งแต่ 1 เมษายนปีหน้า และปรับเป็น บี4 และ บี5 ในปีถัดไป เพราะการตึงตัวของน้ำมันปาล์มดิบลดลงไปมาก
       
       • 8 พ.ค. 57 แนะปฏิรูปพลังงานไทย ไล่การเมืองพ้น ปตท. ดีกว่าทวงคืน
       
       นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมและอดีต รมว.พลังงาน กล่าวในงานสัมมนา “พลังงานไทย ปฏิรูปอย่างไรให้ถูกทาง” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจว่าในขณะนี้ประเทศไทยมีพลังงานสำรองในประเทศลดลงมากเรื่อยๆ ส่งผลให้ไทยต้องนำเข้าพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศสูงมาก และจะส่งผลต่อความมั่นคงของพลังงานและต้นทุนค่าไฟของประเทศในอนาคต ทำให้ในอนาคตค่าเอฟทีของไทยจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในอนาคต ส่วนสิ่งที่กังวลกันของธุรกิจพลังงานคือ การเมือง หรือเอกชนอื่นที่จะเข้ามาแทรกแซงการทำงานของ ปตท.
       
       ดังนั้น สิ่งที่จะปฏิรูปพลังงานให้ถูกทางควรจะดำเนินการใน 4 ข้อ คือ 1. การปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เหมาะสมและเป็นจริง โดยเฉพาะการเก็บภาษีจากราคาน้ำมัน ควรจะเท่าเทียมกันไม่ควรจะให้คนที่ใช้พลังงานประเภทหนึ่งมารับภาระของคนใช้พลังงานอีกประเภท เพราะการใช้นโยบายประชานิยมอุดหนุนราคาพลังงานจำนวนมากในที่สุดไปไม่รอด เช่น ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผลิตน้ำมัน เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศโอเปกใช้วิธีอุดหนุนราคาน้ำมันมาอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ขณะเดียวกัน ทุกพรรคการเมืองในประเทศไทย ขณะนี้เน้นประชานิยมในด้านพลังงาน พรรคเพื่อไทยก็ประชานิยม พรรคประชาธิปัตย์ก็ประชานิยม ส่วนคนที่ต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้ก็ประชานิยมสุดซอย แต่ขณะนี้ ควรต้องกลับมาคิดแล้วว่า ถ้าเราต้องการความยั่งยืนและมั่นคงทางพลังงาน ราคาก็ต้องสะท้อนกลไกตลาด ไม่เช่นนั้น คนไทยอาจจะได้ใช้น้ำมันราคาถูกวันนี้ แต่จะแพงขึ้นอย่างรวดเร็วใน 10 - 20 ปีข้างหน้า
       
       “ส่วนกรณีที่มองว่า คนจนอาจจะลำบากหากราคาน้ำมัน และพลังงานแพงขึ้นนั้น อยากให้การอุดหนุนของรัฐบาลเป็นไปอย่างโปร่งใส คือตั้งงบประมาณ และกำหนดบุคคลเป้าหมายในการให้การอุดหนุนที่ชัดเจน แทนที่จะอุดหนุนโดยวิธีเอาเงินของคนหนึ่งมาให้อีกคนหนึ่งซึ่งไม่เป็นธรรม”
       
       2. จัดโครงสร้างของพลังงานของไทยใหม่ โดยสร้างการแข่งขันให้มีความเท่าเทียมกันโดยเชื่อว่าหากมีการแข่งขันที่เท่าเทียมไม่มีการผูกขาด จะทำให้ราคาที่ซื้อขายกันเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด
       
       3. ลดการแทรกแซงธุรกิจพลังงานจากฝ่ายการเมือง โดยแทนที่จะทวงคืน ปตท. กลับมาเป็นของรัฐ ซึ่งคุมโดยนักการเมืองก็ควรจะขับไล่นักการเมืองออกไปจาก ปตท. มากกว่า โดยให้ข้าราชการการเมืองกำหนดนโยบายอย่างเดียว ไม่ต้องอนุญาตในทุกเรื่อง และ 4. คือการเร่งรัดในการสนับสนุนการสร้างระบบพลังงานทดแทนของประเทศ โดยดูแลให้การอนุญาตการดำเนินการพลังงานทดแทน ทำได้อย่างโปร่งใส หรือไม่ต้องรับใบอนุญาตเลย เพราะในขณะนี้ส่วนหนึ่งมีการหาผลประโยชน์จากการอนุญาตเหล่านี้จำนวนมาก
       
       • เปิดตัว “กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน” 
       
       12 พฤษภาคม 2557 “นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน” แถลงข่าวเปิดตัว “กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน” ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มบุคคลจากหลายอาชีพผู้มีประสบการณ์ด้านพลังงานโดยตรงกว่า 30 คน มารวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มปฏิรูปพลังงาน เพื่อนำเสนอข้อมูลและแนวทางการปฏิรูปพลังงานที่ยั่งยืนบนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง แนวทางที่กลุ่มนี้นำเสนออาจจะไม่ถูกใจประชาชนทั่วไป เพราะไม่ใช่ประชานิยม แต่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ ทั้งนี้เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานให้กับประเทศในอนาคต
       
       การปฏิรูปพลังงานที่ยั่งยืน ตามข้อเสนอของนายปิยสวัสดิ์แบ่งเป็น 3 กลุ่่ม แต่ละกลุ่มมีการนำเสนอทางแก้ หรือขั้นตอนที่จะนำไปสู่การปฏิรูปพลังงานที่ยั่งยืน 6 ประการ ดังนี้
       
       กลุ่มที่ 1 การกำหนดราคาที่เป็นธรรมและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง แนวทางในการปฏิรูปพลังงานในกลุ่มนี้ นายปิยสวัสดิ์เสนอให้ปรับโครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อนำไปสู่การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมแก่ผู้ใช้พลังงานกลุ่มต่างๆ ขณะนี้มีผู้ใช้พลังงานบางกลุ่มใช้พลังงานในราคาที่ถูก โดยมีผู้ใช้อีกกลุ่มเป็นผู้จ่ายเงินอุดหนุนในอัตราที่สูง ดังนั้น รัฐบาลจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ราคาพลังงานเป็นเครื่องมือในการให้สวัสดิการสังคมแก่ประชาชน แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องมีการอุดหนุนราคาพลังงาน ควรทำเท่าที่จำเป็นเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่ให้กระทบต่อกลไกตลาด และมีกรอบการใช้เงินที่ชัดเจน
       
       กลุ่มที่ 2 ปฏิรูปบริษัท ปตท. เป็นธุรกิจขนาดใหญ่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มนี้นายปิยสวัสดิ์มีข้อเสนอ 2 ประการ คือ 1) เพิ่มการแข่งขันในธุรกิจพลังงาน และเพื่อไม่ให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภค กิจการที่มีการแข่งขันของรัฐวิสาหกิจต้องเข้ามาอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า และให้บริษัท ปตท. ขายหุ้นทั้งหมดในโรงกลั่นบางจากและโรงกลั่นน้ำมันสตาร์ปิโตรเลียม (SPRC Refinery) รวมทั้งแยกกิจการท่อก๊าซธรรมชาติออกจาก ปตท. เปิดให้บริการใช้ท่อก๊าซธรรมชาติแก่บุคคลที่สาม (Third party access) เพื่อให้ผู้ใช้มีทางเลือก โดยขั้นแรก ขอเสนอให้ ปตท. ถือหุ้นโรงแยกก๊าซ 100% ขั้นที่ 2 ให้แยกความเป็นเจ้าของจากผู้ให้บริการ โดยให้รัฐถือหุ้นโรงแยกก๊าซมากกว่า 50% ซึ่งจะเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กำหนดผู้ให้บริการส่งก๊าซธรรมชาติ ห้ามทำธุรกิจที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ เช่น ไฟฟ้า
       
       นายปิยสวัสดิ์ ยังเสนอให้โอนการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าภูมิภาค เข้ามาอยู่ในสังกัดกระทรวงพลังงาน เช่นเดียวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกิจการไฟฟ้า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต อาทิ สายส่ง Smart grid ระบบจำหน่าย และมาตรฐานการให้บริการ การจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (Demand side management: DSM) และการกำกับนโยบาย ปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าให้มีการแข่งขันให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้า และปรับปรุงบทบาทการทำงานของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้เข้มแข็ง ทั้งในเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภคและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน
       
       ข้อเสนอที่ 2) ลดการแทรกแซงทางการเมือง ลดการแทรกแซงโดยมิชอบและแสวงหาประโยชน์ในกิจการพลังงานที่รัฐถือหุ้น และการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีดังนี้
       
       - แยกการกำกับดูแล การกำหนดนโยบาย และการดูแลผลประโยชน์ของรัฐในฐานะของผู้ถือหุ้นออกจากกันอย่างชัดเจน โดยห้ามข้าราชการที่มีหน้าที่กำกับดูแล หรือมีอำนาจในการกำหนดนโยบายที่อาจจะให้คุณให้โทษต่อกิจการ เป็นกรรมการในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรัฐถือหุ้น
       
       - ปรับปรุงระบบการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการในบริษัทที่รัฐถือหุ้นให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลของบริษัทชั้นนำของโลก มีความโปร่งใส ประชาชนสามารถตรวจสอบได้
       
       - ข้าราชการที่เป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ หรือกรรมการในบริษัทมหาชนที่รัฐถือหุ้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติหน้าที่ ควรได้รับผลตอบแทนในอัตราที่เหมาะสมหากมีผลตอบแทนส่วนที่เกินควรให้นำส่งคลัง
       
       - เมื่อแยกกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติออกไปจาก ปตท. จากนั้นรัฐบาลต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นใน ปตท. ลงต่ำกว่า 50% จนพ้นสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อลดการแทรกแซงจากภายนอก เพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
       
       • 25 มิ.ย. 57 แนะลอยตัวน้ำมันเลิกประชานิยม
       
       ล่าสุด 25 มิ.ย. 57 นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน เปิดเผยในงานสัมมนา “ปฏิรูปพลังงาน...เพื่อความยั่งยืนของไทย ซึ่งจัดโดยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ว่า มาตรการตรึงราคาน้ำมันควรจะทำในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะหากรัฐดำเนินการในระยะยาว จะกลายเป็นนโยบายประชานิยม ที่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะยิ่งทำให้โครงสร้างพลังงานถูกบิดเบือน และในที่สุดประชาชนก็ต้องรับภาระ”
       
       โดยเมื่อปี 2547 ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลเอาไว้ เพราะคิดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับลดลง แต่กลายเป็นว่า กองทุนน้ำมันต้องแบกภาระหนี้ถึง 90,000 ล้านบาท และมาใช้หนี้จนหมดในรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์
       
       นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า รัฐไม่ควรที่จะทำให้น้ำมันเป็นสินค้าการเมือง โดยควรที่จะปล่อยให้มีการลอยตัว เพื่อให้ราคาปรับขึ้นลงตามกลไกตลาด ซึ่งที่ผ่านมา การกำหนดเพดานราคาดีเซลเอาไว้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร และไม่ยอมเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซล ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปประมาณปีละแสนล้านบาท ซึ่งผ่านมา 3 ปี ก็คิดเป็นเงินประมาณ 3 แสนล้านบาท ทั้งๆ ที่เงินจำนวนนี้ควรจะนำมาใช้พัฒนาระบบขนส่งมวลชน ที่จะช่วยให้การใช้น้ำมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
       
       “การลอยตัวราคาน้ำมันและมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอย่างเป็นธรรม จะทำให้ราคาเบนซินถูกลงมาได้ 1-2 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลก็ควรจะทยอยจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นมาอีก 3-4 บาทต่อลิตร จากที่ยังเก็บอยู่ 0.005 บาทต่อลิตร ส่วนเอ็นจีวีที่มีไม่ภาษีสรรพสามิตเลย ก็ควรจะมีการจัดเก็บภาษี เพราะยังมีราคาที่ต่ำมาก ซึ่งหากจะช่วยให้รัฐมีรายได้ปีละแสนล้านบาท ที่จะมาใช้ลงทุนระบบรถไฟฟ้า แทนที่จะกู้เงินมาลงทุนเพียงอย่างเดียว” นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
       
       ในส่วนของแอลพีจี เห็นว่า รัฐควรจะจัดสรรแอลพีจีไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากกว่าใช้ในภาคขนส่ง ทั้งนี้หากยกเลิกการใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง จะทำให้มีแอลพีจีเพียงพอที่จะใช้ในภาคครัวเรือน ที่ยังมีความจำเป็นมากกว่า และจะช่วยให้ราคาแอลพีจีลดลงได้ 2.30บาทต่อกิโลกรัม
       
       สำหรับประเด็นที่บางกลุ่มเสนอให้มีการยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น มองว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียที่รัฐควรจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ซึ่งในความเป็นจริงหากยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ จะส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินปรับลดลงได้จริง 10 บาทต่อลิตร รวมถึงราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์บางชนิดลดลงด้วย แต่จะส่งผลกระทบให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 จะปรับขึ้น 12 บาทต่อลิตร รวมถึงก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) จะต้องปรับขึ้นเป็น 26 บาทต่อกิโลกรัมตามต้นทุนที่แท้จริง โดยแอลพีจีภาคครัวเรือนและขนส่งจะต้องถูกปรับขึ้น แต่แอลพีจีภาคอุตสาหกรรมจะได้รับการปรับลดลงจาก 30.13 บาทต่อกิโลกรัมในปัจจุบัน ลงมาเหลือ 26 บาทต่อกิโลกรัม
       
       “การยกเลิกกองทุนน้ำมันจะทำให้อุตสาหกรรมเอทานอลมีปัญหาเพราะคนจะหันมาใช้เบนซินที่มีค่าความร้อนที่สูงกว่า และอาจจะทำให้ผู้ประกอบการเอทานอลล้มละลายได้”
       
       • หนุนยุบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ชี้โครงสร้างราคาน้ำมันควรสะท้อนกลไกตลาด
       
       นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอเรื่องการยุบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะสอดคล้องกับข้อเสนอของกลุ่มที่ผ่านมา ที่ต้องการเห็นโครงสร้างราคาน้ำมันสะท้อนกลไกตลาด เพราะที่ผ่านมาทั้งอดีตรัฐบาลตั้งแต่ปี 2547 สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล้วนใช้กลไกกองทุนน้ำมันในการจัดทำนโยบายประชานิยมอุดหนุนราคาพลังงานมาโดยตลอด จนทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ใช้น้ำมันที่ต้องอุดหนุนผู้ใช้ก๊าซแอลพีจี และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่แรกเริ่มที่ต้องการรักษาเสถียรภาพความมั่นคงพลังงานเป็นหลักตาม พ.ร.ก. แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 และใช้อำนาจตามข้อ 3 แห่ง พ.ร.ก. ฉบับดังกล่าวในการจัดตั้งกองทุนน้ำมัน
       
       “การตั้งกองทุนน้ำมันมีตัวแทนของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้ามาดู ซึ่งที่ผ่านมามีความเป็นห่วงเรื่องการจัดตั้งว่าจะถูกต้องหรือไม่ ซึ่งได้รับคำยืนยันว่าถูกต้อง ทั้งนี้ แล้วแต่การตีความ แต่เมื่อสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ใช้การตรึงราคาน้ำมันจนหนี้สูงกว่า 80,000 ล้านบาท และในปี 2547 ได้มีการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ และสถาบันบริหารกองทุนพลังงานมาจัดการ ซึ่งช่วงนั้นมีการออกพันธบัตร และขณะนี้ก็จะมีหนี้กู้เงินมาเพื่อชดเชยกองทุนที่ทำหน้าที่หลักในการอุดหนุนราคาพลังงาน” นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม ผลที่เกิดขึ้นหากยกเลิกเงินกองทุนน้ำมันทันที คือ ราคาเบนซิน 95 จะลดทันที 10 บาท/ลิตร ราคา อี10 จะลดลงตามกองทุนที่เก็บ แต่ อี20 จะเพิ่มขึ้น 1.05 บาท อี85 จะเพิ่มขึ้น 11.60 บาท/ลิตร ดีเซลลดลง 25 ส.ต. ราคาแอลพีจีทุกภาคส่วนจะมีราคาเดียวกัน คือ 26 บาท/กก. ซึ่งเป็นราคาที่เฉลี่ยระหว่างราคาโรงแยกก๊าซ โรงกลั่น และการนำเข้าแอลพีจีที่บวกค่าขนส่งที่ 919 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ราคาเฉลี่ย 26 บาท/กก. หมายถึงราคาครัวเรือนและขนส่งจะขยับขึ้นจากที่ขณะนี้อยู่ที่ 22.63 บาท/กก. และ 21.38 บาท/กก.ตามลำดับ ส่วนภาคอุตสาหกรรมราคาจะลดลงจากที่อยู่ที่ 30.13 บาท/กก.
       
       ดังนั้น หากยุบเลิกกองทุนน้ำมันจริง สิ่งที่กระทรวงพลังงานจะต้องพิจารณา คือ จะส่งเสริมเอทานอลอย่างไร เพราะราคาแก๊สโซฮอล์ใกล้เคียงน้ำมันเบนซิน โดยอาจจะใช้กองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานมาเป็นกลไกอุดหนุน จากที่ปัจจุบันจัดเก็บ 0.25 บาท/ลิตร ดังนั้นราคาน้ำมันจะไม่ได้ลดตามสัดส่วนกองทุนน้ำมันทั้งหมด และจะต้องหาทางบริหารจัดการเกี่ยวกับหนี้ของกองทุนที่มีกว่า 7,000 ล้านบาทอย่างไร
       
       จากพฤติกรรม และคำพูดในอดีตของนายปิยสวัสดิ์ ว่าที่ประธานบอร์ด ปตท. คนใหม่ และผู้ทรงอิทธิพลในการกำหนดนโยบายด้านพลังงานในยุค คสช. ก็คงพอจะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า “นโยบายพลังงาน” และ “การปฏิรูปพลังงาน” นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปน่าจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใด
       
       

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เปิดประวัติ 5 บอร์ด ปตท.หน้าเก่าเก้าอี้ใหม่


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์27 มิถุนายน 2557 17:13 น.
เอามาทิ้งไว้ตรงนี้ เพื่อดูวันในอนาคต


เปิดประวัติ 6 บอร์ดใหม่ ปตท. นอกจาก “ปิยสวัสดิ์” ยังมี “คุรุจิต นาครทรรพ” ผู้สนับสนุนเปิดสัมปทานรอบ 21 “พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” หน.ฝ่ายกฎหมาย คสช. “พรชัย รุจิประภา” ปธ.บอร์ดยุค “ขิงแก่” “กิติพงษ์ กิตยารักษ์” อดีตปลัด ยธ. และ “นันทวัลย์ ศกุนตนาค” ลูกหม้อพาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญส่งออก
     
       เปิดประวัติ คณะกรรมการ ปตท. ชุดใหม่จำนวน 6 คน นอกจาก นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ที่เข้ามาแทน นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ยังมีอีก 5 คน ที่จะเข้ามาบริหารพลังงานของชาติ ได้แก่ นายคุรุจิต นาครทรรพ แทน นายอรรถพล ใหญ่สว่าง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา แทน นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ นายพรชัย รุจิประภา แทน นายทศพร ศิริสัมพันธ์ นายกิติพงษ์ กิตยารักษ์ แทน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว และ นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค แทน นายอินสอน บัวเขียว ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2557
     
       คุรุจิต นาครทรรพ “หนุนเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21”
     

       คุรุจิต นครทรรพ


       เริ่มจาก นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน คนปัจจุบัน พบว่า ประสบการณ์การทำงานด้านพลังงาน เคยเป็นวิศวกรปิโตรเลียม ระดับ 8/9 วช. กรมทรัพยากรธรณี/กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย เป็นผู้อำนวยการสำนักวิชาการ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงพลังงาน รักษาการหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติรองปลัดกระทรวงพลังงาน (12 ธ.ค.2549 – 21 ก.ย.2551) และอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (22 ก.ย.2551 – 3 พ.ย. 2553)
     
       ตั้งแต่ปี 2550 ถึงปัจจุบัน เป็นกรรมการบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เคยนั่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ทั้งหมด 11 ตำแหน่ง เช่น กรรมการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สมัยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และยังเป็นโฆษกกระทรวงพลังงาน และเป็นผู้หนึ่งที่ออมาหนุน ให้กระทรวงพลังงานหนุนเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21
     
       “เพิ่มปริมาณสำรองก๊าซในอ่าวไทย หากปล่อยให้นำเข้าพลังงานจากต่างประเทศมากขึ้น ค่าไฟฟ้าอีก 10 ปีข้างหน้าทะลุ 6.25 บาทต่อหน่วย”
     
       พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา “ปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต”
     

       พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา


       พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา (บิ๊กต๊อก) ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. เป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ รุ่นที่ 26 (จปร.26) ขณะศึกษาอยู่ เป็นนักเรียนนายร้อยเรียนดีเหรียญทอง และเป็นนักเรียนผู้บังคับบัญชา จบ จปร. เมื่อ พ.ศ.2522 ด้วยผลการศึกษาเป็นที่ 1 ของรุ่น ศึกษาต่อปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับราชการตำแหน่งหลักของกองทัพบก ผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ทั้ง 3 กรม (คนเดียวของกองทัพบก) ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ แม่ทัพภาคที่ 1 ก่อนขึ้นสู่ผู้ช่วย ผู้บัญชาการทหารบก เป็น ผบ.หน่วย ฉก.เพชราวุธ เป็นทหารหน่วยแรกนอก ทภ.4 ที่ไปปฏิบัติงาน 3 จชต. ตั้งแต่ปี 47 เป็นนายทหารที่ใช้ชีวิตอย่างสมถะ เรียบง่าย เข้มงวด วินัยเคร่งครัด เป็นทหารอาชีพ ยังอยู่บ้านชั้นนายร้อย ไม่เคยเปลี่ยน
     
       พรชัย รุจิประภา อดีตประธานบอร์ด ปตท. ยุคขิงแก่
     

       นายพรชัย รุจิประภา


       นายพรชัย รุจิประภา อดีตปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลายรัฐบาล เคยนั่งตำแหน่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ทั้งหมด 42 ตำแหน่ง เช่น ประธานกรรมการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (สมัย พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ สมัยนายสมัคร สุนทรเวช สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี)
     
       เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กรรมการ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรรมการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงพลังงาน สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
     
       ปี พ.ศ. 2552 เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน สมัยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี พ.ศ.2551 ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สมัยนายกรัฐมนตรี สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยปี พ.ศ.2549 เป็น กรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สมัยนายกรัฐมนตรี สุรยุทธ์
     
       นันทวัลย์ ศกุนตนาค ลูกหม้อพาณิชย์
     

       นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค


       นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปัจจุบัน เป็นกรรมการ สสปน. (อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) เป็นลูกหม้อของกระทรวงพาณิชย์ เคยเป็นรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และรองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก
     
       นางนันทวัลย์ เป็นผู้หนึ่งที่มีความรอบรู้เชี่ยวชาญในเรื่อง “การส่งออก” โดยเฉพาะการหารายได้เข้าประเทศ นอกเหนือไปจากการจัดเก็บภาษีของกรมต่างๆ ในกระทรวงการคลัง
     
       กิตติพงษ์ กิตยารักษ์
     


       นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์

       นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ทำงานครบวาระ 4 ปี และต่ออายุมาแล้ว 2 ครั้ง ตามระเบียบของทางราชการก่อนย้ายมาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อดูเรื่องกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับ ปตท.

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เชฟรอน โยงใย 15 บ.ไทย-ต่างชาติ บิ๊กกลุ่มทุน ปตท.-กฟผ.-ยักษ์ชิปปิ้ง-ตระกูลแบงก์ดัง


ผ่าไส้กลุ่มเชฟรอน โยงใย 15 บ.ไทย-ต่างชาติ บิ๊กกลุ่มทุน ปตท.-กฟผ.-ยักษ์ชิปปิ้ง-ตระกูลแบงก์ดัง หุ้นส่วน ซุ่มจดทะเบียนตั้งบริษัทลับบนเกาะสวรรค์“เคย์แมน-บริติเวอร์จินส์”โอนหุ้นไป-มา เชื่อมเป็นเครือข่าย


          ภายหลังที่กลุ่มเชฟรอนยักษ์สัญชาติสหรัฐรุกเข้ามาทำธุรกิจพลังงานในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2545เป็นต้นมากระทั่งปัจจุบันได้จดทะเบียนทำธุรกิจในประเทศไทยทั้งสิ้น 8 บริษัท ได้แก่ บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เชฟรอน บล๊อค บี8 32 (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เชฟรอนเอเชียเซ้าท์ จำกัด บริษัท บี 8/32 พาร์ทเนอร์ จำกัด บริษัท ซียูอีแอล จำกัด บริษัท เอ็นเอสที ซัพพลาย เบส จำกัด บริษัท เชฟรอน เอ็นเนอร์จี ดิเวลล็อปเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ไตร เอนเนอจี้ จำกัด
          ทั้ง 8 บริษัท มีผลประกอบเฉพาะปี 2553 ปีเดียวมีรายได้ 54,736.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 10,229.7 ล้านบาท
          ข้อมูลที่อาจไม่ปรากฏต่อสาธารณะมาก่อนหน้านี้ก็คือการทำธุรกิจของยักษ์พลังงานรายนี้มีใครเป็นพันธมิตร?
          สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำข้อมูลมาเปิดเผยดังต่อไปนี้
          จากการตรวจสอบพบว่า กลุ่มทุนชั้นนำเมืองไทยที่ร่วมลงทุนกับเชฟรอนมี 4 บริษัทได้แก่
1.กลุ่ม ปตท. ร่วมถือหุ้นใน บริษัท บี 8/32 พาร์ทเนอร์ จำกัด จำนวน 30,556 หุ้น หรือประมาณ 25% (หุ้นละ 1,000 บาท) เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2548 โดยใช้ชื่อ บริษัท พีทีทีอีพี ออฟชอร์ อินเวสเมนต์ จำกัด ที่ตั้งเลขที่ 555 ถนนวิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร กรุงเทพฯ หลังจากนั้น วันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 บริษัท พีทีทีอีพี ออฟชอร์ อินเวสเมนต์ จำกัด ได้ย้ายไปจดทะเบียนที่เกาะเคย์แมน สัญชาติ เคย์แมน ไอซ์แลนด์ ที่อยู่เลขที่ พี.โอ.บ็อกซ์ 501 ชั้น 2 อาคารธนาคารโนวาสโกเทีย จอร์จทาวน์ แกรนด์ เคย์แมน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น พีทีทีอีพี ออฟชอร์ อินเวสเมนต์ คัมปะนี ลิมิเต็ด จนถึงปัจจุบัน
2.บริษัท ราชบุรีแก๊ส จำกัด (กลุ่ม กฟผ.) ร่วมถือหุ้น บริษัท ไตร เอนเนอจี้ จำกัด จำนวน 12,838,875 หุ้น(กลุ่มก.) และ 375 หุ้น (กลุ่ม ค.) หุ้นละ 100 บาท คิดเป็น 50% โดยรับโอนมาจาก บริษัท บ้านปูแก๊ส เพาเวอร์ จำกัด เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2547 กระทั่งถือหุ้นจนปัจจุบัน
          ทั้งนี้ บริษัท ราชบุรีแก๊ส จำกัด ทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง ถือหุ้น 100% ( การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย –กฟผ. ถือหุ้นใน บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง 45%)
3.บริษัท ยูไนเต็ดไทย ชิปปิ้ง จำกัด (กลุ่มนายชวลิต เชาว์) ร่วมถือหุ้น บริษัท ซียูอีแอล จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท คลัฟ-ยูนิไทย เอนจิเนียริ่ง จำกัด) จำนวน 3,999,994 หุ้น มาตั้งแต่ 10 ตุลาคม2549 หลังจากนั้นวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 แบ่งให้บริษัทในเครือ คือ บริษัท ยูนิไทย เอนเนอจี้ จำกัด ถือหุ้น 2,500,000 หุ้น กระทั่งปัจจุบัน
          บริษัท ยูไนเต็ดไทย ชิปปิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจ ท่าเทียบเรือ นายหน้าตัวแทน จดทะเบียนวันที่ 2 ตุลาคม 2521 ทุน ปัจจุบัน 2,940 ล้านบาท ที่ตั้ง เลขที่ 25 อาคารอัลม่าลิงค์ ชั้น 11 ซอยชิดลม ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นาย ชวลิต เชาว์ ถือหุ้น 50.99% ไอเอ็มซี อินดัสเทรียล ลิมิเต็ด สัญชาติ เบอร์มิวด้า 44.31% กระทรวงการคลัง 4.68% ส่วน บริษัท ยูนิไทย เอนเนอจี จำกัด 22 พฤศจิกายน 2548 ทุน 300 ล้านบาท ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น นายชวลิต เชาว์ ถือหุ้น 100%
4.กลุ่มโสภณพนิช จากการตรวจสอบพบว่าร่วมถือหุ้นกับกลุ่มเชฟรอน 2 บริษัท คือ
          หนึ่ง บริษัท บี 8/32 พาร์ทเนอร์ จำกัด กลุ่มโสภณพนิชร่วมถือหุ้นมาตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2547 ในชื่อ บริษัท พลังโสภณ จำกัด(สัญชาติไทย) และ บริษัท พลังโสภณ อินเตอร์เนชันแนล จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งบนเกาะ เคย์แมน (สัญชาติ เคย์แมนไอซ์แลนด์) ที่ตั้ง วอล์คเกอร์ส เอสพีวี ลิมิเต็ด วอล์คเกอร์ เฮ้าส, พีโอบ็อกซ์ 908 จีที ,แมรี สตรีท ,จอร์จ ทาวน์ , แกรนด์ เคย์แมน , เคย์แมน ไอซ์แลนด์
          วันที่ 30 เม.ย.2550 บริษัท พลังโสภณ จำกัด ได้โอนหุ้นให้บริษัท เชฟรอน บล็อค บี 8/32 (ประเทศไทย) จำกัด 8,048 หุ้น ขณะที่วันที่ 29 เม.ย.2553 บริษัท พลังโสภณ อินเตอร์เนชันแนล จำกัด ได้โอนหุ้นให้ บริษัท คริสเอ็นเนอร์ยี่ (กัลฟ์ ออฟ ไทยแลนด์ ) จำกัด (สัญชาติ เคย์แมน ไอซ์แลนด์) 5,098 หุ้น ทำให้กลุ่มโสภณพนิชไม่มีหุ้นในบริษัท เชฟรอน บล็อค บี 8/32 (ประเทศไทย)อีกต่อไป
          สอง บริษัท เอ็นเอสที ซัพพลาย เบส จำกัด กลุ่มโสภณพนิชในนามบริษัท พลังโสภณ จำกัด ร่วมถือหุ้นตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2554 จำนวน 1 หุ้น หลังจากนั้นเพิ่มเป็น 3,301 หุ้น เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 กระทั่งเหลือ 3,300 หุ้นหรือ 0.33% ในปัจจุบัน
          ขณะที่กลุ่มทุนต่างชาติที่ร่วมลงทุนกับกลุ่มเชฟรอนอย่างน้อย 5 บริษัทได้แก่
1.อีเอ็มอี ไตร เจน ,บีวี (EME Tri Gen,B.V.) สัญชาติเนเธอร์แลนด์ เลขที่ 3521 โครเซอส์แลนด์ 18 ซีบี อูเทรด ประเทศเนเธอแลนด์ ร่วมถือหุ้น บริษัท ไตร เอนเนอจี้ จำกัด จำนวน 8,559,250 หุ้น (กลุ่ม ก.) และ 250 หุ้น (กลุ่ม ข.) ปี 2547
2. บริษัท โมเอโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล บี.วี. สัญชาติเนเธอร์แลนด์ สตราวินสกีแลน 3105 เอเทรียน 1077 ซีเอ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ร่วมถือหุ้น บริษัท บี 8/32 พาร์ทเนอร์ จำกัด จำนวน 18,376 หุ้น
3.คริสเอ็นเนอร์ยี่ (กัลฟ์ ออฟ ไทยแลนด์ ) จำกัด สัญชาติ เคย์แมน ไอซ์แลนด์ ที่อยู่ วอคเกอร์เฮ้าส์ 87 แม่รี่ สตรีท ,จอร์จทาวน์ แกรนด์ เคย์ แมน เควาย 1-9005 เคย์แมน ไอซ์แลนด์ ร่วมถือหุ้น บริษัท บี 8/32 พาร์ทเนอร์ จำกัด จำนวน5,098 หุ้น และ บริษัท เอ็นเอสที ซัพพลาย เบส จำกัด จำนวน 5,600 หุ้น
4.มิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น จำกัด ร่วมถือหุ้น บริษัท เอ็นเอสที ซัพพลาย เบส จำกัด จำนวน 205,800 หุ้น (สัญชาติญี่ปุ่น)
5.บริษัท เจวี ชอร์ เบส จำกัด ร่วมถือหุ้น บริษัท เอ็นเอสที ซัพพลาย เบส จำกัด จำนวน 156,700 หุ้น (สัญชาติ เคย์แมน ไอส์แลนด์) ที่อยู่ พี.โอ.บ๊อกซ์ 1034 แกรนด์เคย์แมน เควาย 1-1102 ประเทศเคย์แมน ไอส์แลนด์
          สำหรับ บริษัทที่คาดว่าเป็นเครือข่ายของเชฟรอน 6 บริษัท ได้แก่
          บริษัท เท็กซาโก้ ไทยแลนด์ เอนเนอจี้ คัมปะนี วัน สัญชาติ บริติช เวส อินดี้ส์ เลขที่ พี.โอ.บ็อกซ์ 309 จอร์จ ทาวน์ แกรนด์เคย์แมน เคย์แมน ไอส์แลนด์ส ประเทศบริติช เวส อินดี้ส์
          เชฟรอน ไทยแลนด์ อิงค์ สัญชาติ อเมริกัน เลขที่ 6001 โบลลิงเกอร์ แคนย่อนโร้ด ซาน รามอน แคลิฟอร์เนีย 94583 สหรัฐ
          เชฟรอน ไทยแลนด์ แอลแอลซี สัญชาติอเมริกัน เลขที่ 2711 ถนนเซ็นเตอร์วิล สูท 400 วิลมิงตัน ดีซี 19808 สหรัฐ
          บริษัท เอเชีย คอนสตรัคชั่น ลิมิเต็ด ที่ตั้ง ซีดาร์เฮ้าส์ เลขที่ 41 ซีดาร์ อเวนิว แฮมิลตัน เอชเอ็ม 12 เบอร์มิวด้า
          เชฟรอน อี แอนด์ ซี โฮลดิ้ง จำกัด ที่ตั้งเลขที่ 19 อาคารไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า อาคาร 3 ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร กรุงเทพฯ (สัญชาติ เบอร์มิวด้า) ต่อมา ย้ายที่ตั้ง เชฟรอนเฮ้าส์ 11 ถนนเชิร์ต แฮร์มิลตัน เอช เอ็ม 11 ประเทศเบอร์มิวด้า
บริษัท รูเธอร์ ฟอร์ด-โมแรน เอ็กซ์โพลเรชัน คัมปะนี เลขที่ 6001 ถนนโบลลิงเกอร์ แคนย่อน ซานเรม่อน ซีเอ. 94583 สหรัฐ
          น่าสังเกตว่าบริษัทที่ทำธุรกิจร่วมกับกลุ่มเชฟรอนรวม 9 บริษัท (ไทยกับต่างชาติ) บางรายจดทะเบียนจัดตั้งในเกาะเคย์แมน บริติช เวอร์จินส์ หรือไม่ก็ เนเธอแลนด์ ขณะที่บริษัทกลุ่มเชฟรอนจำนวน 6 บริษัทมีทั้งจดทะเบียนในสหรัฐ เบอร์มิวด้า และเคย์แมน ขณะเดียวกันมีการโอนหุ้นกันไปมาระหว่างบริษัทเหล่านี้ด้วย

1.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ไตร เอนเนอจี้ จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท เดอะเพาเวอร์โพรดิวเซอร์ จำกัด)
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวม

2.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท บี 8/32 พาร์ทเนอร์ จำกัด
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวม

3.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ซียูอีแอล จำกัด (ชื่อเดิมบริษัท คลัฟ-ยูนิไทย เอนจิเนียริ่ง จำกัด)
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวม

4.รายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท เอ็นเอสที ซัพพลาย เบส จำกัด
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวม

5.รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท เชฟรอน บล็อก บี 8/32 (ประเทศไทย) จำกัด (ชื่อเดิม พลังโสภณ จำกัด)
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวม

6.บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวม

ผ่าเครือข่ายักษ์พลังงาน“เชฟรอน”ปีเดียวฟันรายได้อื้อ 5.4 หมื่นล้าน


ผ่าเครือข่ายักษ์พลังงาน“เชฟรอน”ปีเดียวฟันรายได้อื้อ 5.4 หมื่นล้าน พบ บ.จดทะเบียนบนเกาะเคย์แมน –เวอร์จิน – เบอร์มิวด้าในมหาสมุทรแอตแลนติกให้“ทักษิณ”ลี้ภัย โผล่ถือหุ้นไขว้นัว


           หากพลิกธุรกิจกลุ่มเชฟรอนยักษ์ธุรกิจพลังงานสัญชาติเมริกันจะพบข้อมูลน่าสนใจ
          นั่นเพราะทำรายรายได้จากธุรกิจพลังงานในช่วงเวลาปีเดียว 5.4 หมื่นล้านบาท
           สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า ปัจจุบันกลุ่มเชฟรอนมีบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย 8 บริษัท
1.บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท ไทยโรโม่ จำกัด ) ประกอบธุรกิจ สำรวจ ขุดเจาะและผลิตปิโตรเลียม จดทะเบียนวันที่ 7 มกราคม 2534 ทุนเริ่มแรก 100,000 บาท ปัจจุบัน 106,531,700 บาท ที่ตั้งเลขที่ 19 อาคารไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า อีสท์ 3 พลาซ่า ชั้น 5 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร บริษัท เชฟรอน ไทยแลนด์ แอลแอลซี สัญชาติสหรัฐถือหุ้น 100% นายเอ็ดเวิร์ด จอห์น เมเซอร์ นายไพโรจน์ กวียานันท์ นายแอนโทนี จอห์น เคนริค นายเดวิด ชาร์ป เบรดี้ นายปิแอร์ ริชาร์ด เบร็บเบอร์ เป็นกรรมการ
2.บริษัท เชฟรอน บล๊อค บี8 32 (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนวันที่ 1 กันยายน 2538 ชื่อเดิม บริษัท เอสเจเอชเคประเทศไทย จำกัด ทุนปัจจุบัน 1,500 ล้านบาท สำรวจ ขุดเจาะและผลิตปิโตรเลียม ที่ตั้ง เลขที่ 19 อาคารไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า อีสท์ 3 พลาซ่า ชั้น 5 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ฯ ณ วันที่ 25 เมษายน 2555 บริษัท เชฟรอน ไทยแลนด์ แอลแอลซี ถือหุ้น 100%
3.บริษัท เชฟรอนเอเชียเซ้าท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2541 ชื่อเดิม บริษัท ยูโนแคลเอนจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่นอินเตอร์เนชั่นแนลประเทศ จำกัด ทุน 50 ล้านบาท ที่ตั้งเลชที่ 19 อาคาร3 ชั้น 5 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ณ วันที่ 25 เมษายน 2555 เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด สัญชาติอเมริกันถือหุ้น 100%
4.บริษัท บี 8/32 พาร์ทเนอร์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 7 พฤษภาคม 2534 ชื่อเดิม บริษัท เมอร์กส์ออยล์ประเทศไทย จำกัด ทุนปัจจุบัน 110 ล้านบาท ที่ตั้ง เลขที่ 19 อาคารไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า อีสท์ 3 พลาซ่า ชั้น 5 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ณ วันที่ 25 เมษายน 2555 บริษัท เชฟรอน โกลบอล เอ็นเนอร์จี้ อิงค์ สัญชาติอเมริกันถือหุ้น 46.34% พีทีทีอีพี ออฟชอร์ อินเวสเมนต์ คัมปะนี ลิมิเต็ด ไอซ์แลนด์ ถือหุ้น 25% โมเอโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล บี.วี. สัญชาติ เนเธอร์แลนด์ ถือหุ้น 16.7% บริษัท เชฟรอน บล๊อค บี8 32 (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 7.3%
5.บริษัท ซียูอีแอล จำกัด จดทะเบียนวันที่ 20 มิถุนายน 2543 ทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาท ปัจจุบัน 60 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ การออกแบบ ติดตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเล ที่ตั้งเลขที่ 18 อาคารไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า ทาวเวอร์ 2 เวสท์ ชั้น 9 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 27 เมษายน 2555 บริษัท เชฟรอน อี แอนด์ ซี โฮลดิ้ง จำกัด สัญชาติเบอร์มิวด้า ถือหุ้น 33.33% บริษัท ยูนิไทย ชิปยาร์ด แอนด์ เอนจิเนียริ่ง จำกัด 41.6% และ บริษัท ยูไนเต็ด ไทย ชิปปิ้ง จำกัด 25% (นายพละ สุขเวช กรรมการ บริษัท เอ็มไพร์ เอเชีย กรุ๊ป จำกัด เป็นกรรมการ บริษัท ซียูอีแอล จำกัด ด้วย)
6.บริษัท เอ็นเอสที ซัพพลาย เบส จำกัด จดทะเบียน 6 พฤษภาคม 2553 ทุน 1,000 บาทให้บริการจัดการคลังสินค้า ที่ตั้งเลขที่ 19 อาคารอีสท์ ชั้น 5 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ณ วันที่ 25 เมษายน 2555 บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด สัญชาติเบอร์มิวด้าถือหุ้น 62.86% บริษัท มิตซุย ออย เอ็กซ์โพลเรชั่น จำกัด สัญชาติญี่ปุ่น 20.58% บริษัท เจวี ชอร์ เบส จำกัด หมู่เกาะเคย์แมน 15.67% คริสเอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) โฮลดิ้งส์ จำกัด หมู่เกาะเวอร์จิน(อังกฤษ) 0.56%
7.บริษัท เชฟรอน เอ็นเนอร์จี ดิเวลล็อปเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ชื่อเดิม บริษัท เท็กซาโกเอ็นเนอร์จีดิเวลล็อปเม้นท์ประเทศไทย จำกัด จดทะเบียนวันที่ 29 สิงหาคม 2538 ทุน 361,833,005 บาท ที่ปรึกษาด้านพลังงานไฟฟ้า ที่ตั้งเลขที่ 1550 อาคารธนภูมิ ชั้น 16 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เท็กซาโก ดิเวลล็อปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น สัญชาติเมริกันถือหุ้น 100%
8.บริษัท ไตร เอนเนอจี้ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 8 มีนาคม 2538 ชื่อเดิม บริษัท เดอะเพาเวอร์โพรดิวเซอร์ จำกัด ทุน 3,423,800,000 บาท ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้า ผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้าจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ ที่ตั้งเลขที่ 1550 อาคารธนภูมิ ชั้น 16 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ณ วันที่ 29 มีนาคม 2555 เชฟรอน ไทยแลนด์ เอนเนอจี้ คัมปะนี วัน สัญชาติ สหราชอาณาจักร ถือหุ้น 50% บริษัท ราชบุรีแก๊ส จำกัด (บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ) 50%
          ทั้งนี้ ผลประกอบ ปี 2553 กลุ่มเชฟรอนมีรายได้ 54,736.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 10,229.7 ล้านบาท
          บริษัทที่ทำรายได้มากสุด คือ บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท บี 8/32 พาร์ทเนอร์ จำกัด กำไรสุทธิ 4,496,097,807 บาท และ 3,468,478,787 บาท ตามลำดับ
บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด สินทรัพย์ ปี 2553 จำนวน 15,503,472,248 บาท
บริษัท ไตร เอนเนอจี้ จำกัด สินทรัพย์ 11,562,971,901 บาท 
บริษัท บี 8/32 พาร์ทเนอร์ จำกัด สินทรัพย์ 8,812,149,205 บาท 
บริษัท ซียูอีแอล จำกัด สินทรัพย์ 6,427,268,906 บาท
บริษัท เชฟรอน บล๊อค บี8 32 (ประเทศไทย) จำกัด สินทรัพย์ 4,233,458,472 บาท
บริษัท เชฟรอนเอเชียเซ้าท์ จำกัด สินทรัพย์ 721,803,121 บาท
บริษัท เอ็นเอสที ซัพพลาย เบส จำกัด สินทรัพย์ 191,143,425 บาท
และ บริษัท เชฟรอน เอ็นเนอร์จี ดิเวลล็อปเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด สินทรัพย์ 34,763,827 บาท

          รวมสินทรัพย์ทั้งสิ้น 47,486.6 ล้านบาท
          กล่าวสำหรับ ประเทศเบอร์มิวด้า หรือสามเหลี่ยมปีศาจ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ก่อนหน้านี้นายเอวาร์ท เฟรเดอริค บราวน์ จูเนียร์ นายกรัฐมนตรี เคยประกาศให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เดินทางมาลี้ภัยหลังจากหนีคดีคอร์รัปชั่นจากประเทศไทย

บริษัทในกลุ่มเชฟรอน
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า , สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รวบรวม

ผลประกอบการบริษัท บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย)
ที่มา:กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ,สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รวบรวม