วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) กับคำนาย "อนาคตของประเทศชาติ"


ราชพรหมยาน บรรยายเรื่อง "อนาคตของประเทศชาติ"

เรื่อง : อนาคตของประเทศชาติ

บรรยายโดย..

พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘

ท่านพลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ (ยศและตำแหน่งสมัยนั้น) ได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พร้อมด้วยพระเถระรวม ๖ รูป เพื่อไปบำรุงขวัญของทหารในเขตกองทัพภาคที่ ๒ โดยนำ "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" และ "เหรียญเอกราช" ไปแจกให้แก่ทหารตามฐานปฏิบัติการชายแดน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ และในวันสุดท้ายคือวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ได้ทำการแจกให้แก่ทหาร ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา และก่อนทำการแจกได้แสดงธรรมิกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตของชาติ” ณ พุทธศาสนสถาน ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา

อนาคตของชาติ
อาตมาได้ถวายพระพรพระองค์ว่า “ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่งสมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป”
ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์เช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลหลายประการ คือ
คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์
ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ
โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า
“กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี
อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”
และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง

ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล
ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้
รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล
ความแม่นยำของคำทำนาย
เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด
รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ
รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่
รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรม ก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน
รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนขาดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร
ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑. จึงจำเป็นต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก
รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน
พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวน มาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์
รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น
สำหรับรัชกาลต่อไป คือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย

ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?
ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า
ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?
เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ
จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้
ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า
พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก”

พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก
ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้
“..อานันทะ ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก
แต่ว่า.. อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล
หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน
แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”

ความแม่นยำของพุทธทำนาย
จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์
หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้

มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง
ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะ มีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทย นี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนายังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้ ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว
เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป

พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์
ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า
พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด
พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่งพระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน

ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี
ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นไปในอนาคตของพระพุทธศาสนาไว้ว่า “พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี”
เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทยตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่าเมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาสของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร
จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็นหลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า
“เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้
แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับคำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้าน เมือง”

ดวงทหารคู่กับดวงเมือง
ขอให้ทหารทุกคนจงสำนึกตนเองว่า เราต้องมีความสามัคคี-เด็ดเดี่ยว-ไม่ประมาท-กล้าหาญ-และพร้อมที่จะยอมตาย เพื่อชาติบ้านเมืองและพระบวรพุทธศาสนา เมื่อถึงคราวจำเป็น
เพราะบ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัยก็เพราะทหารเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑. เมื่อพระองค์จะเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่ ได้ทรงผูกดวงเมืองและวางลัคนาดวงเมืองไว้ให้คู่กับดวงทหาร โดยให้ทหารเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด
ที่พูดนี้มิใช่จะมายุยงให้ท่านทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากใครๆ เพียงแต่...ขอให้เราทุกคนช่วยกันควบคุมสถานการณ์ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุขเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าทหารควบคุมรักษาเมืองแล้ว
ดวงชะตาของทหารนั้น เข้าเกณฑ์ "ราชาโชค" ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๘ แล้ว และจะโคจรเข้าควบคู่กับดวงเมืองตั้งแต่ เดือนมกราคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไป ซึ่งจะมีอิทธิพลให้ประเทศชาติบ้านเมืองค่อยคลี่คลายไปในทางดีขึ้น ขณะนี้บ้านเมืองของเราอยู่ในสภาพป่วยไข้ จำเป็นจะต้องได้รับการเยียวยารักษาหรืออาจจะต้องถึงกับผ่าตัดบ้าง อาการของบ้านเมืองจึงจะดีขึ้น

เมืองไทยมีขุมทรัพย์มหาศาล
สภาพการณ์ของบ้านเมืองจะคลี่คลายไปในทางดี เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ประเทศชาติและประชาชนจะเริ่มพบกับความสุขสบายขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่มากนัก แต่จะปรากฏเด่นชัดว่าประเทศชาติและประชาชนจะร่ำรวยขึ้น มีความสุขสมบูรณ์ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป
เพราะเรามีทรัพยากรมากมายมหาศาลล้วนแต่เป็นของมีค่าทั้งสิ้น อาทิเช่น น้ำมัน แร่ทองคำ แร่ยูเรเนียม วัตถุธาตุต่างๆ เหล่านี้มีอยู่พร้อมในเมืองไทย และเราก็ได้พบแล้ว แต่เรายังไม่สามารถจะนำเอาออกมาใช้ได้ เพราะเรามีขีดความสามารถอันจำกัด

ทรัพยากรน้ำมันในประเทศไทย
อย่าง น้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าที่สุดของคนทั้งโลกนั้น ในเมืองไทยเรามีมากมาย น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสามที่มีในเมืองไทยเรา
ที่อาตมาพูดเช่นนี้มิได้กล่าวเกินความจริง แต่เป็นการกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ที่พอเชื่อถือได้ กล่าวคือ
เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ อาตมาพร้อมด้วย พล.อ.ต.มรว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารอากาศ ได้เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร พักอยู่ ณ บ้านพักหลังหนึ่ง หลังจากคุยกันประมาณห้าทุ่มเศษก็เข้านอน
พอไฟดับลงเท่านั้น ก็มองเห็นภาพคนดำใหญ่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดประตู เขาเดินเข้าเดินออกโดยไม่ต้องเปิดประตู
จึงถามเขาไปว่า อยู่ที่ไหน
เขาบอกว่า อยาในห้องนี้แหละ
แล้วก็คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ เจ้าเทวดาดำใหญ่ได้เล่าให้ฟังว่า
“เมืองไทยเรานี้มีน้ำมันมากมายมหาศาลเป็นลำธารกว้างขนาด ๑ กิโลเมตร และยาวหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านประเทศไทยไปลงทะเล

เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น
เขาบอกว่า
น้ำมันนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะขุดนำมาใช้เพราะฝ่ายบริหารยังไม่ดีพอ หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริตก็จะงุบงิบเอาไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด
เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย เช่น บ่อน้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทยกลายเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย”

ไปพิสูจน์สถานที่มีน้ำมันอยู่
เจ้าเทวดาดำใหญ่ให้หลักฐานยืนยันคำพูดของตนว่า หากอยากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมัน ให้ไป ดูบ่อน้ำมันที่เมืองมะริด ในเขตพม่า ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันสายเดียวกันอยู่ห่างจากผืนแผ่นดินไทยประมาณ ๓๐ กิโลเมตร
ณ. ที่นั้นจะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมันลอยฟ่องเต็มไปหมด ถ้าอยากเห็นให้ไปดูด้วยตนเอง
อาตมาอยากพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้เดินทางไปดูสถานที่แห่งนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นี้เอง ปรากฏว่าเป็นความจริงทุกอย่าง
บริเวณนั้นมีหนองน้ำซึ่งมีน้ำมันลอยเต็มไปหมด ชาวบ้านนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่าเทวดาดำองค์นั้นไม่โกหก เมืองไทยเรามีน้ำมันแน่ๆ
ต่อเมื่อใดผู้บริหารใจซื่อมือสะอาดมาบริหารชาติบ้านเมือง ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็น และนำมาใช้ให้บ้านเมืองเรามีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว






Download PDF : http://uppic.net/download.php?6fe77f117a1158ec2616c5a79e1dec51



จากนิตยาสารธัมมวิโมกข์ปีที่ 29 ฉบับที่ 320 พฤศจิกายน 2550
http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=680

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

MOU 2543 กับผลประโยชน์พลังงาน - นายกตระบัดสัตย์



MOU กับผลประโยชน์พลังงาน

จริงหรือว่า MOU มีส่วนแบ่งมูลค่ามหาศาล ในธุรกิจ น้ำมัน ?

เปิดขุมทรัพย์ แหล่งน้ำมันไทย-กัมพูชา ข้อครหาพระวิหารแลกบ่อน้ำมัน ใครได้ประโยชน์

ยังไม่ทันคลี่คลายว่า "ปราสาทเขาพระวิหาร" เป็นของใคร แต่คำครหา เขาพระวิหารแลกขุมทรัพย์กลางทะเลพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา กลับเอ็ดอึง แม้จะบ่งถึงการมองการณ์ไกลของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ชิงเจรจาธุรกิจพลังงานกับ ฮุน เซน... แต่นั่นก็หมิ่นเหม่ต่อความรู้สึก "รักชาติ" ผลสะเทือนจากการยื่นขอจดทะเบียน "ปราสาทเขาพระวิหาร" เป็นมรดกโลกบานปลายเกินกว่าที่คาดคิด โดยเฉพาะการปลุกกระแส "รักชาติ" และประเด็นการแลกเปลี่ยนเขาพระวิหารกับ "น้ำมัน" และ "ก๊าซธรรมชาติ" ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา

ภาพ-แท่นเจาะปตท. สผ. ที่รั่ว-ระเบิดในทะเลติมอร์สร้างหายนะใหญ่หลวงกับสภวะแวดล้อมชายฝั่งของ 3 ประเทศ ที่คนไทยไม่รู้สึกรู้สาอะไีร แต่รัฐบาลอินโดนีเซียเรียกร้องค่าเสียหายสูงถึง 75,000 ล้านบาท และจะกำลังเป็นปมใจ ในกรณีคนกลางเรื่องปัญหาดินแดน ไทย-เขมร ด้วยแบบนั้นมั้ย !!!

ท่ามกลางข่าวสะพัดว่า มีนักการเมืองไทยบางคนจะได้รับ "สัมปทาน" เป็นการตอบแทน

จริงเท็จแค่ไหนยังไม่ปรากฏชัด แต่ที่ผ่านมาก็มีข่าวที่ถูกนำไปเชื่อมโยงให้เห็นภาพความเกี่ยวข้องอยู่เป็น ระยะ ตั้งแต่ครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย บินไปตีกอล์ฟกับ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

จากนั้นก็มีข่าวว่า อดีตนายกฯ ของไทยจะไปลงทุนทำธุรกิจ ที่ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา

นายจาม ประสิทธิ์ รมว.พาณิชย์กัมพูชา ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์กัมพูชา และ พล.อ.เตีย บัน ก็ยืนยันด้วยเช่นกันว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเจรจาขอทำธุรกิจพลังงานร่วมกั

บกัมพูชา แลกกับการเจรจาเรื่องเขาพระวิหาร

แต่ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีการเกี้ยเซียะ หรือเอาแผ่นดินไปแลกอะไรอย่างเด็ดขาด

สวนแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เฉพาะข้อมูลที่ นายนพดล มีอยู่ก็มากมายมหาศาลแล้ว

"พื้นที่ทับซ้อนหรือเจดีเอนั้น มีการประเมินว่ามีทั้งหมด 2.6 หมื่นตารางกิโลเมตร ตรงนี้ต้องตกลงให้ชัดเจน เด็ดขาด ทั้งสองประเทศต้องมาบริหารจัดการร่วมกัน มาพบกันครึ่งทาง เนื่องจากมีก๊าซธรรมชาติและน้ำมันอยู่ในพื้นที่ถึง 5 ล้านล้านบาท"

นายนพดล ยืนยันด้วยว่า การเจรจาจะเป็นแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ไม่มีเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อเจรจาเสร็จแล้ว กัมพูชาอยากจะให้ ปตท.หรือบริษัทเอกชนเข้าไปสำรวจนั้นก็เป็นเรื่องที่เขาสามารถจะทำได้

น่าสนใจว่า หลังมีข่าวเขาพระวิหาร แลกก๊าซและน้ำมัน ไม่นาน นายนพดล ก็ไปเปิดถนนสายที่ 48 ร่วมกับตัวแทนฝ่ายกัมพูชา

ถนนสายที่ 48 เกิดมาจาก "เงินกู้ยืม" ที่รัฐบาลไทยให้แก่กัมพูชา จำนวน 1,200 ล้านบาท พร้อมเงินช่วยเหลืออีก 300 ล้านบาท ในการสร้างสะพานอีก 4 สะพาน

ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ถนนสายนี้จะเชื่อมเส้นทางระหว่าง จ.เกาะกง-จ.กำปงโสม ระยะทาง 152 กิโลเมตร และเชื่อมต่อไปยังกรุงพนมเปญอีกกว่า 200 กิโลเมตร

ถนนสาย 48 จึงเป็นถนนสายหลักที่เชื่อมต่อจากเมืองหลวงของกัมพูชามายัง จ.เกาะกง ซึ่งมีข่าวว่า อดีตนายกฯ ของไทยจะไปลงทุนทำธุรกิจที่นั่น !

สำหรับความคืบหน้าของการแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล หลังมีการเปิดถนนสาย 48 นายนพดล บอกว่า ได้หารือกับ นายสก อัน รองนายกรัฐมนตรี และรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา

ในการหารือครั้งนี้ ได้พิจารณาว่าจะใช้หลักพื้นที่ใกล้ประเทศไหนประเทศนั้นจะได้ผลประโยชน์ มากกว่า แต่ยังเป็นสูตรที่ไม่ลงตัว โดยกัมพูชาจะส่งคณะกรรมการเทคนิคมาหารือกับไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหวังว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

คำยืนยันของ รมว.ต่างประเทศ แม้จะยืนยันชัดว่า จะไม่มีเอกชนรายใดได้ผลประโยชน์จากพื้นที่ทับซ้อนตรงนี้ แต่เมื่อดูจากข้อมูลของพื้นที่ทับซ้อน ทั้งขนาดของพื้นที่ รวมทั้งปริมาณก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ที่ซุกอยู่ใต้ผืนทะเลก็น่าหวั่นไหวใจในขุมทรัพย์ก้อนนี้ยิ่งนัก

โดยพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา มีพื้นที่ประมาณ 2.6-2.7 หมื่นตารางกิโลเมตร

การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนผืนนี้มีการเจรจามานานตั้งแต่กัมพูชาประกาศเขต ไหล่ทวีปในปี 2515 และไทยมาประกาศภายหลังในปี 2516 จนเกิดพื้นที่เหลื่อมทับกัน แต่ผลการเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดนและแบ่งผลประโยชน์ในพื้นที่ก็ยังไม่มี ความคืบหน้ามานานกว่า 30 ปี

กระทั่ง เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 รัฐบาลไทย (สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ) และกัมพูชา ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิใน เขตไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

ใจความสำคัญ ระบุว่า พื้นที่ทับซ้อนเหนือเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือ ขึ้นไปให้ใช้แนวทางการแบ่งเขต (Delimitation) และพื้นที่ทับซ้อนใต้เส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือลงมาให้ใช้แนวทางการพัฒนาพื้นที่ร่วม (Joint Development Area - JDA)

ต่อมา ในวันที่ 10 สิงหาคม 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ของไทย (ในขณะนั้น) เดินทางไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการเพื่อเจรจาเรื่องนี้ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ

ประเด็นนี้เริ่มมีความคืบหน้าอีกครั้ง หลังจากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีความใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในปี 2551

แหล่งข่าวในกองบัญชาการกองทัพไทย เผยว่า เดิมกัมพูชาจะส่ง นายวากิมฮอง ประธานทีบีซีของกัมพูชา มาเจรจาในเรื่องนี้ แต่ก็เงียบหายไป

โดยครั้งที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เดินทางไปกัมพูชา ก็มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นไปพูด แต่หลังจากนั้นก็ดูเงียบๆ ไป ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกัมพูชาจะมีการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม และอาจกำลังยุ่งๆ กับการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกอยู่ก็เป็นได้

เขามองว่า การเจรจาล่าช้าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ 2 สาเหตุหลัก คือ 1.ความไม่ชัดเจนของหลักเขตที่ 73 ซึ่งเป็นหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา หลักสุดท้าย แต่กัมพูชามองว่า เขาเสียเปรียบเยอะ และมีพื้นที่ทับซ้อนที่ตกลงกันไม่ได้ประมาณ 100 ไร่ จึงไม่สามารถตกลงเขตแดนในทะเลได้ เพราะการแบ่งเขตต้องลากเส้นอ้างอิงจากจุดนี้

2."อคติ" ของตัวแทนเจรจาฝ่ายกัมพูชาที่มีต่อไทย ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากการเจรจาเขตแดนทางทะเลกับฝ่ายเวียดนามที่มีความทับซ้อน กันประมาณ 7,000 กว่าตารางกิโลเมตร ที่สามารถเจรจาตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว แต่กรณีพื้นที่ทับซ้อนกับไทยกลับเดินหน้าไปได้ช้ามาก

ทั้งนี้ การเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์บนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาคง ต้องใช้ระยะเวลาในการเจรจาอีกนาน และคงต้องรอดูว่า ผลจากการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกในที่ประชุมยูเนสโกจะทำให้เกิด "อาฟเตอร์ช็อก" อะไรตามมาหรือไม่

อาฟเตอร์ช็อก ในที่นี้อาจจะมาจากกระแสคัดค้านของคนไทย ซึ่งอาจทำให้ยูเนสโกชะลอการขึ้นทะเบียนมรดกโลกไว้ก่อน

หากยูเนสโกยอมชะลอการขึ้นทะเบียนมรดกโลกไว้จริงๆ ก็ย่อมส่งผลเสียต่อพรรครัฐบาลในกัมพูชาที่พยายามนำเอาประเด็นนี้ไป "หาเสียง" กับประชาชนของเขามาตลอด แต่ฝ่ายค้านในกัมพูชาก็พยายามโจมตีกลับว่า รัฐบาลกัมพูชายอมให้ฝ่ายไทยมากเกินไป

เมื่อรัฐบาลกัมพูชาเสียคะแนน เพราะไม่เสร็จสมอารมณ์หมายในความพยายามปลุกกระแส "ชาตินิยมกินรวบ" เขาพระวิหาร..ก็อาจทำให้ฝันของใครบางคนที่จ้องจะมาแบ่งเค้กก้อนใหญ่นับล้าน ล้านบาทในอ่าวไทยอาจถึงขั้นล้มครืนก็เป็นได้

ก๊าซ-น้ำมันมหาศาลในพื้นที่ทับซ้อน

ข้อมูลของ บริษัท เชฟรอน เมื่อปี 2548 ระบุว่า ได้ค้นพบบ่อน้ำมันและก๊าซขนาดใหญ่ในพื้นที่ 2,427 ตารางกิโลเมตร ทางตอนใต้ของกัมพูชา

โดยเฉพาะพื้นที่สัมปทานแปลงเอ เนื้อที่ 6,278 ตารางกิโลเมตร คาดว่าจะมีน้ำมันสำรองถึง 700 ล้านบาร์เรล และก๊าซอีก 3-5 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร

ธนาคารโลก ประเมินว่า แหล่งพลังงานในกัมพูชาน่าจะมีน้ำมันถึง 2 พันล้านบาร์เรลและก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต

โดยจะสร้างรายได้ให้กัมพูชาไม่น้อยกว่า 2 พันล้านเหรียญต่อปี (เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบบาร์เรลละ 60 เหรียญ)

พื้นที่ที่น่าจะมีก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันมากที่สุด ก็คือ พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไท

โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันแปลงบี ห่างจากชายฝั่งกัมพูชา 250 กิโลเมตร ไปทางตะวันออก ติดกับเขตน่านน้ำไทยในอ่าวไทย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 6,551 ตารางกิโลเมตร คาดว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอยู่หลายร้อยล้านบาร์เ

รล

ลอลิง รักชาติ

‎3-4 มี.ค. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ โดยให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับประเทศไทยว่า ได้หารือกับสมเด็จฮุนเชน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยืนยันจะขึ้นทะเบียนเฉพาะตั

วปราสาท แต่ไทยอาจถอยเข้ามา 4 กิโลเมตร

25-26 มี.ค องค์การยูเนสโกมีหนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญไทยเข้าร่วมประชุมจัดทำแผนอนุรักษ์และจัดการปราสาทพระวิหารครั้งที่ 2 ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโกที่กรุงปาริส โดยให้มีการทบทวนและพิจารณาความเห็นของฝ่ายไทย เพื่อผนวกให้ข้อเสนอสุดท้ายที่กัมพูชาเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก ภายในวันที่ 15 พ.ค.แต่ไทยมิได้ส่งผู้แทนเข

้าร่วม

28 เม.ย ก.ต.เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ว่า รัฐบาลทยได้ตอบรับคำเชิญของยูเนสโกที่เสนอจัดการประชุมที่กรุงปารีส เพื่อให้มีการหารือร่วมกันกับกัมพูชา เรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ยูเนสโกแจ้งว่ามีข้อขัดข้องบางประการ จึงเสอนให้นาย Francesco Caruso ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก ให้เป็รผู้ประสานงานระหว่างไทยกัยกัมพูชา โดยเดินทางมาเยือนไทยและกัมพูชาเพื่อหารือกับแต่ละฝ่าย

ในเดือน พ.ค.

29 เม.ย กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ว่า นายนพดลจะเป็นผู้นำคณะผู้แทนระดับสูงของหน้วยงานราชการไทย ไปร่วมประชุมหารือกับกัมพูชาเรื่องหารขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ตามคำเชิญของยูเนสโกที่กรุง

ปารีส ประเทศฝรั่งเศษ

6 พ.ค. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติให้นายวีระชัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฏหมาย ดำรงตำแหน่งเอกอัคราชทูตประจำกระทรวง และโยกย้ายนายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมเศรษกิจระหว่างประเทศมาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฏหมายแทน นายนพดล ให้สัมภาษณ์สือมวลชนถึงการโยกย้ายนายวีระชัยว่า ขณะนี้มีประเด็นเรื่องต่าง ๆ รวมถึงเขาพระวิหาร จึงต้องปรับคนเพื่อสิทธิภาพในการประสานงานกับรัฐมนตรี และให้เหมาะสมกับงาน เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะไม่ถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยม้ากลางศึกหรือ นายนพดลกล่าวว่า ม้าแต่ละตัวในกระทรวงมีประสิทธิภาพทั้งสิ้น แต่ต้องการม้าที่วิ่งในลู่ที่จะวิ่ง ตอนนี้นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รับเป็นประธานคณะการทำงานเรื่องเขาพระวิหาร วันเดียวกันนี้ นายวีระศักดิ์ ฟูตะกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปประชุมนอกรอบกับนายสก อัน ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชาได้เสอนให้มีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยนายวีระศักดิ์ขอนำกลับมาหารืออีกครั้งก่อนให้คำตอบท

ี่ชัดเจน

12 พ.ค. นายนพดล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่าจะเดินทางไปร้วมพิธิเปิด

เส้นทางหมายเลข 48 เกาะกง-สแรอัมเบิล ในวีนที่

14 พ.ค. และจะมีการหารือกับนายกสน อัน เรื่องปราสาทพระวิหาร

15 พ.ค. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บริพัตร สส.ระบบสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้สดถามนายนพดล เรื่องปัญหาเขาพระวิหารกับการเจรจา ผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล รวมถึง การโยกย้ยนายวีระชัย นายนพดลกระทู้ว่า ข่าวการโยกเรื่องเขาพระวิหารกับผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเป็นความเท็จ รัฐบาลไทยมีท่าทีชัดเจนว่าต้องให้มีการบริหารพัฒนาพื้นที่ร่วมกันระหว่างสองประเทศ ก่อนที่จะมีการขึ้นทะเบียนมรดกโลก จะเร่งให้มีการเจรจาแก้ปัญกาในช่วย 2 เดือนที่เหลือก่อนการประชุมมรดกโลก รวามถึงให้มีการออกแถลงการณ

์ร่วมกันของ 2 ประเทศ

20 พ.ค. นายนพดลรายงานต่อที่ประชุม ครม. ถึงการเตียมเดินทางไปประชุมระหว่างไทย กัมพูชา และยูเนสโก เรื่องการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยนายนพดลได้แจกเอกสารแนวทางแก้ไขปัญหาข้อพิพาทบริเวณเขาพระวิหารจำนนวน 8 แผ่นให้ครม. ทำคนศึกษา หลังจากชี้แจงรายละเอียด ในเรื่องดังกล่าวจบก็สั้งเจ้าหน้าที่เก็บร่วมและแผนผัง

แนบท้าย

17.มิ.ย ครม.เห็นชอบคำแถลงการณ์รวมทั้งแผนผังของกัมพูชา นอกจากนี้ยังมีมติแต่งตั้งนายปองพล อดิเรกสาร เป็นประธานคณะกรรมการแห่งชา

ติว่าด้วยอนุสัยญา มรดกโลก

18.มิ.ย นายนพดลลงการลงการแถงการณ์ร่วม และเปิดแถลงข่าวโดยเชิญ พล.ท.ดน. มีชูอรรถ พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขา สมช รวมชี้แจงยืนยันว่าไม่เสียดินแดน นอกจากนนี้นายกรัฐมนตรี ตลอดจนบรรดาเหล่าผู้นำเหล่าทัพต่างยืนยยันว่า กระทรวงการต่างประเทศดำเนิน

การถูกต้องล้ว และไทยไม่เสียดินแดน

24 มิ.ย. กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร้องศาลปกครองกลางให้มีคำสั่งเพิกถอนการลงนามในการแถลงขการณืร่วมกันดังกล่าว กลุ่ม สว. และชนชั้นนำกว่า 300 คน ยื่นจดหมายถึงยูเนสโกผ่านสำนักงานประจำกรุงเทพฯ ขอให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาปราสาทเขาพระวิหาร ที่ประชุม ครม. มีมติให้แก้ไขถ้อยคำในมติครม. วันที่ 17 มิ.ย โดยเปลี่ยนคำวาแผนผังเป็นแผนที่ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการนำปรเด็นแถลงการณ์ร่วมขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจนา

ยนพลด

28 มิ.ย. ศาลปกครอง กลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคร

าว ห้ามมิให้นายนพดลและ ครม. นำมติครม.วันที่ 17 ไปใช้ประโยชน์

1 ก.ค. ครม. มีแจ้งมติให้คณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ และกัมฑุชา ทราบถึงคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับการให้แถลงการณ์ร่วม วันเดียวกัน นายเชลดอน เชฟเฟอร์ ผอ. ยูเนสโก กรุงเทพฯ มีจดหมายถึงกลุ่มสว.ที่ยื่นหนังสือคัดค้านกัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยจ้อความตอนหนึ่งระบุว่า พันธะในการให้ความร่วมือบริหารปราสาทเขาพระวิหาร แสดงออกเป็นทางการแล้วในการลงนามระหว่างนายนพลดและนายสก อัน ที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ขณะเดียวกัน สว. 77 คน เข้าชื่อเสอนเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเข้าข

่ายมาตร 190 ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

3 ก.ค. นายนพดลเรียกนายเชลดอนมาชี้แจงว่า การลงนามวันที่ 22 พ.ค. มิใช่การลงนามย่อในร่างแถลงการณ์ แม้นายเชลดอนจะแสดงความเสียใจต่อความผิดพลาด แต่ยืนยันว่ายูเนสโกไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าเอกสารใดถูกต

้อง หรือไม่ถูกต้อง

5 พ.ค. นายอภิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวกรณีนายนพดล ลงนามร่างแถลงการณ์ร่วมในวันที่ 22 พ.ค. เพื่อช่วยเหลือให้กัมพูชาทำข้อเสนอสุดท้ายเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกซึ่งกำหนดไว้ว่

า ต้องส่งกอ่น 6 สัปดาห์ก่อนการประชุม

7 ก.ค. คณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แม้นายนพดลและนายปองพลจะแถลงคัดค้านแต่ก็ไม่เป็นผล วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าแถลงการณ์ร่วมเข้าข่ายเป็นสนธิส

ัญญาตามรํฐธรรมนูญมาตรา 190

--------------------------

----------------

ข่าวจาก โพสท์ทูเดย์ 10 ก.ค. 51

ท่องเที่ยวสุดฮิต: เกาะเสม็ด ปาย ไปไหนดี หัวหิน ที่พักหัวหิน ที่พักเชียงใหม่ ทัวร์ต่างประเทศ!

ความเห็นที่ 8 โพสเมื่อ : 17 ก.ค. 51 : 17:33 น. โดย : Pui

15 พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา

ปมปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข

แม้ปราสาทพระวิหารจะได้รับรองจากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้ปัญหาและข้อห่วงใยหมดไปซึ่ง ไม่เพียงแต่พื้นที่บริเวณรอบปราสาทซึ่งไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิอธิปไตยเท่านั้นรอบชายแดนชองทั้งสองการวิจัย ซึ่ง ประเทศกว่า 730 กิโลเมตร ยังคงมีปัญหาการอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือกว่าดินแดนทับซ้อนกันอีกหลายพื้นที่ ทั้งทางบก และทางทะเล หากคำนึงถึงประโยชน์แล้วย่อมมีมากกว่าพื่นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหาร

ปัญหาสัคัญมาจากการที่ทั้ง 2 ประเทศยึดถือแผนที่อ้างอิงแตกต่างกันซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องอ่อนไหว เนื่องจากครั้งหนึ่งประเด็นแผนที่ทำให้ไทยต้องยินยอมให้กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษาของศาลโลก

ดังนั้น เพื่อมิให้ประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอยเดิมอีก การปักปันเขตแดนร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ จึงแนสิ่งจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันหาข้อยุติ

การแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ยุติลงได้ จะเป็นการป้องกันมิให้มีการปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นมาทำให้สถานการณ์ขยายไปเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐ และระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

ข้อมูลจากภาพผนวก 1 ในจุลสารความมั่นคงศึกษา เรื่อง กรณีเขาพระวิหาร โดยโครงการความมั่นคงศึกษา สำนักงานกองทุนสนับสนุน ซึ่ง รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านควมมั่นคง คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นบรรณาธิการ ได้แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ซึ่งมีปัญหาทับซ้อนกันของทั้ง

2 ประเทศ ถึง 15 จุด

จ.สุรินทร์

จ.สุรินทร์ มีปัญหาพรมแดนติดต่อกับประเทศกัมพูชาด้าน อ.กาบเชิง บัวเดช สังขะ และ กิ่ง อ.พนมดงรัก ซึ่งเขตดแนติดต่อมีลักษณะเป็นป่าทิวเขาพนมดงรักกั้นตลอดแนว ส่วนหนึ่งเป็นเขตประกาศรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ และตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นเขตแดนทางบกมีช่องการขึ้นลงจำนวนมาก

จ.สุรินทร์ มีหลักเขตแดนทั้งหมด 23 หลัก ตั้งแต่หลักเขตแดนที่ 2-23 มัหลักเขตแดนที่ไม่ สามารถตรวจพบ 6 หลัก คือหลักเขตแดนที่ 2 , 4,5,6 15 และ 16 ส่วนหลักเขตที่ 7 มีร่องรอยการเคลื่อนย้าย ปัญหาควมขัดแย้งที่เกิดขึ้น

สำคัญได้แก่

1. กลุ่มปราสาทตาเมือน เป็นปราสาทหินจำนวน 3 หลัง ตั้งอยู่แนวภูเขาบรรทัดบริเวณบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 18 ต.ตา เมียง กิ่ง อ.พนมดงรัก กลุ่มปราสาทตาเมือนประกอบด้วย ปราสาทตาเมือนธมเก่าแก่และม

ีขนาดใหญที่สุด ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน

2.ปรสาสาทตาควาย ตั้งอยู่ในเขตบ้านทยนิยมพัฒนา หมู่ 17 ต.บักได ช่วงปี 2544 ราษฏรกัมพูชาได้แพร่กระจายข่าวว่า ปราสาทตาเมือนและปราสาทตาควายเป็นของกัมพูชา และกัมพูชาอาจยื่นขอเรียกร้องอ้างสิทธิเหนือกว่าปราสาททั้ง 2 แห่ง ซึ่งในการประชุมเจ้าหน้าที่ที่เทคนิคไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 7-8 พ.ย. 2544 นำโดยประชา คุณะเกษมที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ และประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา และนายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาด้านกิจการชายแดน ประธาน ฝ่ายกัมพูชา (ปัจจุบันเป็น รมว. ต่างประเทศกัมพูชา) ฝ่ายไยเสนอว่า ขอให้จัดชุดสำรวจร่วมทำการเดินตรวจสอบแนวสันปันน้ำในภมิประเทศบริเวณปราสาท เพื่อพิสูจน์ทราบตำแหน่งปราสาททั้ง 3 หลัง โดยยึดถือตามแนวสันปันน้ำต่อเนื่องในภูมิประเทศเป็นเส้นแดน แต่ฝ่ายกัมพูชาชี้แจงว่าได้ตรวจสอบปราสาททั้ง 2 หลัง (ตาเมือนธม และ ตาเมือนโต๊ด) แล้ว ประกอบกัยหลักฐานบันทึกว่า จากการปักปันเขตแดนหมายเลขที่ 23 ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1908 แสดงสัญลักษณ์ตัวปราสาท 2 หลัง อยู่ในเขคตกัมพูชา ขณะที่แผนที่ชุด L7017 ที่ฝ่ายไทยยึดถือและแผนที่ชุดที่ L 7016 ทึ่ฝ่ายกัมพูชายึดถือ ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตกัมพูชา และอีก 2 ปราสาท (ตาเมือนโต๊ดและตาเมือน) อยู่ในเขตไทยปัจจุบันปัญหายริเวณดังกล่าวจึงยังไม่ได้ข้อยุติ

จ.บุรีรัมย์

ไม่ปรากฏปัญหาขัดแย้ง หรือข้อพิพาทเกี่ยวกับเส้นเขตแดน แต่ยังมีเขตแดนเขตที่ต้องปักปัน ได้แก่ หลักเขตแดนที่ 25 บริเวณช่องสายตระกู ต.สายตระกู อ.บ้านกรวด ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะหลัดเขตสูญหาย

จ.สระแก้ว

พื้นที่ จ.สระแก้ว อยู้ในควมดูแลของกองกำบลัง (กกล.) บูรพา ตั้งแต่ อ.ตาพระเยา อ.คลองหาด (หลักเขตที่ 28-51) มีหลักเขตที่สบบรูณ์ 11 หลักเขตสูญหายจำนวน 6 หลักเขต แต่ที่มีเหตุให้เกิดการล้ำแ

ดนคือ

1.บริเวณเขตที่ 31-32 เนิน 48 อ.ตาพระยา-บึงครอกวน อ.ตาพระยา ซึ่งหลักเขตดังกล่าวได้สูญหาย ทำให้ไม่สามารถกำหนดเส้นเขตแดนที่ชัดเจนได้ และกัมพูชายังหล่าวหาฝ่ายไทยว่าก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์บางส่วนรุกล้ำเขตแดนกัมพู

ชา

2. หลักเขตที่ 35 บริเวณจุดผ่อนปรนตาพระยา – บึงตรอกวน อ.ตาพระยา ซึ่งหลักเขตดังกล่าวไทยได้สูยหาย ทำให้ไม่สามารถ กำหนเส้นเขตแดนไทยที่ชัดเจน และกัมพูชายังกล่าวหาฝ่ายไทยว่าก่อสร้างอเนกปประสงค์บ

งส่วนรุกล้ำเขตแดนกัมพูชา

3.หลักเขตที่ 37-40 บริเวณเขาพนมปะและเขาพนมฉัตร อ.ตาพระยา ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ต่างยึดถือแผนที่อ้างอิงต่า

งกัน

4.หลักเขขตที่ 46-48 ต.โนนหมากมุ่น กิ่ง อ.โคกสูง ถูกราษฏรกัมพูชา บ้านโชคชัย จ.บันเตียมัยนเจย ประมาณ 200 คน รุกล้ำเข้ามาปลูกที่อยู่อาศ

ัยในเขตไทย ห่างจากฃายแดนประมาณ 300 เมตร คิดเป็นเนื่อที่ประมาณ 400 ไร่ นอกจากนี้หลักเขตที่ 48 ยังถูกทำลาย

5.พื้นที่บ้านป่าไร่ใหม่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศใกล้หลักเขตที่ 49 ฝ่ายกัมพูชาก่อสร้างกำแพงคอนกรีตในบริเวณดังกล่าว แต่ยอมยุติการก่อสร้างและไทยหรื้อถอนบางส่วนซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้นำตำรวจเข้ามาตั้งฐ

านการปฏิบัติในเขตกัมพูชา ใกล้บริเวณดังกล่าว

6.พื้นที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรคลองลึก อ.อรัญประเทศ เกิดจาการปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างบ่อนการพนันในเขตกัมพูชา อันเป็นเหตุให้ลำน้ำคอลงลึก คอลงพรมโหด ที่ใช้เป็นเส้นเขตแดนตื้นเข

ินและเปลี่ยนทิศทาง

7.หลักเขตที่ 51 บ้านคลองหาด (เขาตาง็อก) ไทยและกัมพูชาต่างใช้แผนที่อ้างอิงแตกต่างกัน ทำให้เกิดพื้นที่เหลี่อมทับกันประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 1875 ไร่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเข้าทำการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างไว้ และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.)ได้เข้าเจรจาให้รื

้อถอนออกไป

จ.จันทบุรี

1.หลักเขตที่ 51 (พื้นที่รอยต่อ จ.สระแก้ว-จันทบุรี) ไทยและกัมพูชาต่างใช้แผนที่อ้างอิงแตกต่างกัน ทำให้เกิดพื้นที่เหลื่อมทับกันประมาณ 3 กิโลเมตร ฝ่ายกัมพูชาเข้าทำการปลูกสร้างสิ่งกิ่งสร้างไว่ ต่อมา กปช.จต. ได้กดดันให้รื้อถอนสิ่งก่อส

ร้าง

2.หลักเขตที่ 62 บ้านหนองกก ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ซึ่งตลิ่งริมน้ำถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนพังทลาย เป็นเหตุให้หลักเขตอ้างอิงที่ตั้งอยู่ริมคลองโป่น้ำรอ้นโค่นล้ม กองบัชชาการทหารสูงสุด ได้อนุมัติแนวทางติดตั้งหลักเขตแดนใหม่ โดยเจรจากับกัมพูชาดำเนินการติดตั้งแดนขึ้นใหม่ โดยเจรจากับกัมพูชาดำเนินกา

รติดตั้งหลักเขตชั่วคราว

3.หลักเขตแดนที่ 66 และ 67 บ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน ทั้ง 2 ประเทศต่างอ้างแนวเขตพื้นที่เหลื่อมทับกันประมาณ 1 ตารางกิโลเมตรซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เข้ามาตัดต้นไม้ และยังกล่าวหา ว่าไทยทำการปิดประกาศเขตป่าสวงนแห่งชาติรุกล้ำเข้าไปใต

เขตประเทศกัมพูชา

จ.ตราด

1.บริเวณบ้านคองสน บ้านคลองกวาง-ตากุจ อ.คลองใหญ่ บนเส้นเขาบรรด เนื่องจากกัมพูชาได้สร้างถนนสาย k5 ล้ำเข้ามาในเขตไทยประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งฝ่ายกัมพูชายอมรับว่าสร้างล้ำเข้ามาจริง ทาง กปช.จต. จึงได้ปิดเส้นทาง ในส่วนที่ล้ำเข้ามาพร้อมทั้งจุดตรวจและลาดตระเวนตามเส้

นทางอย่างต่อเนื่อง

2.บริเวณบ้านหนองรี อ.เมือง กำลังทหารสังกัด ร้อยปชด.1 พัน ปชด.501 ได้เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการบริเวณพิกัด T.U509454 ลึกเข้ามาในเขตไทยประมาณ 300 เมตร กปช.จต. ได้กดดันมิให้ฝ่ายกัมพูชาก่

อสร้างอาคารเพิ่มเติม

3.หลักเขตที่แดนที่ 72 และ 73 จุดผ่านแดนถาวร บ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ โดยหลักเขตที่ 72 และ 73 จุดผ่านแดนถาวร บ้านหาดเล็ก ต.หาดใหญ่ อ.คลองใหญ่ โดยหลักเขตที่ 72 สูญหาย และมีการอ้างแนวเขตจากหลักเขตที่ 73 ไปยังหลักเขตที่ 72 แตกต่างกัน ฝ่ายกัมพูชายึอถือค่าพิกัด TT.725886ส่วนไทยยึดถือค่าพิกัด TT.725884 ทำให้มีพื้นที่เหลื่มทับกันประมาณ 100 ไร่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาพยายามก่อสร

้างถาวรในพื้นที่ แต่ กปช.จต.ได้กดดันให้ยุติ

เส้นเขตแดนทางทะเล

ไทยและกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยแตกต่างกัน ฝ่ายกัมพูชาประกาศเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2551 โดยลากเส้นจากจุดอ้างอิงที่ละติจูด 11 องศา 38.88 ลิปดาตะวันออก ผ่านยอดเขาสูงสุดของเกาะจูด 102 องศา 54.81 ลิปดาตะวันออก ผ่ายยอดเขา สูงสุดของเกาะกูด เลยไปถึงระยะกึ่งกลางระหว่า

งระหว่างหลักเขตที่ 73

ส่วนไทยประกาศเขตไหล่ทวีปเมื่อ 18 พ.ค 2516 โดยกำหนดจุดอ้างอิง ที่ 1 ที่ละติจูด 102 องศา 55 ลิปดาตะวันออก ที่บ้านหาดเล็ก แล้วลากเส้นเกาะกง จากนั้นแบ่งครึ่งมุมระหว่างเส้นฐานตรงออกเป็นมุมทิศ 211 องศา ไปยังตำแหน่ง ของจุดที่ 2 ทำให้เกิดพื้นที่เหลื่มทับท

างทะเลประมาณ 34043 ตารางกิโลเมตร

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทำไมต้อง ... โหวตโน

ทำไมจึงต้องโหวตโน

ทำไมจึงต้องโหวตโน ไล่นักการเมืองชั่ว โปรดอ่าน! ไม่ใช่เรื่องที่แค่กินไม่ได้ถ่ายไม่ออกของชาวบ้าน คุณสาย สว.ระยอง อุทานว่า “น่ากลัวว่ะ แต่เรื่องมันใหญ่มาก ไม่กล้าพูด” ... สส.สาธิต ระยอง บอก “อ๋อเหรอแล้วไง” - ความใส่ใจสนใจของนักการเมือง ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชน - 7 มิถุนายน 2553 ที่มาบตาพุด ก๊าซคลอรีน รั่ว เนื่องจากฐานถังทรุดพังเพราะไม่ได้ตอกเ...สาเข็ม มีคนเจ็บป่วยหลายร้อยคน ขณะนี้เป็นฤดูฝน ฝนตกหนัก พายุลมแรง โรงงานสารเคมีอันตราย และก๊าซไวไฟ จำนวนมาก ของ ปตท. ที่สร้างเสร็จแล้ว เปิดใช้งานแล้ว จะทรุดพังหรือไม่ เป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นขัวญแขวน เพราะ 2 โรงในหลายโรงนั้น คือโรงแยกก๊าซแอลพีจี ที่มีคลังก๊าซแอลพีจีขนาดใหญ่นายสุทธิ อัชฌาสัย แกนนำเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก บอกว่า ปตท. ชี้แจงแล้วว่า ทุกอย่างปลอดภัยดี ... เชื่อหรือว่า คำชี้แจง จะทำให้โรงงานที่ไม่ตอกเสาเข็ม ทั้งหมด มันจะแข็งแรงขึ้น? ถ้าเกิดเหตุหายนะ แกนนำที่อ้างว่า สนใจใส่ใจสิ่งแวดล้อม นั้น จะรับผิดชอบ ชีวิตผู้คนจำนวนมากได้จริงหรือ ที่เพียงบอกว่า ปตท.พร้อมที่จะจ่ายค่าชดเชย คนเจ็บคนตาย บ้านเรือนถูกเผาทำลาย ... คำตอบที่น่าสะเทือนใจ จากแกนนำฯ ซึ่งเป็น แกนนำ พธม. ระยอง ด้วย

เอกสารตัวจริง ทั้งหมด ส่งให้ สว. รสนา สว.กรุงเทพ พร้อมๆกับ ประธานกรรมาธิการคณะต่างๆ มากกว่า 10 คน ที่บ้านพิษณุโลก ก่อนเข้าพบ อดีตนายกอานันท์ และเรื่องนี้ ส่งให้กับ สื่อมวลชน ที่เอาธรรมนำหน้าอย่าง เอเอสทีวี - มอบให้กับมือ คุณเติมศักดิ์ ไฟล์คอมพิวเตอร์ ฝากใส่ไว้ใน NoteBook อ.เทพมนตรี (แต่สุดท้ายมีคนมาทุบรถขโมยไป) แจกแผ่นปลิว จำนวนมากที่หลัง เวที พธม. แกนนำบนเวที รู้เรื่องนี้แล้ว จำนวนมาก ... หวังว่า สื่อที่เอาธรรมนำหน้า จะใส่ใจเรื่องนี้ แต่ทำไมใยเฉยชา เห็นชีวิตคนมาบตาพุด ไม่ใช่คน หรืออย่างไร - ทั้ง สส. - สว. ก้อไม่เห็นกับความเสี่ยงภัยเสี่ยงตายของชาวบ้าน แล้วจะมี พวกมัน เอาไว้ทำไม นี่มั้ย ... ทำไมต้อง โหวตโน !